เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 208 (1) เกาะภูตหยิงโจว

ตอนที่ 208 (1) เกาะภูตหยิงโจว

Sign in Buddha’s palm 208 (1) เกาะภูตหยิงโจว

ทะเลบูรพา

“นี่?!”

คนทั้งหลายบนเรือประมงต่างตกตะลึง

มองดูฉากตรงหน้าด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

“นี่…นี่มันเซียนอมตะจริงๆ”

ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก เมื่อครู่เขายังสงสัยอยู่เลยว่าชายวัยกลางคนพูดเกินจริงไปหรือเปล่า เพราะอย่างไรพวกเขาก็ท่องทะเลมาหลายปีแล้ว อย่าว่าแต่เซียนอมตะเลย แม้แต่ผู้คนก็ไม่ได้มีให้พบเห็นมากนัก

ทะเลบูรพานั้นกว้างใหญ่เกินไป

แต่ตอนนี้ชายหนุ่มแทบจะตบหน้าตัวเองเสียบัดนี้ ยามที่เห็นซูฉินโบยบินขึ้นไปบนอากาศ หากนี้ยังไม่ใช่เซียนอมตะแล้วตัวตนแบบไหนถึงจะเป็นเซียนอมตะเล่า?

อาตั่ว หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าจิตใจว่างเปล่าโดยพลัน

ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ ยามที่นางบอกให้ซูฉินขึ้นมาบนเรือ แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ ในเวลานั้นนางยังสงสัยอยู่เลยว่าทําไมซูฉินถึงปฏิเสธตนเช่นนั้น มีทางให้รอดชีวิต กลับเลือกส่งตนเองสู่จุดจบ

แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นฉากที่อีกฝ่ายราวกับเป็นเซียนอมตะโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า อาตั่วก็ได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้นางช่วยจริงๆ

“หือ?”

“เขาจะทําอะไรน่ะ?”

ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นซูฉินลอยอยู่บนฟ้า เหยียดมือขวาล้วงเข้าไปในอากาศ

ฉับพลัน

มีดยาวรูปร่างแปลกเหมือนกับเคียว ใบมีดโค้งราวพระจันทร์เต็มดวงก็ถูกดึงออกมา

เมื่อนางเห็นมีดยาวที่มีไอพลังราวกับขุมนรก อาตั่ว หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนจิตใจของตนถูกฉุดรั้งลงไปเบื้องลึก

ครืด

ราวกับสายฟ้าฟาดพาดผ่าน

ซูฉินถือมีดเทพเจ้าปีศาจในมือ และฟันอย่างเชื่องช้าไปทางทะเลที่โล่งกว้างในระยะไกลลิบ

แสงสีดําราวกับหมึก เลื่อนออกไปในชั่วพริบตา และมันเหมือนกับว่าสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมา จากนั้นพื้นที่โดยรอบก็สั่นสะเทือน วงคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกราวกับหินกระทบผิวน้ำ

“อยู่ตรงนี้นี่เอง”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

เมื่อเขาใช้อาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนนี้ เขาพบว่ามันมีแรงต่อต้านเล็กน้อยที่นี่ สามารถต้านการบุกรุกของอาณาเขตได้ หลังจากทดสอบดูครู่หนึ่ง ซูฉินจะไม่ทราบได้อย่างไรว่ามันมีปัญหาอะไรบางอย่าง

“สามารถสกัดกั้นการบุกรุกด้วยอาณาเขตของข้าได้ และคมดาบของข้าก็ไม่สามารถทําลายมันลงได้ อย่างน้อยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ก็ต้องถูกก่อตั้งโดยตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าหรือแม้แต่ตัวตนระดับเซียนเทพปฐพี”

ซูฉินยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งดูสดใสขึ้น

“น่าเสียดายที่ค่ายกลแห่งนี้อยู่มานานเกินไป และไม่สามารถแม้แต่ปิดบังไอพลังของมัน แล้วมันจะหยุดข้าได้อย่างไร?”

ซูฉินเมื่อนึกได้เช่นนี้ ก็ยกมีดเทพเจ้าปีศาจขึ้นมาฟาดฟันกระแสคมมีดออกไปติดต่อกันมากกว่าสิบครั้ง

เพียงครู่เดียว ทั่วทุกพื้นที่ก็เต็มไปด้วยแสงสีดํา ราวกับที่แห่งนี้กําลังแยกออกเป็นชิ้นๆ ไอพลังอันน่าขนพองสยองเกล้ากระจายออกมาอย่างท่วมท้น

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นมาจากฝีมือเซียนเทพปฐพี ทั้งผู้ก่อตั้งยังเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี บางทีแม้ซูฉินจะทุ่มสุดตัวก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทําให้ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้สะเทือนได้

แต่หลังจากผ่านไปหลายพันปี ค่ายกลขนาดใหญ่แห่งนี้ก็เสื่อมโทรมลงไปเสียนานแล้ว แม้แต่ส่วนสําคัญที่สุดก็เริ่มจะหักพัง

นี่เป็นเหตุผลที่ซูฉินจับสัมผัสของไอพลังที่เปล่งออกมาจากที่แห่งนี้ได้แม้ตัวเองจะอยู่ในเมืองฉางอัน

“น่าหวาดกลัวเหลือเกิน”

บนเรือประมงที่อยู่ห่างออกไป ทุกคนรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในวันโลกาวินาศ ไม่ว่าจะเป็นอาตั่วหรือคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกได้เพียง เหมือนมีฟ้าถล่ม โลกดํามืดไปหมด ความปั่นป่วนภายในท้องทะเลมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น

ขณะที่ซูฉินตวัดคมมีดออกไปนับสิบครั้ง ก็ได้กระตุ้นพลังของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้ออกมา เผยให้เห็นส่วนหนึ่งของเกาะที่มีรัศมีหนึ่งร้อยลี้ขึ้นมาจางๆ

“มันควรจะเป็นสิบทวีปและสามเกาะตามตํานานของทะเลบูรพา”

“แต่ว่า เป็นส่วนไหนของสิบทวีปและสามเกาะกันแน่?”

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและไม่ได้เคลื่อนไหวทําอะไรอีก

ไม่ใช่เพราะซูฉินใช้แก่นแท้แห่งพลังจนหมด แต่เพราะกังวลว่าหากยังโจมตีต่อไป จะไม่ใช่แค่ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ทั้งเกาะเซียนจะพังทลายไปพร้อมกับค่ายกลฟ้าดินที่ปกคลุมอยู่

“ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถพึ่งพาได้เพียงกําลังเท่านั้น”

ซูฉินค่อยๆ เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ จากนั้นจึงผสานวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ทันใดนั้นก็เห็นถึงการสลายตัวสลับกับการก่อกําเนิดใหม่ของค่ายกลฟ้าดินตรงหน้าซูฉิน

“ส่วนใหญ่เป็นคุณสมบัติที่ใช้ในการซ่อนเร้นงั้นรึ?”

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด

อันที่จริงนี่ก็ล่วงเลยมาหลายพันปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ เกาะแห่งนี้ก็คงถูกค้นพบไปนานแล้ว แม้ว่าทะเลบูรพาจะกว้างใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถหยุดการเดินเรือของชาวประมงหลายชั่วอายุคนได้ นอกจากนี้ ยังมีตํานานยุทธกําเนิดขึ้นมาอยู่ตลอดเป็นระยะจะปกปิด มาได้นานขนาดนี้ได้อย่างไร?

“ตรงนี้?”

ซูฉินยกมีดเทพเจ้าปีศาจฟันไปยังตําแหน่งหนึ่ง ตามจุดที่เห็นไอพลังรัวไหลผ่านการมองด้วยดวงตาแห่งสัจจะและปราณฉีฟ้ากําหนด

เป๊ง

ทันใดนั้นค่ายกลฟ้าดินก็ส่งเสียงออกมา ภายในม่านค่ายกล ภาพเกาะมัวๆ ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ซูฉินกําลังจะฟันเข้าไปอีกสองสามครั้งเพื่อทําลาย ค่ายกลฟ้าดินนี้ให้สิ้นซาก

หวึ่ง!!

ก็เห็นได้ว่าค่ายกลฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ค่ายกลฟ้าดินหลายชิ้นเกี่ยวพันกันผสานตัวกลายเป็นช่องทางเข้าออก

เห็นร่างเงาที่แสนงดงามเดินออกมาจากช่องทางนี้อย่างช้าๆ

ร่างที่แสนงดงามนี้แต่งกายด้วยชุดสีแดง ฟันของนางขาวราวกับหยก ผิวสวยผมดําขลับเกล้ามวยขึ้นสูงดูน่าดึงดูดใจมากขึ้นไปอีก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เดินนวยนาดออกมาโค้งคารวะให้กับซูฉินเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “คารวะสหายเต๋า”

น้ำเสียงของร่างงามนั้นไพเราะมาก ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง ชวนให้รู้สึกสบายหูยิ่งนัก

“โอ้?”

“มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนเกาะนี้ด้วยหรือ?”

ซูฉินหยุดความเคลื่อนไหว มองไปที่ร่างอันงดงามด้วยความสนใจ

“นี่คือเกาะเซียนทะเลบูรพา แม้กระแสปราณฉีจะซบเซา ธรรมชาติจะเหี่ยวเฉา แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นภายในเกาะก็ไม่ได้มากนัก เป็นธรรมดาที่จะมีสิ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่”

ร่างอันงดงามเผยรอยยิ้มและกล่าวต่อ “เช่เป็น ผู้นี้ แต่เดิมคิดว่าโลกภายนอกอยู่ในจุดสิ้นสุดของกฏเกณฑ์ธรรมชาติไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้ทรงพลังเช่นสหายเต๋ากําเนิดขึ้น

มา”

“เช่เชินอยากจะชวนสหายเต๋าไปนั่งพูดคุยกันภายในเกาะไม่รู้สหายจะคิดเห็นอย่างไร”

ร่างงามเฉียงตัวออกด้านข้างเล็กน้อย เผยให้เห็นช่องทางเข้าออก เชื้อเชิญซูฉินเข้าไปด้านใน

“จะให้ข้าเข้าไปรึ?”

ซูฉินมองลึกเข้าไปด้านใน

แม้ว่าทางเข้านี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเกาะ แต่ก็ยังมีพลังมากมายแทรกซึมกั้นขวางอยู่ สามารถขัดขวางจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้ และแม้แต่อาณาเขตก็ยากที่จะเจาะทะลุเข้าไป

แต่ก็เท่านั้น แม้อาณาเขตหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้สามารถ แต่ดวงตาแห่งสัจจะควบคู่ไปกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดนั้นสามารถมองทะลุ เห็นสรรพสิ่งบนเกาะได้ในทันที

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

“ข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”

ซูฉินไม่รู้ว่าเขาจะต้องพบเจอกับอะไร แต่รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าและนํามีดเทพเจ้าปีศาจเก็บกลับไป เดินเข้าไปยังช่องทางที่เปิดออกอย่างสบายๆ

“สหายเต๋า เชิญ”

ท่าที่แปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของร่างงาม และนางก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว

คลิก

เมื่อซูฉินเดินผ่านช่องทางเข้าไป ทางเดินที่โผล่ออกมานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่มาก่อน

“ฮื่อ!”

ถึงตอนนี้ ร่องรอยความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของร่างงามชุดแดงที่แสดงท่าที่นอบน้อมมาโดยตลอด ราวกับว่าแผนการประสบความสําเร็จ

[1]เช่เชิน คําแทนตัวแบบถ่อมตนของหญิงจีนโบราณ

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท