Sign in Buddha’s palm 229 รอคอย
จักรพรรดิถังที่ให้คนเฝ้าดูเขาคุนหลุนทั้งกลางวันและยามค่ําคืน จะรวดเร็วเท่ากับซูฉินที่มีทั้งดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดได้อย่างไร?
ตอนนี้ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว ดวงตาแห่งสัจจะนั้นเป็นทิพยอํานาจที่สามารถพัฒนาตนเองได้เมื่อความแข็งแกร่งของซูฉินมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการจับพลังฉี ความละเอียดอ่อน และขอบเขตที่สามารถรับรู้ได้ ทั้งหมดจะถูกเสริมกําลังตามขึ้นไป
“รับรู้ได้?”
จักรพรรดิถังดูตกใจ
เขาคุนหลุนอยู่ห่างจากเมืองฉางอันเกือบแสนลี้ แม้จักรพรรดิถังจะใช้ทุกวิถีทาง กระทั่งใช้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในการส่งข่าว เขาก็รับประกันได้เพียงว่าจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขาคุนหลุนภายในหนึ่งวันเพียงเท่านั้น
นี่ยังยึดตามข้อเท็จจริงเรื่องที่ว่าอาณาจักรถังได้ครอบครองแผ่นดินเข้าไปด้วยแล้ว ไม่เช่นนั้น หากอาณาจักรต่างๆยังมีอํานาจพอๆกันเหมือนในอดีต อย่าว่าแต่หนึ่งวันเลย สิบวัน ครึ่งเดือนก็ยังไม่สามารถทราบข้อมูลของเทือกเขาคุนหลุนได้แต่ตอนนี้
ซูฉินไม่ได้ก้าวออกจากเมืองฉางอันแม้แต่ก้าวเดียว แต่กลับกล่าวว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเขาคุนหลุน ซึ่งมันน่าตกใจมาก
แม้จะมีบันทึกโบราณมากมายที่บอกว่าตํานานยุทธนั้นมีความสามารถที่เหนือธรรมดา แต่เหนือธรรมดาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเทพเซียนจริงๆเสียเมื่อไหร่
แต่ในเวลานี้ ซูฉินรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นห่างออกไปกว่าแสนลี้ ถ้านี่ไม่ใช่เทพเซียน แล้วสิ่งใดกันถึงจะเป็นเทพเซียน
แม้แต่นักพรตเฒ่าที่คิดว่าตัวเขาพอจะเข้าใจเกี่ยวกับซูฉินบ้างแล้วก็มีอึ้งไปเหมือนกัน
ในสายตาของนักพรตเฒ่า ซูฉินนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดนมันก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตัวตนอันไร้เทียมทานจากหลายยุคหลายสมัย
แต่ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอํานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง ระดับที่ต่ํากว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้ว่าจะมีอาณาเขต แต่ก็เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็กและขอบเขตที่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์นั้นมีระยะเพียงหนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น
แน่นอนว่าระยะของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นกว้างมาก กว้างไกลเกินกว่าร้อยลี้
แต่ระหว่างร้อยส์กับแสนนั้น เป็นช่องว่างที่ห่างไกลกันเกินไป
มีเพียงหลีหว่านเท่านั้นที่ยังคงดูไม่รู้เรื่อง นางไม่ได้ไปถึงขอบเขตสามระดับบน เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ความหมายภายในคําพูดของซูฉิน
“การรับรู้ของข้า แตกต่างจากที่พวกเจ้าคิด”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาเบาๆ
ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดล้วนแต่สัมผัสได้เพียงแต่พลังฉีเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
ตัวอย่างเช่น ห่างออกไปแสนลี้ ซูฉินสัมผัสได้เพียงพลังปราณที่ผันผวนบนเขาคุนหลุน ส่วนเขาคุนหลุนจะมีลักษณะอย่างไร มีหินกี่ก้อน เขาล้วนแต่ไม่ทราบ
พูดง่ายๆคือ มุมมองของซูฉินนั้นแตกต่างจากคนทั่วๆไป บางแง่มุม ซูฉินก็เหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดก้มลงมามองดูโลก
“แตกต่าง….”
จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ กลืนคําที่จะพูดลงคอไป แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอะไรที่แตกต่าง แต่การกระทําของซูฉินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทําให้พวกเขาต้องคอยทําความเข้าใจสิ่งต่างๆใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อคิดจากสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทําไมซูฉินถึงรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นห่างออกไปกว่าแสนลี้ได้
ในเวลาต่อมา
หลังจากพูดคุยกับซูฉินอีกไม่กี่คํา จักรพรรดิถังก็กล่าวคําอําลา
หลังจากการรวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่นงานบ้านงานเมืองที่เขาจะต้องจัดการในทุกๆวันก็เกลื่อนกลาดเต็มโถงชีวิตนิรันดร์ หากจักรพรรดิถังไม่ได้ไปพักผ่อนในพระราชวังตะวันออกเป็นครั้งคราว ฝึกเคล็ดวิชาที่ซูฉินทิ้งไว้ให้อยู่ระยะหนึ่ง และเสวยโอสถบํารุง เกรงว่าคงจะเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายทรุดโทรมลงไปเสียแล้ว
หลังจากที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆจากไป ซูฉินก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนและคนอื่นๆ ยังคงยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ ก่อนที่ซูฉินจะออกคําสั่ง พวกเขาจะกล้าทําอะไรตามใจตนเองได้อย่างไร
แม้แต่หร่วนชิงที่เคยอยู่ในเมืองฉางอันมาระยะหนึ่งก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเคารพ
“ตาน้ําพุจิตวิญญาณ จะฝังเอาไว้ที่ไหนดี?”
จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินถูกกวาดออกไปทั่วเมือง ฉางอันคิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง
หลังจากที่ซูฉินกลืนกินน้ําพุจิตวิญญาณจนเกือบจะเหือดแห้ง มันน่าจะหมดสภาพไประยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้ามันฟื้นพลังกลับมาในอนาคต มันจะเปล่งประกายเจิดจรัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน
“ฝังไว้ใต้ตําหนักชุนฝั่งขวาดีกว่า”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังตําหนักขุนฝั่งขวาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ตําหนักชุนฝั่งขวาเคยเป็นที่พํานักของซูฉินมาก่อน และเป็นแกนหลักของค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากที่ล้อมรอบพระราชวังตะวันออกทั้งหมด
เมื่อเทียบกับสถานที่อื่นๆ ในพระราชวังตะวันออก พลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินในตําหนักชุนฝั่งขวานั้นมีมากมายยิ่งกว่า ซึ่งเหมาะมากสําหรับการหล่อเลี้ยงน้ําพุจิตวิญญาณและช่วยในการฟื้นตัวด้วยอย่างรวดเร็ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของซูฉินก็ขยับสั่งการ ทันใดนั้นกล่องหยกที่นักพรตเฒ่าถืออยู่ก็ระเบิดออกทันที
มีกลุ่มหมอกแสงปรากฏขึ้น
กลุ่มแสงนี้คือปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินที่วนเวียนอยู่ล้อมรอบ แต่พลังของมันค่อนข้างอ่อนแอ หลังจากนั้นซูฉินก็ส่งตาน้ําพุจิตวิญญาณเข้าไปในตําหนักชุนฝั่งขวา
“เสร็จเกือบหมดแล้ว”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
ตาน้ําพุจิตวิญญาณได้รับการปลูกฝังลงไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้แต่เพียงรอวันที่มันจะฟื้นตัวเต็มที่
ตามการประเมินของซูฉิน ด้วยกระแสปราณฉีที่ฟื้นฟูในระดับปัจจุบัน เวลาในการฟื้นฟูน้ําพุจิตวิญญาณจะไม่นานเกินไปอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ”
“มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่หรือไม่?
ซูฉินสงบนิ่ง มองไปที่หร่วนชิงและเหยียนไห่ กล่าวคําออกมาเบาๆ
ไม่ว่าจะเป็นเหยียนไห่หรือหร่วนชิง ทั้งคู่ต่างเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สาม เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองฉางอันหากไม่นับซูฉิน
เหตุผลที่ซูฉินอยู่ในทะเลบูรพาตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาโดยไม่รีบร้อนอะไร นอกจากสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ในเมืองฉางอันแล้ว ก็เป็นเพราะมีสองคนนี้อยู่ในเมืองฉางอัน
ไม่ใช่ว่าหร่วนชิงกับเหยียนไห่แข็งแกร่งมากมายอะไรนัก แต่ด้วยระดับการฟื้นคืนของกระแสปราณในปัจจุบัน อย่างน้อยหร่วนชิงและเหยียนไร่ก็แก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้อีกเป็นร้อยปีโดยที่ซูฉินไม่ต้องมาคอยกังวล
“เรียนนายท่าน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ขอรับ”
หร่วนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวออกมาด้วยความเคารพ เหยียนไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดอย่างเดียวกัน
แม้กระแสปราณฉีจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยหลายพันปีก่อนที่จะขึ้นไปถึงช่วงเฟื่องฟู แม้แต่จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธยังไม่กําเนิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่เลยด้วยซ้ํา หากไม่ใช่เพราะวิหารการสงครามที่กําลังจะปรากฏในอีกไม่ช้า จักรพรรดิถังก็คงไม่รีบมาแจ้งเรื่องนี้กับซูฉิน
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถอะ”
หลังจากที่ซูฉินถามคําถามเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติม เขาก็โบกมือให้หร่วนชิงกับคนอื่นๆ พานักพรตเฒ่าและชิงชิวเฉียนเฉี่ยนออกไปเพื่อทําความเข้าใจกับกฎเกณฑ์บางอย่างภายในรั้วในวัง
ซูฉินเองก็ก้าวเท้าหนึ่งก้าว และโผล่กลับมาที่ห้องโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน
“ตามกระแสลมปราณที่ผันผวนบนเขาคุนหลุน พื้นที่มิติจะถูกฉีกกระชากออกอย่างสมบูรณ์ในเวลาไม่เกินหนึ่งปี หรืออาจจะนานกว่านั้นเล็กน้อย”
“เมื่อถึงตอนนั้น น่าจะเป็นวันที่วิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้น”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปทางภูเขาคุนหลุน ดวงตาสงบนิ่ง คิดอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว
วิหารการสงครามเกี่ยวพันถึงสถานที่สําหรับลงชื่อเข้าใช้ของซูฉิน และแน่นอนว่าซูฉินจะไปที่นั่นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
“เพียงแต่ว่าตามบันทึกโบราณ ระยะเวลาในการคงอยู่ของวิหารการสงครามดูเหมือนจะไม่นานเท่าไรนัก ไม่เกินหนึ่งเดือน…”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
หากวิหารการสงครามสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียวหรือสองสามครั้งมันก็คงไม่เป็นอะไร หนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้วที่จะดึงเอา“เต๋าสะสม” ที่สะสมในวิหารการสงครามมานับหมื่นปีออกมา
แต่ถ้าวิหารการสงครามสามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ําได้ จะนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่หากลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงแค่เดือนเดียว
“อย่างไรก็ช่าง”
“รออีกหนึ่งปี ค่อยพูดเรื่องนี้หลังจากวิหารการสงครามปรากฏออกมาดีกว่า”
ซูฉินสงบใจลง ความคิดเริ่มผันผวน “ในช่วงที่ผ่านมา มีโอสถธาตุไฟจํานวนมากได้รับมาผ่านการลงชื่อเข้าใช้ที่เมืองอินจี๋ในโลกถ้ําปีศาจ”
“ขั้นต่อไป เริ่มสร้างภาพดวงตะวันฯ จากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า”
ซูฉินปิดเปลือกตาลงช้าๆ ภายในใจมีแผ่นหินจางๆโผล่ขึ้นมา มันสูงขึ้นจากผืนแผ่นดินทะลุเลยแผ่นฟ้า มีรูปดวงตะวันขนาดมหึมาสลักอยู่บนนั้น มันเร่าร้อนแผดเผาราวกับจะหลอมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นจุณ