เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 237 มังกรปีศาจ

ตอนที่ 237 มังกรปีศาจ

Sign in Buddha’s palm 237 มังกรปีศาจ

ตีนเขาคุนหลุน

ด้านนอกโรงเตี้ยม

จอมยุทธทุกคนล้วนมีนงงและตกใจ

ประการแรกสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ไล่ล่าสังหารยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่คนมาเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้ จากนั้นจักรพรรดิมารร้ายที่บิดด่านฝึกตนไปตั้งแต่เจ็ดสิบปีที่แล้วก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อจักรพรรดิมารร้ายโผล่ออกมา ไม่เพียงไม่ลงมือต่อเฉียนขู่ แต่กลับตบยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่จนตกตายด้วยฝ่ามือเดียว

สุดท้าย สิ่งที่ทําให้จอมยุทธทั้งหลายตกใจยิ่งกว่าก็คือ จักรพรรดิมารร้ายคํานับใครสักคนภายในโรงเตี้ยมด้วยความเคารพ และเรียกขานว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

เจ็ดสิบปีที่แล้วจักรพรรดิมารร้ายอยู่ในชั้นแนวหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเกือบจะแปรสภาพพลังได้แล้ว เป็นตัวตนที่ทรงพลังจนไม่มีใครเทียบเทียม ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว แม้ว่าจักรพรรดิมารร้ายจะไม่ได้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แต่เกรงว่าคงอยู่ไม่ไกลแล้ว คงมีคนที่มีพลังอํานาจเทียบเท่าจักรพรรดิมารร้ายไม่มากนักบนทวีปนี้ แต่เขากลับเรียกใครบางคนว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่

หากเรื่องราวตรงหน้าได้แพร่กระจายออกไป โลกจะต้องสั่นสะเทือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หัวใจของจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนเต้นถี่รัว สายตากวาดไปทั่วโรงเตี้ยม และความคิดก็แวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องยิ่งใหญ่เพียงไหนจึงจะสามารถทําให้จักรพรรดิมารร้ายที่ท่องอยู่ในโลกหล้ามาเป็นเวลานานต้องเรียกขานว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่” ด้วยความเคารพ?

ในขณะนี้ เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนซึ่งอยู่บนชั้นสองของโรงเตี้ยมก็ตัวแข็งที่อและสั่นเทา

การที่จักรพรรดิมารร้ายก้มลงคารวะโรงเตี้ยมหมายความเช่นไร เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนจะไม่ทราบได้อย่างไร?

“ตํานานยุทธ”

“อย่างน้อยก็ต้องมีตํานานยุทธอยู่ภายในโรงเตี้ยม…”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไหลย้อยไปตามหน้าผาก รู้สึกได้ว่าตนเดินผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว

ตํานานยุทธเข้ามาภายในโรงเตี้ยมของเขา หากสร้างความไม่พอใจให้ละก็ เกรงว่าเจ้าของโรงเตี้ยมคงตายไปนานแล้ว ตายจนไม่สามารถจะตายได้อีก

“ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไอพลังปราณของจักรพรรดิมารร้ายได้หายไปภายในพริบตา กลับกลายเป็นว่าถูกตํานานยุทธจับตัวไว้ได้…” เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนรู้สึกได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคลายข้อสงสัยของเขาได้หมดแล้ว

จอมยุทธที่เหลือภายในโรงเตี้ยมต่างตกตะลึงพากันตัวสั่น

พวกเขาอาจจะไม่ได้คาดคิดได้มากเท่าเจ้าของโรงเตี้ยม แต่ก็ตระหนักได้ว่ามีตัวตนที่ไม่สามารถยั่วยุได้อยู่ภายในโรงเตี้ยม

“แท้จริงแล้วคือใครกัน?!”

เฉียนขู่เหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูตัวฉกาจ หากเป็นเพียงจักรพรรดิมารร้าย เขาคิดว่าดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือด้ามนี้ที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ก็เพียงพอที่จะจัดการกับมันได้ แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นท่าทีของจักรพรรดิมารร้าย เห็นได้ชัดว่ามีผู้อื่นที่ยืนอยู่เบื้องหลังของ เขาอีกที

ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้จะต้องเหนือกว่าจักรพรรดิมารร้ายอย่างมาก และเป็นไปได้ว่าจะเป็นการดํารงอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของจอมยุทธทุกคน ร่างสูงเพรียวก็ค่อยๆเดินออกมาจากโรงเตี้ยม

ซูม!!!

ความรู้สึกสยดสยองดูเหมือนระเบิดออกมาจากส่วนลึกภายในใจของทุกๆคน จอมยุทธจํานวนมากต่างกระแทกเข่าลงกับพื้น รู้สึกว่าร่างที่ออกมาจากโรงเตี้ยมนั้นเป็นเหมือนกับเทพเซียน

ไม่อาจจ้องมองตรงๆ

ไม่อาจหยั่งถึง

“ท่าน ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

มีเพียงเฉียนขู่เท่านั้นที่เบิกตากว้างมองอย่างเหลือเชื่อ

ในเวลานี้ ไม่น่าเชื่อว่าร่างสูงเพรียวที่เดินออกมาจากโรงเตี้ยมจะ เป็นสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ออกจากวัดเส้าหลินไปกว่ายี่สิบปีแล้ว

“ตามมาเถอะ”

“ตรงนี้ไม่สะดวกแก่การพูดคุย”

ซูฉินเหลือบมองเฉียนขู่แล้วเดินจากไป

“ขอรับ”

เฉียนขู่รีบตามไปทันที

จักรพรรดิมารร้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และไม่มีความกล้าพอที่จะฉวยโอกาสในตอนนี้หลบหนีไป ดังนั้นจึงทําได้เพียงเดินตามเฉียนขู่ไปในลักษณะเดียวกัน

จนกระทั่งซูฉินเดินจากไปอย่างสมบูรณ์

จอมยุทธทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างยังไม่ฟื้นคืนสติเต็มที่ ทันทีที่พวกเขาเห็นร่างเพรียวเดินออกมาจากโรงเตี้ยม พวกเขาก็เหมือนกับจ้องเข้าไปที่ดวงอาทิตย์ ดวงตาของพวกเขาเริ่มพร่ามัว ไม่ต้องกล่าวถึงความหวาดกลัวที่แทรกซึมอยู่ในใจพวกเขาเลย

“ตํานานยุทธ นั่นคือตํานานยุทธ ” จอมยุทธบางคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

เมื่อจอมยุทธที่เหลือได้ยินเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็เต้นถี่รัว

ทําให้จักรพรรดิมารร้ายต้องยําเกรงจนเรียกว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ และหยุดอยู่ตรงนั้นไม่กล้าไปไหน ทั้งยังทําให้จอมยุทธในที่แห่งนี้ ทุกคนต้องคุกเข่าลงกับพื้นไม่กล้าจ้องมองไปตรงๆ เกรงว่าจะมีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถทําเช่นนี้ได้

“ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร? ตํานานยุทธเมืองฉางอัน? หรือผู้ทรงสมณศักดิแห่งวัดเส้าหลิน?”

เมื่อเวลาผ่านไป จอมยุทธบางคนก็ค่อยๆฟื้นสติขึ้นมาทีละคน และเข้าร่วมบทสนทนา

สําหรับจอมยุทธเหล่านี้ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธ แม้แต่ขอบเขตสามระดับบนยังห่างไกล ในตอนนี้เมื่อได้พบขอบเขตตํานานยุทธก็เพียงพอแล้วที่จะใช้คุยโวไปได้ชั่วชีวิต

“ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่ได้ข้ามน้ําข้ามทะเลไปแล้วหรอกหรือ มันควรจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอันมากกว่า?” จอมยุทธคนหนึ่งออกความเห็นของตน

“ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอันจริง ก็ไม่จําเป็นต้องช่วยชีวิตสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ก็ได้นี่”

จอมยุทธคนที่สองเอ่ยออกมา

ในขณะนี้ จอมยุทธบางคนได้เริ่มโต้เถียงกัน ให้เหตุผลเรื่องการที่จักรพรรดิมารร้ายลงมือจัดการยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่นั้น น่าจะเป็นการช่วยเฉียนขู่

แต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉียนขู่ ควรจะมีแต่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินเท่านั้นที่น่าจะทําเช่นนี้

“ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอันหรือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน การปรากฏขึ้นของวิหารการสงครามครั้งนี้ ก็นับว่ามีการแสดงดีๆให้ได้ดูชม…”

ดวงตาของจอมยุทธหลายคนเป็นประกาย

จริงดังว่า

ตอนนี้วิหารการสงครามใกล้จะโผล่ออกมาแล้ว และเวลานี้ตัวตนขอบเขตตํานานยุทธก็ได้มาอยู่ที่นี่ เกรงว่ามันคงจะเป็นเพราะวิหารการสงครามแห่งนี้แน่

……

และในขณะที่เหล่าจอมยุทธกําลังพูดคุยกันต่อนั้น

ซูฉินก็พาเฉียนขู่และคนอื่นๆ มาที่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง

“ศิษย์น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์” เฉียนขู่แสดงความเคารพต่อซูฉินตามระเบียบปฏิบัติทางศาสนา เขารู้สึกตื่นเต้นมาก หากซูฉินไม่ได้เสริมดวงใจพุทธะและนําทางจิตวิญญาณของเขา เขาคงสวดมนต์นั่งท่องคัมภีร์อยู่ภายในวัดเส้าหลินอยู่ในขณะนี้ จะประสบความสําเร็จจนถึงขนาดนี้ได้เยี่ยงไร

“ลุกขึ้นเถิด”

ซูฉินโบกมือ

จากนั้นซูฉินก็สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัดเส้าหลินในปีที่ผ่านๆมา และเฉียนขู่ก็ตอบออกไปตามความจริง

เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่วัดเส้าหลินพึ่งพิงมรดกที่ซูฉินได้ทิ้งเอาไว้ และร่วมด้วยกับความช่วยเหลือของกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืน ก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพิ่มขึ้นอีกสองสามคน และแม้แต่เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินก็สัมผัสได้จางๆ ถึงการแปรสภาพพลัง

ส่วนเรื่องอื่นๆ

วัดเส้าหลินยังคงมีพระพุทธรูปโบราณ มีโคมไฟสีฟ้า ทุกสิ่งยังคงดําเนินไปอย่างเนิบช้า นอกจากการที่มียอดปรมาจารย์เพิ่มขึ้นหลายคน ทุกสิ่งก็เกือบจะเหมือนกับยี่สิบปีที่แล้ว

และอีกสิ่งที่น่าพูดถึงก็คือ วัดเส้าหลินได้เริ่มรับสมัครศิษย์รุ่น “หมิง” แล้ว

ศิษย์รุ่น “หมิง” เป็นศิษย์ที่อยู่ถัดจากรุ่นเฉียน” และในฐานะที่ซูฉินเป็นศิษย์รุ่น”เฉิน” เขานั้นก็อยู่ในตําแหน่งของผู้อาวุโสเป็นที่เรียบร้อย

“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับวิหารการสงครามบ้าง”

ซูฉินเหลือบมองไปบนยอดเขาคุนหลุนและถามอย่างไม่ใส่ใจ

“วิหารการสงคราม?”

เฉียนขู่สายศีรษะแล้วกล่าวตามจริง “ผู้ทรงสมณศักดิ์ ในครั้งนี้ ข้าไม่ได้มาที่เขาคุนหลุนเพื่อมาวิหารการสงคราม”

การกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามนั้นทําให้โลกตื่นตะลึง ในตอนนี้ไม่รู้ว่ามีตัวตนระดับสัตว์ประหลาดที่ซ่อนเร้นอยู่ทั้งหมดมากมายเท่าใด หากอยากจะเข้าไปภายในวิหารการสงครามและได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ที่ผ่านการแปรสภาพพลังมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งจึงจะมีหวัง

แม้ว่าเฉียนขู่จะมีศักยภาพไร้ขีดจํากัด แต่เขาก็ยังเด็กเกินไป แม้ว่าพรสวรรค์จะน่ากลัวแต่ก็เทียบไม่ได้กับสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตมานมนานถึง ร้อยเจ็ดสิบ – ร้อยแปดสิบปี และขนาดบางคนที่ใกล้ถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ยังมี ส่วนตัวเขาตอนนี้ยังสั่งสมประสบการณ์มาน้อยเกินไป

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“ข้ารู้บางสิ่งเกี่ยวกับวิหารการสงคราม”

ในเวลานี้ จักรพรรดิมารร้ายที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพก็กล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง

“พูดมันออกมา” ซูฉินมองไปที่จักรพรรดิมารร้ายและกล่าวออกมาเบาๆ ไม่ว่าอย่างไรวิหารการสงครามก็ได้รับการสืบทอดมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด ลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้ มันจึงไม่ควรมองข้าม

แม้ว่าซูฉินจะมั่นใจในตนเอง แต่เขาก็ไม่ได้หยิ่งผยอง ยังต้องการจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิหารการสงครามแห่งนี้

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“เท่าที่ข้ารู้มา”

รการสงคราม ไม่ใช่

จักรพรรดิมารร้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว

“โอ้ว”

“ว่าต่อไป!”

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“เจ้าหมายความว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในวิหารการสงครามอย่างนั้นหรือ?” เฉียนขู่ประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ

วิหารการสงครามเปิดออกเพียงครั้งเดียวในรอบหนึ่งพันปี ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ แม้แต่ตํานานยุทธหรืออรหันต์ก็ล้วนแก่ตายกันไปหมด แล้วจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร?

“เมื่อหลายพันปีก่อน บรรพบุรุษของฝ่ายอธรรมได้เข้าไปภายในวิหารการสงครามและรอดชีวิตกลับออกมา โดยเขียนบันทึกเอาไว้ว่าภายในวิหารการสงครามมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามังกรปีศาจ”

จักรพรรดิมารร้ายรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของซูฉิน จึงรีบพูดทุกอย่างที่ตนรู้ออกมาโดยไม่ลังเล

“มังกรปีศาจ?”

รูม่านตาของเฉียนขู่หดตัว

ตั้งแต่โบราณกาลมา มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตในตํานานศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด เมฆเคลื่อนคล้อยทะยานไปท่ามกลางสายฝน เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งโดยแท้ สําหรับมังกรปีศาจภายในวิหารการสงคราม เนื่องจากมันมีคําว่า “มังกร” อยู่ในชื่อ เห็นได้ชัด ว่ามันเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าจินตนาการของจอมยุทธทั่วๆไป

“มิผิด”

จักรพรรดิมารร้ายพยักหน้าเคร่งขรึม “ในวิหารการสงคราม มีมังกรปีศาจคอยเฝ้าอยู่ หากต้องการรับโอกาสที่ดีภายในวิหารการสงคราม จําเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากมังกรปีศาจ”

เมื่อจักรพรรดิมารร้ายกล่าวออกเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ขื่นขมเล็กน้อย “ตามบันทึกของบรรพบุรุษฝ่ายอธรรมของข้า มังกรปีศาจในวิหารการสงครามน่ากลัวอย่างยิ่ง เกรงว่ามันน่าจะเหนือเกินไปกว่าตํานานยุทธธรรมดาๆแล้ว..”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิมารร้ายก็ลอบมองซูฉินอย่างระมัดระวัง

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท