Sign in Buddha’s palm 230 น่าหวาดกลัว! เผด็จการ! เข้าใจโลก!
“การบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาต้องการ โอสถวิเศษธาตุไฟจํานวนมาก”
“ในทางทฤษฎี ตราบใดที่มีโอสถธาตุไฟเพียงพอ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็สามารถฝึกฝนได้ในเวลาอันสั้น และสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดได้”
ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ขณะที่รวมจิตเข้าไปในภาพแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมา
ขั้นแรกของการฝึกภาพดวงตะวันฯ นั้นง่ายมาก ไม่จําเป็นต้องมีความรู้ซึ้ง ไม่ต้องใช้ร่างกาย ไม่ต้องใช้เลือดเนื้อ
ข้อกําหนดเพียงอย่างเดียวคือทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนจะง่ายนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคนบนโลกรู้สึกว่ามันยากแสนยาก
เนื่องจากความต้องการใช้ทรัพยากรของภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นมากเกินไป เรียกได้ว่ามหาศาลไม่ต่างจากขุนเขาหรือท้องทะเล
ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปีและถือว่าตนเองนั้นค่อนข้าง”ร่ํารวย” แม้แต่ของสะสมชั่วชีวิตของเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ก็ไม่ได้มีมากเท่าเขา นอกจากนี้เขายังลงชื่อได้รับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์มาหลายสิบเม็ดจากเกาะหยิงโจว แต่สุดท้ายก็ยังเติมจุดดวงแสงบนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้ไม่มากนัก ยังคงมืดสลัวไม่ต่างจากเดิม
เพียงเท่านี้ก็จินตนาการได้แล้วว่าวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นกินทรัพยากรมากมายเพียงไร
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงแผ่นหินแผ่นแรกจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แผ่นหินแผ่นถัดไปยิ่งต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าภาพดวงตะวันขนาดมหึมานี้อีกมาก
“น่าเสียดายที่ทรัพยากรธาตุไฟเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันฯ” ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ
เขาลงชื่อมานานหลายสิบปีไม่ว่าจะเป็นในวัดเส้าหลินห รือภายในวังหลวง สมบัติส่วนใหญ่ที่ได้รับไม่ได้เป็นธาตุไฟ แม้โอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้บนเกาะหยิงโจวจะอุดมไปด้วยธาตุไฟ แต่ก็มีเพียงไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้น เติมไปอย่างไรก็ไม่เต็ม
“อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ที่ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋โลกถ้ําปิศาจ ข้าก็ได้รับโอสถธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก”
จิตใจของซูฉินสั่งการ จู่ๆ โอสถวิเศษจํานวนมากที่เปล่งไอความร้อนก็โผล่ออกมาอยู่เบื้องหน้าของเขา นี่คือสิ่งที่ได้มาจากลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้
เมืองอินจี๋สร้างทับภูเขาไฟ พลังธาตุไฟมีอยู่เป็นจํานวนมาก นอกจากนี้กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณในเมืองอินจี๋ ยังเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ดังนั้นสมบัติส่วนใหญ่ที่ลงชื่อเข้าใช้จากที่นี่จึงเป็นสมบัติธาตุไฟ
แม้ว่าโอสถปีศาจธาตุไฟเหล่านี้จะเทียบไม่ได้กับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ แต่ปริมาณมากกว่ากันมาก ทุกครั้งที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋ ซูฉินจะได้รับโอสถวิเศษหรือสมบัติอื่นๆมาทีละหลายสิบเม็ด
หลังจากผ่านไปสองสามเดือน โอสถปีศาจธาตุไฟที่สะสมได้จึงมีจํานวนหลายร้อยเม็ดเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ซูฉินยังสามารถได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟจํานวนมากจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆวัน
สําหรับปีศาจตนอื่นๆ เมืองอินจี๋ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาไฟ มีสภาพอากาศที่ร้อนระอุ การอยู่อาศัยในระยะยาวอาจทําให้เกิดอาการเป็นพิษจากธาตุไฟได้ อย่างไรก็ตาม ในสายตาของซูฉินเมืองอินจี๋นั้นอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง!
สามารถมอบโอสถปีศาจธาตุไฟให้แก่เขาโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปด้วยตนเองเพื่อนํามาใช้ฝึกฝนวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ถ้านี้ไม่เรียกว่าอุดมสมบูรณ์ แล้วที่ไหนจะเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ได้อีก?
“เมืองเมฆาปีศาจนั้นสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้นานกว่าสองปี และเมืองอินจี๋คงไม่มีทางน้อยกว่านั้นเป็นแน่”
“ในเวลาสองปี ถ้ายังลงชื่อเข้าใช้ต่อไปเช่นนี้ อาจจะฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนประสบความสําเร็จเล็กๆน้อยๆก็เป็นได้?”
ดวงตาของซูฉินร้อนแรงขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าการสําเร็จวิชาเล็กๆ น้อยๆ จากแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดใหญ่จะยังห่างไกลจากพลังที่แท้จริงของภาพดวงตะวัน ทั้งยังห่างไกลจากการเปลี่ยนซูฉินให้กลายเป็นอีกาทองคําสามขาที่แท้จริงได้
แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ความสามารถบางอย่างของอีกาทองคําสามขาได้
ตัวอย่างเช่น เมื่อสําเร็จวิชาเล็กๆ น้อยๆ ในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ความเข้าใจและการรับรู้ของซูฉินเกี่ยวกับพลังของเปลวเพลิงจะล้ําหน้ายิ่งกว่าจ้าวทะเลบูรพาในทันที
แน่นอนว่าการรับรู้ก็คือการรับรู้ และความแข็งแกร่งก็อยู่ ส่วนความแข็งแกร่ง ในฐานะที่จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด แม้ว่าเขาจะไม่ใช้พลังจากฐานบ่มเพาะ ซูฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี
แต่ก็มองเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งที่จะมีได้นั้น เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
“โอสถเพลิงปีศาจสีชาด โอสถปีศาจธาตุไฟ หยดน้ําประกายเพลิงปีศาจ…”
สายตาของซูฉินกวาดมองไปทั่ว สีหน้าปรากฎความพึงพอใจ
ทรัพยากรธาตุไฟนั้นหาใช่มีเพียงแค่โอสถเทพหรือโอสถปีศาจเท่านั้น ทรัพยากรอื่นๆตราบใดที่มีธาตุไฟ ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาทั้งสิ้น
“โอสถวิเศษเหล่านี้ล้วนได้มาจากโลกถ้ําปีศาจ แม้พวกมันจะมีปราณธาตุไฟ แต่ก็ยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของโลกถ้ําปิศาจ”
ซูฉินสัมผัสถึงปราณภายในตัวยาอย่างระมัดระวัง และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโอสถเทพธาตุไฟและโอสถปีศาจธาตุไฟ
แม้ว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์จะให้ความร้อนแรงพอๆกัน แต่โดยภาพรวมมีเสถียรภาพมากกว่า ส่วนโอสถปีศาจที่อยู่ด้านหน้าของซูฉินนั้นมีกลิ่นอายของพลังแห่งการกดขี่อย่างมาก
“ถ้าเป็นโอสถชนิดอื่น ข้าอาจจะต้องใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย แต่สําหรับธาตุไฟนั้น…”
ซูฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ในทันใดนั้น เม็ดโอสถปีศาจทั้งหลายก็ลุกพรึบกลายเป็นเปลวไฟปีศาจขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาร่างของซูฉิน
อีกาทองคําสามขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด ตราบใดที่มันเป็นพลังงานธาตุไฟ จะสายเทพหรือสายมารก็ไม่มีความแตกต่างอะไร สามารถกลืนกินทั้งหมดเข้าไปได้โดยง่าย
ฟูมม!!
ไม่นานหลังจากเม็ดโอสถจํานวนมากไหลเข้าสู่ร่างกาย ด้านหลังของซูฉินก็มีแผ่นหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมารางๆ มีดวงตะวันขนาดมหึมาสลักอยู่บนแผ่นหินนั้น นอกจากนี้มันยังมีจุดแสงอีกนับหมื่น
ในเวลานั้น จุดแสงบางส่วนบริเวณขอบของแผ่นหินก็ค่อยๆสว่างขึ้น
หากใช้โอสถเหล่านี้ที่ละเม็ด อาจจะไร้ประโยชน์เพราะไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ของมันได้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป เมื่อใช้ใน “ปริมาณ” ที่มากถึงขนาดนี้
ซูฉินจะใช้วิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อใช้โอสถปีศาจที่สะสมไว้หลายร้อยเม็ดนี้ในการบ่มเพาะ หลังจากนี้ก็จะลงชื่อเข้าใช้ในโลกถ้ําปีศาจไปเรื่อยๆ และใช้วิธีเช่นนี้ต่อไป
ด้วยวิธีนี้ ไอพลังในร่างกายของซูฉินจะลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ และภาพแผ่นหินด้านหลังก็จะชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะจุดแสงบนแผ่นหินที่ดูมีแนวโน้มว่าจะสว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้ในไม่ช้า
เมื่อจุดแสงส่องสว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ หมายความว่าซูฉินได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว
ขณะที่ซูฉินกําลังฝึกฝนไปอย่างเชื่องช้านั้น
ในพระราชวังถัง หร่วนซิงก็พาชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าเดินเล่นรอบวังเพื่อทําความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่จะต้องอยู่ในอนาคต
ในที่สุดเหยียนให้ที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ เอ่ยถามด้วยเสียงต่ําว่า “ท่านอาจารย์อา ทําไมท่านถึงถูกนายท่านจับตัวมาได้?”
นักพรตเฒ่าเป็นผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถี อยู่ในระดับนภาชั้นที่สี่ มีสถานะเหนือกว่าศิษย์อย่างเหยียนไห่มาก
แม้ว่าเหยียนไห่จะอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม แต่คอขวดระหว่างนภาชั้นที่สามกับนภาชั้นที่สี่ก็เป็นคอขวดที่ใหญ่นัก
ในบรรดานิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างแดน มีเพียงนภาชั้นที่สี่เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้อาวุโสของแต่ละนิกายได้
ดังนั้นในมุมมองของเหยียนไห่ ผู้อาวุโสอย่างนักพรตเฒ่า ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วควรจะประจําการอยู่ภายในสํานัก เป็นไปได้อย่างไรที่จะวิ่งโร่มาให้ซูฉินจับได้?
นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ฟังเรื่องนี้
ถ้าเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินน่ากลัวเช่นนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มา แต่น่าเสียดายที่คําว่าถ้ามันไม่มีอยู่จริง
“ผู้อาวุโสทรงพลังเทียมฟ้า ข้าสามารถรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแค่ไหนแล้ว ดีกว่าหมิงโยวและเฉว่ยวี่ที่จบชีวิตอยู่ตรงนั้น…”
นักพรตเฒ่ากล่าวคําที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
แม้ว่าตอนนี้ความเป็นตายของเขาจะขึ้นอยู่กับผู้อื่นไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็รอดชีวิตมาได้
“หมิงโยว?”
หร่วนชิงและเหยียนไห่ชําเลืองมองหน้ากัน รูม่านตาของเขาหดตัวแคบลงในทันที
ในต่างดินแดน จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ชื่อหมิงโยวมีเพียงรองผู้นํานิกายเฮยหยวนเท่านั้น เป็นตัวตนที่ถูกกล่าวขานว่าใกล้เคียงกับการเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่สุด
“นายท่านสังหารหมิงโยว?”
เสียงของเหยียนไห่สั่นเครือไม่อยากจะเชื่อถือ
แม้แต่ศิษย์เช่นเขายังทราบถึงความน่ากลัวของหมิงโยวในต่างดินแดน นิกายเฮยหยวนนั้นโหดเหี้ยมนัก และรองผู้นําของนิกายเฮยหยวนก็สร้างชื่อเสียงให้นิกายมามากมาย
“เจ้าไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสหรือ?” นักพรตเฒ่างุนงงเล็กน้อย ซูฉินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว การจะสังหารหมิงโยวที่ยังไม่ได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธนั้น ย่อมทําได้ดั่งใจคิดไม่ใช่หรือ?
“ความแข็งแกร่งของนายท่าน………”
เหยียนไห่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเลียบเคียงถามออกมาอย่างระมัดระวัง “นายท่านเป็นตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธมิใช่หรือ?”
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ซูฉินได้สังหารเทพธิดาจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและศิษย์ระดับนภาชั้นที่สามของนิกายเฮยหยวน เขาไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาออกมา ดังนั้นแม้แต่เหยียนไห่ก็ไม่รู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งเพียงไหน
ดังนั้นเมื่อนักพรตเฒ่าถามคําถามนี้ออกมา เหยียนไห่จึงคาดเดาดู นี่เป็นเพราะเขาเห็นนักพรตเฒ่าถูกจับกุมมาด้วยเช่นกัน จึงพอจะคาดเดาระดับคร่าวๆออกมาได้
ถึงแม้จะเป็นในต่างดินแดน จอมยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธก็นับได้ว่าเป็นตัวตนอันทรงพลังอํานาจไร้ต้านแล้ว ไม่ว่าเหยียนไห่จะมองซูฉินสูงส่งอย่างไร เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าซูฉินได้เข้าสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธแล้วหรือยัง
“ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักพรตเฒ่าก็ผงะไปครู่หนึ่ง สายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโส เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่ยืนหยัดได้ด้วยซ้ํา”
คําที่กล่าวออกมา
ทําให้เหยียนไห่ลูกตาแทบจะถลน
ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธเป็นตัวตนในระดับใดกัน? เพียงพอที่จะอาละวาดไปทั่วในต่างดินแดน แม้แต่ผู้นํานิกายใหญ่ก็ไม่กล้ารุกรานตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ
ถึงแม้ว่านิกายใหญ่จะมีผู้เยี่ยมยุทธเช่นกัน แต่หากไม่ไว้หน้าตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธเหล่านั้น มันจะเป็นเช่นไร หากเขาเพ่งเล็งเล่นงานไปที่ศิษย์สาวกแทนเล่า?
ผู้เยี่ยมยุทธนั้นคือตัวตนที่แข็งแกร่ง การรับมือผู้เยี่ยมยุทธเพียงกระบวนท่าเดียวก็ทําให้ไม่มีเวลามากพอไปช่วยเหลือ ใครอื่นแล้ว
ดังนั้น
แต่เหยียนไห่ไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งนี้จะออกมาจากปากนักพรตเฒ่า ผู้เยี่ยมยุทธจากต่างดินแดนไม่มีคุณสมบัติพอจะยืนอยู่ต่อหน้าซูฉินด้วยซ้ํา?
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นอาจารย์อาของเขา เป็นผู้อาวุโสในสำนักเอกะวิถีที่ไม่น่าจะโกหก ไม่เช่นนั้นเหยียนไห่จะไม่มีวันเชื่อสิ่งนี้แน่นอน
“อาจารย์อา ท่านหมายความว่า….” เหยียนไห่ร้องออกมาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ผู้อาวุโสเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดและยังเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธระดับเยี่ยมยุทธ แม้ว่าจะเป็นบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโส…”
นักพรตเฒ่าไม่ได้ปิดบังอะไร เขาบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้ออกมาตรงๆ
“ตํานานยุทธขั้นสูงสุด…”
“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้…”
ท่าทีของเหยียนไห่กลายเป็นตกใจมากจนจะเซล้มไปกับเขาไม่คิดว่าซูฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่ ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งแล้ว ระดับของซูฉินมันเกินขีดจํากัดจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว
“นายท่าน……”
หร่วนชิงกลืนน้ําลายดังเอื้อก
เขาก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
แม้ว่าหร่วนซึ่งจะได้เห็นซูฉินอาบสายฟ้า เขาก็เดาว่าซูฉินอาจจะเป็นระดับเดียวกับบรรพชนเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่ากล่าวออกมา ซูฉินนั้นยืนอยู่เหนือบรรพชนส่วนใหญ่เสียแล้ว
ภูมิหลังที่ทรงพลังที่สุดของนิกายใหญ่ในต่างแดนก็คือบรรพชนที่หลับใหลภายในนิกาย ตราบใดที่บรรพชนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็สามารถยืนอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหมดในต่างแดนได้อยู่เสมอ
แต่ตอนนี้ซูฉินไม่เพียงแต่อยู่ในระดับนี้เท่านั้น แต่ยังทะลุเกินกว่าระดับนี้ไปอีก มันจะน่ากลัวขนาดไหน? เผด็จการเพียงไร? มองโลกในรูปแบบใดกัน?