เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 230 น่าหวาดกลัว! เผด็จการ! เข้าใจ

ตอนที่ 230 น่าหวาดกลัว! เผด็จการ! เข้าใจ

Sign in Buddha’s palm 230 น่าหวาดกลัว! เผด็จการ! เข้าใจโลก!

“การบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาต้องการ โอสถวิเศษธาตุไฟจํานวนมาก”

“ในทางทฤษฎี ตราบใดที่มีโอสถธาตุไฟเพียงพอ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็สามารถฝึกฝนได้ในเวลาอันสั้น และสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดได้”

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ขณะที่รวมจิตเข้าไปในภาพแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมา

ขั้นแรกของการฝึกภาพดวงตะวันฯ นั้นง่ายมาก ไม่จําเป็นต้องมีความรู้ซึ้ง ไม่ต้องใช้ร่างกาย ไม่ต้องใช้เลือดเนื้อ

ข้อกําหนดเพียงอย่างเดียวคือทรัพยากร

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนจะง่ายนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคนบนโลกรู้สึกว่ามันยากแสนยาก

เนื่องจากความต้องการใช้ทรัพยากรของภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นมากเกินไป เรียกได้ว่ามหาศาลไม่ต่างจากขุนเขาหรือท้องทะเล

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปีและถือว่าตนเองนั้นค่อนข้าง”ร่ํารวย” แม้แต่ของสะสมชั่วชีวิตของเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ก็ไม่ได้มีมากเท่าเขา นอกจากนี้เขายังลงชื่อได้รับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์มาหลายสิบเม็ดจากเกาะหยิงโจว แต่สุดท้ายก็ยังเติมจุดดวงแสงบนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้ไม่มากนัก ยังคงมืดสลัวไม่ต่างจากเดิม

เพียงเท่านี้ก็จินตนาการได้แล้วว่าวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นกินทรัพยากรมากมายเพียงไร

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงแผ่นหินแผ่นแรกจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แผ่นหินแผ่นถัดไปยิ่งต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าภาพดวงตะวันขนาดมหึมานี้อีกมาก

“น่าเสียดายที่ทรัพยากรธาตุไฟเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันฯ” ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ

เขาลงชื่อมานานหลายสิบปีไม่ว่าจะเป็นในวัดเส้าหลินห รือภายในวังหลวง สมบัติส่วนใหญ่ที่ได้รับไม่ได้เป็นธาตุไฟ แม้โอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้บนเกาะหยิงโจวจะอุดมไปด้วยธาตุไฟ แต่ก็มีเพียงไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้น เติมไปอย่างไรก็ไม่เต็ม

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ที่ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋โลกถ้ําปิศาจ ข้าก็ได้รับโอสถธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก”

จิตใจของซูฉินสั่งการ จู่ๆ โอสถวิเศษจํานวนมากที่เปล่งไอความร้อนก็โผล่ออกมาอยู่เบื้องหน้าของเขา นี่คือสิ่งที่ได้มาจากลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้

เมืองอินจี๋สร้างทับภูเขาไฟ พลังธาตุไฟมีอยู่เป็นจํานวนมาก นอกจากนี้กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณในเมืองอินจี๋ ยังเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ดังนั้นสมบัติส่วนใหญ่ที่ลงชื่อเข้าใช้จากที่นี่จึงเป็นสมบัติธาตุไฟ

แม้ว่าโอสถปีศาจธาตุไฟเหล่านี้จะเทียบไม่ได้กับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ แต่ปริมาณมากกว่ากันมาก ทุกครั้งที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋ ซูฉินจะได้รับโอสถวิเศษหรือสมบัติอื่นๆมาทีละหลายสิบเม็ด

หลังจากผ่านไปสองสามเดือน โอสถปีศาจธาตุไฟที่สะสมได้จึงมีจํานวนหลายร้อยเม็ดเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ซูฉินยังสามารถได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟจํานวนมากจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆวัน

สําหรับปีศาจตนอื่นๆ เมืองอินจี๋ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาไฟ มีสภาพอากาศที่ร้อนระอุ การอยู่อาศัยในระยะยาวอาจทําให้เกิดอาการเป็นพิษจากธาตุไฟได้ อย่างไรก็ตาม ในสายตาของซูฉินเมืองอินจี๋นั้นอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง!

สามารถมอบโอสถปีศาจธาตุไฟให้แก่เขาโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปด้วยตนเองเพื่อนํามาใช้ฝึกฝนวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ถ้านี้ไม่เรียกว่าอุดมสมบูรณ์ แล้วที่ไหนจะเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ได้อีก?

“เมืองเมฆาปีศาจนั้นสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้นานกว่าสองปี และเมืองอินจี๋คงไม่มีทางน้อยกว่านั้นเป็นแน่”

“ในเวลาสองปี ถ้ายังลงชื่อเข้าใช้ต่อไปเช่นนี้ อาจจะฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนประสบความสําเร็จเล็กๆน้อยๆก็เป็นได้?”

ดวงตาของซูฉินร้อนแรงขึ้นเล็กน้อย

แม้ว่าการสําเร็จวิชาเล็กๆ น้อยๆ จากแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดใหญ่จะยังห่างไกลจากพลังที่แท้จริงของภาพดวงตะวัน ทั้งยังห่างไกลจากการเปลี่ยนซูฉินให้กลายเป็นอีกาทองคําสามขาที่แท้จริงได้

แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ความสามารถบางอย่างของอีกาทองคําสามขาได้

ตัวอย่างเช่น เมื่อสําเร็จวิชาเล็กๆ น้อยๆ ในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ความเข้าใจและการรับรู้ของซูฉินเกี่ยวกับพลังของเปลวเพลิงจะล้ําหน้ายิ่งกว่าจ้าวทะเลบูรพาในทันที

แน่นอนว่าการรับรู้ก็คือการรับรู้ และความแข็งแกร่งก็อยู่ ส่วนความแข็งแกร่ง ในฐานะที่จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด แม้ว่าเขาจะไม่ใช้พลังจากฐานบ่มเพาะ ซูฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี

แต่ก็มองเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งที่จะมีได้นั้น เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

“โอสถเพลิงปีศาจสีชาด โอสถปีศาจธาตุไฟ หยดน้ําประกายเพลิงปีศาจ…”

สายตาของซูฉินกวาดมองไปทั่ว สีหน้าปรากฎความพึงพอใจ

ทรัพยากรธาตุไฟนั้นหาใช่มีเพียงแค่โอสถเทพหรือโอสถปีศาจเท่านั้น ทรัพยากรอื่นๆตราบใดที่มีธาตุไฟ ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาทั้งสิ้น

“โอสถวิเศษเหล่านี้ล้วนได้มาจากโลกถ้ําปีศาจ แม้พวกมันจะมีปราณธาตุไฟ แต่ก็ยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของโลกถ้ําปิศาจ”

ซูฉินสัมผัสถึงปราณภายในตัวยาอย่างระมัดระวัง และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโอสถเทพธาตุไฟและโอสถปีศาจธาตุไฟ

แม้ว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์จะให้ความร้อนแรงพอๆกัน แต่โดยภาพรวมมีเสถียรภาพมากกว่า ส่วนโอสถปีศาจที่อยู่ด้านหน้าของซูฉินนั้นมีกลิ่นอายของพลังแห่งการกดขี่อย่างมาก

“ถ้าเป็นโอสถชนิดอื่น ข้าอาจจะต้องใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย แต่สําหรับธาตุไฟนั้น…”

ซูฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ในทันใดนั้น เม็ดโอสถปีศาจทั้งหลายก็ลุกพรึบกลายเป็นเปลวไฟปีศาจขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาร่างของซูฉิน

อีกาทองคําสามขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด ตราบใดที่มันเป็นพลังงานธาตุไฟ จะสายเทพหรือสายมารก็ไม่มีความแตกต่างอะไร สามารถกลืนกินทั้งหมดเข้าไปได้โดยง่าย

ฟูมม!!

ไม่นานหลังจากเม็ดโอสถจํานวนมากไหลเข้าสู่ร่างกาย ด้านหลังของซูฉินก็มีแผ่นหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมารางๆ มีดวงตะวันขนาดมหึมาสลักอยู่บนแผ่นหินนั้น นอกจากนี้มันยังมีจุดแสงอีกนับหมื่น

ในเวลานั้น จุดแสงบางส่วนบริเวณขอบของแผ่นหินก็ค่อยๆสว่างขึ้น

หากใช้โอสถเหล่านี้ที่ละเม็ด อาจจะไร้ประโยชน์เพราะไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ของมันได้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป เมื่อใช้ใน “ปริมาณ” ที่มากถึงขนาดนี้

ซูฉินจะใช้วิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อใช้โอสถปีศาจที่สะสมไว้หลายร้อยเม็ดนี้ในการบ่มเพาะ หลังจากนี้ก็จะลงชื่อเข้าใช้ในโลกถ้ําปีศาจไปเรื่อยๆ และใช้วิธีเช่นนี้ต่อไป

ด้วยวิธีนี้ ไอพลังในร่างกายของซูฉินจะลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ และภาพแผ่นหินด้านหลังก็จะชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะจุดแสงบนแผ่นหินที่ดูมีแนวโน้มว่าจะสว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้ในไม่ช้า

เมื่อจุดแสงส่องสว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ หมายความว่าซูฉินได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว

ขณะที่ซูฉินกําลังฝึกฝนไปอย่างเชื่องช้านั้น

ในพระราชวังถัง หร่วนซิงก็พาชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าเดินเล่นรอบวังเพื่อทําความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่จะต้องอยู่ในอนาคต

ในที่สุดเหยียนให้ที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ เอ่ยถามด้วยเสียงต่ําว่า “ท่านอาจารย์อา ทําไมท่านถึงถูกนายท่านจับตัวมาได้?”

นักพรตเฒ่าเป็นผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถี อยู่ในระดับนภาชั้นที่สี่ มีสถานะเหนือกว่าศิษย์อย่างเหยียนไห่มาก

แม้ว่าเหยียนไห่จะอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม แต่คอขวดระหว่างนภาชั้นที่สามกับนภาชั้นที่สี่ก็เป็นคอขวดที่ใหญ่นัก

ในบรรดานิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างแดน มีเพียงนภาชั้นที่สี่เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้อาวุโสของแต่ละนิกายได้

ดังนั้นในมุมมองของเหยียนไห่ ผู้อาวุโสอย่างนักพรตเฒ่า ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วควรจะประจําการอยู่ภายในสํานัก เป็นไปได้อย่างไรที่จะวิ่งโร่มาให้ซูฉินจับได้?

นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ฟังเรื่องนี้

ถ้าเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินน่ากลัวเช่นนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มา แต่น่าเสียดายที่คําว่าถ้ามันไม่มีอยู่จริง

“ผู้อาวุโสทรงพลังเทียมฟ้า ข้าสามารถรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแค่ไหนแล้ว ดีกว่าหมิงโยวและเฉว่ยวี่ที่จบชีวิตอยู่ตรงนั้น…”

นักพรตเฒ่ากล่าวคําที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

แม้ว่าตอนนี้ความเป็นตายของเขาจะขึ้นอยู่กับผู้อื่นไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็รอดชีวิตมาได้

“หมิงโยว?”

หร่วนชิงและเหยียนไห่ชําเลืองมองหน้ากัน รูม่านตาของเขาหดตัวแคบลงในทันที

ในต่างดินแดน จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ชื่อหมิงโยวมีเพียงรองผู้นํานิกายเฮยหยวนเท่านั้น เป็นตัวตนที่ถูกกล่าวขานว่าใกล้เคียงกับการเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่สุด

“นายท่านสังหารหมิงโยว?”

เสียงของเหยียนไห่สั่นเครือไม่อยากจะเชื่อถือ

แม้แต่ศิษย์เช่นเขายังทราบถึงความน่ากลัวของหมิงโยวในต่างดินแดน นิกายเฮยหยวนนั้นโหดเหี้ยมนัก และรองผู้นําของนิกายเฮยหยวนก็สร้างชื่อเสียงให้นิกายมามากมาย

“เจ้าไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสหรือ?” นักพรตเฒ่างุนงงเล็กน้อย ซูฉินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว การจะสังหารหมิงโยวที่ยังไม่ได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธนั้น ย่อมทําได้ดั่งใจคิดไม่ใช่หรือ?

“ความแข็งแกร่งของนายท่าน………”

เหยียนไห่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเลียบเคียงถามออกมาอย่างระมัดระวัง “นายท่านเป็นตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธมิใช่หรือ?”

กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ซูฉินได้สังหารเทพธิดาจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและศิษย์ระดับนภาชั้นที่สามของนิกายเฮยหยวน เขาไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาออกมา ดังนั้นแม้แต่เหยียนไห่ก็ไม่รู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งเพียงไหน

ดังนั้นเมื่อนักพรตเฒ่าถามคําถามนี้ออกมา เหยียนไห่จึงคาดเดาดู นี่เป็นเพราะเขาเห็นนักพรตเฒ่าถูกจับกุมมาด้วยเช่นกัน จึงพอจะคาดเดาระดับคร่าวๆออกมาได้

ถึงแม้จะเป็นในต่างดินแดน จอมยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธก็นับได้ว่าเป็นตัวตนอันทรงพลังอํานาจไร้ต้านแล้ว ไม่ว่าเหยียนไห่จะมองซูฉินสูงส่งอย่างไร เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าซูฉินได้เข้าสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธแล้วหรือยัง

“ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักพรตเฒ่าก็ผงะไปครู่หนึ่ง สายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโส เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่ยืนหยัดได้ด้วยซ้ํา”

คําที่กล่าวออกมา

ทําให้เหยียนไห่ลูกตาแทบจะถลน

ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธเป็นตัวตนในระดับใดกัน? เพียงพอที่จะอาละวาดไปทั่วในต่างดินแดน แม้แต่ผู้นํานิกายใหญ่ก็ไม่กล้ารุกรานตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ

ถึงแม้ว่านิกายใหญ่จะมีผู้เยี่ยมยุทธเช่นกัน แต่หากไม่ไว้หน้าตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธเหล่านั้น มันจะเป็นเช่นไร หากเขาเพ่งเล็งเล่นงานไปที่ศิษย์สาวกแทนเล่า?

ผู้เยี่ยมยุทธนั้นคือตัวตนที่แข็งแกร่ง การรับมือผู้เยี่ยมยุทธเพียงกระบวนท่าเดียวก็ทําให้ไม่มีเวลามากพอไปช่วยเหลือ ใครอื่นแล้ว

ดังนั้น

แต่เหยียนไห่ไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งนี้จะออกมาจากปากนักพรตเฒ่า ผู้เยี่ยมยุทธจากต่างดินแดนไม่มีคุณสมบัติพอจะยืนอยู่ต่อหน้าซูฉินด้วยซ้ํา?

ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นอาจารย์อาของเขา เป็นผู้อาวุโสในสำนักเอกะวิถีที่ไม่น่าจะโกหก ไม่เช่นนั้นเหยียนไห่จะไม่มีวันเชื่อสิ่งนี้แน่นอน

“อาจารย์อา ท่านหมายความว่า….” เหยียนไห่ร้องออกมาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“ผู้อาวุโสเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดและยังเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธระดับเยี่ยมยุทธ แม้ว่าจะเป็นบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโส…”

นักพรตเฒ่าไม่ได้ปิดบังอะไร เขาบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้ออกมาตรงๆ

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุด…”

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้…”

ท่าทีของเหยียนไห่กลายเป็นตกใจมากจนจะเซล้มไปกับเขาไม่คิดว่าซูฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่ ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งแล้ว ระดับของซูฉินมันเกินขีดจํากัดจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว

“นายท่าน……”

หร่วนชิงกลืนน้ําลายดังเอื้อก

เขาก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน

แม้ว่าหร่วนซึ่งจะได้เห็นซูฉินอาบสายฟ้า เขาก็เดาว่าซูฉินอาจจะเป็นระดับเดียวกับบรรพชนเป็นอย่างมาก

แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่ากล่าวออกมา ซูฉินนั้นยืนอยู่เหนือบรรพชนส่วนใหญ่เสียแล้ว

ภูมิหลังที่ทรงพลังที่สุดของนิกายใหญ่ในต่างแดนก็คือบรรพชนที่หลับใหลภายในนิกาย ตราบใดที่บรรพชนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็สามารถยืนอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหมดในต่างแดนได้อยู่เสมอ

แต่ตอนนี้ซูฉินไม่เพียงแต่อยู่ในระดับนี้เท่านั้น แต่ยังทะลุเกินกว่าระดับนี้ไปอีก มันจะน่ากลัวขนาดไหน? เผด็จการเพียงไร? มองโลกในรูปแบบใดกัน?

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท