เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 249 (II) พวกเจ้ากําลังมองหาอะไร?
“ไม่ต้องรีบเร่ง”
“ใจเย็นๆ เอาไว้”
“ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีก่อนที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปได้ จนถึงตอนนั้นค่อยกลับมาฝึกฝนก็ยังไม่สาย”
แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมาก ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อขอบเขตของซูฉินถึงเกณฑ์กําหนด ก็แค่ต้องกลับมาทบทวนมันซ้ําอีกครั้ง
“ต่อจากนี้ ข้าจะบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า”
ท่าทางของซูฉินกลายเป็นเคร่งครัดมากขึ้น และได้นําโอสถศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยชิ้นออกมาจากคลังของระบบ จากนั้นจึงเริ่มบ่มเพาะ
เวลาค่อยๆผ่านเลยไป
หลายเดือนผ่านไปภายในพริบตา
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่ได้ปิดด่านฝึกตนตลอดเวลา เพราะก็มีบางครั้งที่กลับมาที่วังหลวงเพื่อชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูล
นอกจากนี้ซูฉินยังออกจากวัง แวะเดินเล่นรอบเมืองฉางอันอีกด้วย
การฝึกฝนวิทยายุทธนั้นไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงแก่นแท้และร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงปรับสภาพอารมณ์ของตนเองอีกด้วย ยิ่งซูฉินเข้าใกล้การพัฒนามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องปรับอารมณ์มากเท่านั้น
ในขณะที่ซูฉินยังคงฝึกฝนอยู่อย่างเงียบๆ
ณ ยุทธภพต่างแดน ภายในสํานักเอกะวิถี
เจ้าสํานักเอกะวิถีหยิบน้ําเต้าที่ข้างเอวออกมา รินเหล้าเข้าไปในปาก พึมพําอยู่กับตนเองขณะที่เหม่อมองออกไปแสนไกล “คํานวณจากเวลาแล้ว ตอนนี้บรรพชนจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนน่าจะไปถึงพื้นที่จุดตัดแล้วใช่ไหมนะ?”
“เจ้าสํานัก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทําไมพวกเราถึงไม่ปลุกบรรพชนสํานักเอกะวิถีขึ้นมา…” นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตอนที่บรรพชนของตําหนักเทพเจ้า มะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบได้ตื่นขึ้น ทั้งสามนิกาย ใหญ่ก็แทบจะครอบงําได้ทั่วดินแดน
โดยเฉพาะบรรพบุรุษชีหยวนที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยคนของนิกาย เฮยหยวน ว่ากันว่าเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีก่อน เขาเคยเป็นผู้ให้ เทียมทานในยุคนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาของนิกายเฮยหยวนมี ข้อบกพร่อง เกรงว่าเขาคงพัฒนาตนเอง ทะลวงขั้นกลายเป็นเซียน เทพปฐพี่ไปแล้ว
“ปลุก?”
“ทําไมสํานักเอกะวิถีของพวกเราจะต้องปลุกบรรพชนขึ้นมาด้วย
เล่า?”
เจ้าสํานักเอกะวิถีเพียงมองอย่างไม่รู้อธิบายอย่างไร ยังคงดื่มเหล้าจากน้ําเต้าต่อไปอีกครั้ง “ไม่ว่าจะเป็นนิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ หรือพรรคหมื่นดาบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะมีผู้อาวุโสภายในนิกายที่ตกตายไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาจึง
ตื่นตัว”
“แต่สําหรับสํานักเอกะวิถีของเรา…”
เมื่อเจ้าสํานักเอกะวิถีพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็ปรากฏอาการแปลกๆ
ตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสของนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะเสียชีวิตไป เขาก็มักจะตรวจสอบดวงไฟแห่งชีวิตของเหยียนไห่ และของนักพรตเฒ่าที่เดินทางไปยังพื้นที่จุดตัดเสมอ
อาจจะดับลงเมื่อไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้เจ้าสํานักแปลกใจก็คือ จนถึงตอนนี้ดวงไฟแห่งชีวิตของทั้งคู่ก็ยังลุกโชนอย่างเป็นปกติดี
บ่อยครั้ง เจ้าสํานักถึงกับต้องใช้วิธีลับที่ทําให้ดวงไฟแห่งชีวิตลุกโชนมากยิ่งขึ้นเพื่อติดตามสถานะของเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตในช่วงเวลานั้น
และผลก็ทําให้พบว่าศิษย์เหยียนไห่และผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีล้วนอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขายังมากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย ซึ่งน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
ศิษย์และอาวุโสจากนิกายใหญ่อื่นๆ ไม่สามารถหนีจากความตายได้แม้จะเป็นในรูปแบบของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่ทั้งศิษย์และผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถีไม่เพียงแต่จะไม่ตาย แต่เหมือนว่าชีวิตของพวกเขายังอยู่ดีมีสุขอีกด้วย?
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปถึงหูนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะเข้า เกรงว่าบรรพชนเหล่านั้นคงไม่ได้ไปยังพื้นที่จุดตัดเป็นที่แรก แต่จะมุ่งเป้ามาที่สํานักเอกะวิถีแทน
“แต่ว่า แผ่นดินแห่งพลังยุทธ.” นักพรตหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง
“เจ้าอยากจะบอกว่า เจ้ากลัวว่านิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะได้ครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธไปอย่างนั้นน่ะหรือ?” เจ้าสํานักกล่าว
“เป็นเช่นนั้น” นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับในทันที
แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่คือแกนหลักของการฟื้นคืนกระแสปราณฉี และเป็นส่วนสําคัญเมื่อยุคแห่งโลกอันยิ่งใหญ่มาถึงในอนาคต หากปล่อยให้นิกายใหญ่อย่างตําหนักเทพเจ้าหิมะครอบครอง ก็เกรงว่ามันจะไม่ส่งผลดีต่อสํานักเอกะวิถี
“สบายใจได้”
“ตอนนี้กระแสปราณฉีเพิ่งเริ่มฟื้นคืน ยังอีกนานกว่าจะถึงช่วงรุ่งโรจน์ โอกาสที่แท้จริงภายในพื้นที่จุดตัดยังไม่ปรากฏขึ้น ปล่อยให้ตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆกรุยทางไปก่อนเถอะ…”
นักพรตเจ้าสํานักดูไม่สนใจ
การกําเนิดขึ้นของแผ่นดินแห่งพลังยุทธไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อกระแสปราณฟื้นคืนทุกสิ่งจะค่อยๆเปิดเผยออกมา
“แล้วก็……”
เมื่อนักพรตเฒ่าได้กล่าวออกไปเช่นนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ไม่ใช่สํานักเอกะวิถีของเราแค่กลุ่มเดียว แต่ยังมีเฒ่าชราอีกตั้งหลายคนกําลังเฝ้าดูการแสดงอยู่ด้วยมิใช่หรือ?”
เฒ่าชราอีกหลายคน…..
นักพรตหนุ่มรู้สึกประหม่าและไม่กล้าถามอะไรต่อไปอีก
ในตอนนั้นเอง
ด้านนอกเมืองฉางอัน
“เทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้าได้มาตกตายที่นี่?” บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะมองไปที่เมืองฉางอันด้วยสายตาเย็นชา
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ นําศิษย์นิกายเฮยหยวน ศิษย์พรรคหมื่นดาบ และศิษย์สาวกของนิกายใหญ่อื่นๆมายังเมืองฉางอันแห่งนี้เพื่อจะปราบปรามราชวงศ์ถัง และครอบครองพื้นที่จุดตัด แต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันก็ออกมาโจมตี ซึ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สังหารทุกคนจนหมด เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปทั่วทวีปมานานแล้ว
ใช้เวลาสืบสวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ดังนั้นบรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆ จึงมุ่งตรงมายังเมืองฉางอัน และต้องการจะร่วมมือกันปราบปรามตํานานยุทธเมืองฉางอัน
“ฮ่ม!”
“ก็เข้าไปฆ่าตรงๆ เลย คงไม่เป็นอะไรกระมัง?” ชายที่หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ ดุจใบดาบอันศักดิ์สิทธิ์
“เข้าไปฆ่า?”
ในเวลานั้น ชายหนุ่มที่มีไอพลังดูเยือกเย็นราวกับผีสางก็พูดออกมา จากรูปลักษณ์ดูเหมือนเขาจะอายุเพียงสิบแปดเท่านั้น แต่รัศมีพลังของเขาราวกับขุมนรกที่ไร้ก้นบึงมืดมิด ยากหยั่งถึง เขาคือหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน
“มีคนมากมายอยู่ที่นี่ มันคงจะน่าเสียดายที่จะไม่ฆ่าพวกมันให้หมด? ปล่อยให้ชายชราผู้นี้ได้กลืนกินแก่นแท้และเลือดเนื้อ ฝึกฝนเคล็ดมารคงจะดีกว่า…”
น้ําเสียงของบรรพบุรุษซีหยวนนั้นเรียบง่ายแต่ก็ดูโหดร้ายอย่างยิ่ง
เมื่อบรรพบุรุษเฉวซินได้ยินสิ่งนี้ หัวคิ้วก็ยื่นเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
ในครานี้ที่สามบรรพชนแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบมาร่วมมือกัน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือชีหยวน
แม้บรรพบุรุษเฉวซินจะเย่อหยิ่งไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษชีหยวนมันก็ต้องมีเกรงกลัวกันบ้าง
ไม่เพียงเพราะบรรพบุรุษชีหยวนแข็งแกร่งที่สุดจึงถูกปลุกให้ตื่น ยิ่งกว่านั้น ที่บรรพบุรุษชีหยวนตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ ก็เพราะแก่นชีวิตใกล้จะถึงจุดจบอย่างสมบูรณ์แล้ว
หากยังหลับต่อก็มีแต่จะต้องตายไปเพราะวัยชรา
“ไม่ต้องกังวล
“จนกว่าจะได้พบตํานานยุทธเมืองฉางอัน ข้าจะยังไม่ฆ่าคนให้มันมากมายนัก”
บรรพบุรุษชีหยวนเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบแล้วจึงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก
“เข้าไปกันเถอะ”
บรรพบุรุษชีหยวนก้าวเดินช้าๆ ไปทางเมืองฉางอัน “ข้าอยากจะเห็นสักหน่อยว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งกําเนิดขึ้นจากที่นี่ได้อย่างไร”
บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบ เมื่อได้ยินคําพูดนั้นก็มองหน้ากัน และเดินตามเข้าไปในเมืองฉางอัน
ผู้คนย้ายเข้ามามากมาย เมืองฉางอันในปัจจุบันจึงครึกครื้น
บรรพชนทั้งสามเดินทอดน่องไปตามถนน
“ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของตํานานยุทธอยู่?” บรรพบุรุษเฉวซินแพร่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปทุกทิศทาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ควรจะเป็นที่พระราชวัง มันพอจะมีกลิ่นอายของตํานานยุทธอยู่บ้าง แต่ก็ยังห่างไกลจากตํานานยุทธขั้นสูงสุด” บรรพบุรุษชีหยวนหรี่ตาแล้วมองไปที่วังหลวง “ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้สิบเท่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมิงโยว”
“มิผิด”
ใบหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบดูมืดครึ้มลง “ตอนนี้เราควรจะทําอย่างไร?”
บรรพชนทั้งสามนั้นมารวมตัวกันเพื่อตามหาตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหาตัวตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้
“ทําอย่างไร?”
“รอดูต่อไป หากเราขุดทําลายที่นี่ลงไปสักสามฟุต ชโลมพื้นที่นับพันด้วยเลือด ชายชราผู้นี้ไม่เชื่อว่าคนที่พวกเราตามหาจะยังไม่โผล่หัวออกมา!”
บรรพบุรุษชีหยวนใบหน้ามืดมน กระแทกเสียงในทุกคําที่พูด
ท่าทีของบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบหม่นหมองลงหลังจากพวกเขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษชีหยวน
บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะสังหารผู้คนนับล้านในที่แห่งนี้ และขุด ทําลายเมืองฉางอันลงไปสามฟุตจริงๆ
ในขณะที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกําลังจะไปยังวังหลวง เพื่อปราบตํานานยุทธที่อยู่ภายใน และกดดันให้จักรพรรดิถังบอกข่าวเรื่องของตํานานยุทธขั้นสูงสุดมานั้น
เสียงที่ฟังดูสบายๆ ไม่เร่งร้อนก็ดังขึ้น
“พวกเจ้ากําลังมองหาสิ่งใด?”
เห็นบุคคลผู้มีสายตาอันกว้างไกลกําลังมองดูพวกเขาอยู่เงียบๆห่างออกไปไม่กี่เมตร
“เจ้าคือ?!” บรรพชนทั้งสาม รวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนต่างก็มองมาที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ