เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 243 เข้าสู่ระบบ! โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด!

ตอนที่ 243 เข้าสู่ระบบ! โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด!

Sign in Buddha’s palm 243 เข้าสู่ระบบ! โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด!

มังกรปีศาจตายลงแล้ว

หลังจากที่ร่างมังกรขนาดมหึมาได้ถูกฉีกออกโดยซูฉินร่างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเงาสลัวๆ ก็ปรากฏขึ้น มันต้องการจะรีบกลับเข้าไปยังวิหารการสงครามแต่ซูฉินที่เตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว สามารถหยุดเอาไว้ได้ทัน และทั้งรูปร่างและพลังงานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนถูกทําลายเป็นเถ้าถ่านอย่างสมบูรณ์

มังกรปีศาจนั้นแข็งแกร่งมาก

แม้ว่าพลังชีวิตจะลดลงและใกล้สิ้นอายุขัย แต่ตํานานยุทธทั่วไปก็ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้เลยเมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามังกรปีศาจหากไม่ได้มีกฎของวิหารการสงคราม เกรงว่าสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งทวีปคงจะถูกมันสังหารจนสิ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสุดท้ายที่มังกรปีศาจระเบิดพลังชีวิตและเลือดเนื้อออกมา พลังต่อสู้ที่แสดงออกมานั้นก็ได้ไปถึงระดับภาชั้นที่เก้าของขอบเขตตํานานยุทธแล้ว มันทั้งดุร้ายและทรงพลังในยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้ มันคือผู้ไร้เทียมทานในโลกใบนี้อย่างแน่แท้

น่าเสียดาย

ที่มังกรปีศาจได้มาพบซูฉิน

ร่างกายของซูฉินเกือบจะเสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่หกแล้วและหากเทียบแค่กายเนื้อเพียงอย่างเดียวแน่นอนว่าแม้แต่เซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าซูฉิน

แม้ว่ามังกรปีศาจจะมีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ซูฉินเองก็ฝึกฝนดวงตะวันขนาดมหึมาจนถึงระดับเริ่มต้นด้วยเช่นกันกลิ่นอายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรปีศาจเสียอีก

นอกจากนี้ พลังชีวิตและเลือดเนื้อของมังกรปีศาจนั้นเสื่อมโทรมลงมากแล้ว แม้ว่าจะกระตุ้นพลังออกมาจนถึงขีดสุด แต่ก็ยังห่างไกลจากความสามารถที่จะบดขยี้ซูฉินได้ในท้ายที่สุด ซูฉินก็ได้ใช้วิชาอันไร้เทียมทานนับร้อยนับพันวิชาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจากนั้นจึงหนุนเสริมด้วยพลังจากดวงตะวันขนาดมหึมาเพื่อสังหารมัน

ในความเป็นจริง

หากมังกรปีศาจยังไม่ตาย ซูฉินก็อยากจะลองใช้ฝ่ามือยไลดูเสียจริงๆ หลังจากผ่านมาหลายสิบปีในการทําความเข้าใจรูปแบบที่หนึ่งของฝ่ามือยไล เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุด” จนเชี่ยวชาญถี่ถ้วน เมื่อใช้ออก ท้องฟ้าและผืนดินจะปกคลุมไปด้วยแสงแห่งองค์ยูไลปกครองทุกสิ่งเพียงตัว” ข้าวเพียงผู้เดียว

สิ่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่สืบทอดต่อมาจากองค์ยูไลแม้แต่ซูฉินเองก็ไม่ทราบว่าขีดจํากัดพลังของมันจะไปหยุดอยู่ที่ใด

“แต่เลือดและเนื้อหนังของมังกรสามารถเก็บเอาไว้ได้”

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าของเขาครุ่นคิด

และขณะที่ซูฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างจ้องมองที่เกิดเหตุด้วยความประหลาดใจ

“มังกรปีศาจ.ตายแล้ว?”

หญิงชราที่ถือไม้เท้ากลืนน้ําลายดังเอื้อก แหงนหน้ามองซูฉินที่ยืนอยู่บนอากาศ คลื่นพายุลูกใหญ่ก็โหมกระหน่ําอยู่ในใจ!

นั่นคือมังกรปีศาจเชียวนะ!

ตั้งแต่วิหารการสงครามกําเนิดขึ้นครั้งแรก มังกรปีศาจตนนี้ก็มีตัวตนอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่รู้ว่าผ่านเวลามานานเท่าไหร่ มันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งแซงหน้าตัวตนในขอบเขตตํานานยุทธไปแล้ว แต่ตัวตนดังกล่าวกลับตายไปแล้วจริงๆ งั้นหรือ?

การตายก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สําคัญที่สุดคือมันทําไม่ได้แม้แต่จะต่อสู้ กลับถูกฉีกกระชากจนเลือดมังกรสาดกระจาย?!!

บนยอดเขาคุนหลุน ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางคนที่มีความคิดเป็นอื่นเมื่อพวกเขาได้เห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตาตนเองมือและเท้าก็เย็นเยียบเหมือนกับกําลังจมดิ่งลงไปในเหวลึก

เมื่อตอนที่มังกรปีศาจปรากฏตัวขึ้น พวกมันไม่ได้แปลกใจเลยมีแต่ดีใจกันทั้งนั้น

ถ้าไม่มีมังกรปีศาจ วลีที่ซูฉินกล่าวว่า “วิหารการสงครามนี้ยกให้แก่ข้า” นั้นคงจะไม่มีใครต่อต้านได้

แต่มังกรปีศาจทําให้ผู้คนในที่แห่งนี้มีโอกาส

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางส่วนไม่ได้คิดจะให้มังกรปีศาจสังหารซูฉิน แต่อย่างน้อยก็สามารถลากถ่วงซูฉิน หรือต่อสู้กับซูฉินอย่างรุนแรงจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย

ด้วยวิธีนี้ ซูฉินจะไม่สามารถรั้งพวกเขาไม่ให้เขาไปภายในวิหารการสงครามได้ และภายในวิหารการสงคราม เมื่อสูญเสียมังกรปีศาจที่คอยปกป้องมันเอาไว้โอกาสที่จะได้เข้าไปภายในส่วนลึกของวิหารก็จะตกเป็นของพวกเขา เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในโลกเลยที่ เดียว

และในขณะที่ทุกคนยังตกใจอยู่นั้น

ซูฉินก็เริ่มเก็บเลือดมังกรเนื้อมังกรที่กระจายอยู่บนพื้น

มังกรปีศาจภายในวิหารการสงคราม หรือจะเรียกให้ถูก มันไม่ได้เป็นแม้แต่มังกรน้ํา พูดได้แค่ว่ามีแค่เศษเสี้ยวของมังกรที่แท้จริงอยู่เท่านั้นด้วยอิทธิพลของปราณมังกรนี้จึงทําให้มังกรปีศาจสามารถมีชีวิตอยู่ภายในวิหารการสงครามมาได้จนถึงปัจจุบัน

ควรรู้ว่าแม้แต่อายุขัยของสัตว์อสูรก็ยังมากเกินกว่าอายุขัยของมนุษย์ นับประสาอะไรกับมังกรปีศาจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ การฝึกฝนบ่มเพาะของเผ่าพันธุ์อื่นนั้นเชื่องช้ากว่ามาก อัจฉริยะของเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจจะขึ้นไปแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ในเวลาหลายร้อยปี แต่สําหรับเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร หากต้องการจะไปถึงขอบเขตเดียวกันอาจจะใช้เวลามากกว่าพันปี

“ถ้าซึมซับเลือดและเนื้อมังกรทั้งหมดเข้าไป ร่างกายของข้าอาจจะเข้าสู่การแปรสภาพครั้งที่หกก็เป็นได้”

ความคิดของซูฉินผันผวน

ตอนนี้ร่างกายของเขาเกือบจะเสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่หกแล้วหากได้อาบด้วยเลือดมังกรอาจจะก้าวหน้าไปอีกขั้นและทําให้การแปรสภาพร่างกายครั้งที่หกเสร็จสมบูรณ์

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะว่าระดับของมังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามนั้นไม่สูง รวมกับเรื่องที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อของมันเสี่อมโทรมลงมากแล้ว แก่นแท้และสายเลือดมังกรก็มีอยู่อย่างจํากัดซึ่งแน่นอนว่าเป็นประโยชน์กับซูฉิน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

ไม่เช่นนั้น หากเป็นมังกรปีศาจในสมัยก่อน หรือเป็นเพียงมังกรน้ําที่แท้จริง ซูฉินจะได้ประโยชน์จากมันอย่างมากอาจจะไม่ถึงขั้นสําเร็จการแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ด แต่อย่างน้อยก็สามารถก้าวเข้าสู่การแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดได้

“เลือดและเนื้อมังกรนี้มีปริมาณมากเกินไป”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วเขาคุนหลุนด้วยอาณาเขตของเขา

ร่างของมังกรปีศาจนั้นยาวหลายร้อยเมตร บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ แค่เลือดของมันอย่างน้อยก็หนักร่วมหมื่นชั่งแล้ว

เมื่อรวมเข้ากับร่างของมังกรปีศาจแล้ว เกรงว่ามันจะมีขนาดใหญ่เท่าเนินเขาสักลูกหนึ่ง

แม้ว่าน้ําหนักจะไม่เป็นปัญหาอะไรนักสําหรับซูฉิน แต่ก็ลําบากมากที่จะพกมันติดตัวไปไหนมาไหน

ส่วนพื้นที่ระบบของซูฉิน

พื้นที่ของระบบรองรับเพียงแค่สมบัติที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้นส่วนสิ่งของอื่นๆ ไม่สามารถเก็บเข้าไปได้

“กลั่นมันตรงนี้เลยแล้วกัน”

“กลั่นสิ่งเจือปนในเลือดและเนื้อมังกรทิ้งไป”

ในที่สุดซูฉินก็ตัดสินใจได้

ในเวลาต่อมา

จิตใจของซูฉินขยับวูบ เลือดและเนื้อของมังกรที่กระจายอยู่ภายในอาณาเขตก็ค่อยๆ เริ่มพุ่งเข้าหากันอย่างช้าๆ

ในขณะนั้น กลุ่มก้อนเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นเบื้องหน้าของซูฉิน

กลุ่มเปลวไฟนี้เป็นไฟศักดิ์สิทธิ์เก้าดวงจากเคล็ดเก้าสุริยันนอกจากนี้เมื่อซูฉินฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาทําให้มีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขาอยู่จางๆ มันทําให้พลังของเคล็ดก้าวสุริยันฟูงสูงขึ้นไปอีกหลายระดับ การกลั่นเลือดเนื้อของมังกรปีศาจจึงทําได้อย่างสมบูรณ์แบบในคราวเดียว

ฟูวววว

เลือดเนื้อมังกรปริมาณมหาศาลถูกไฟศักดิ์สิทธิ์เก้าสุริยันแผดเผาเลือดมังกรสีดําก็ลดปริมาณลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ได้มองเห็นสิ่งนี้จากในระยะไกลพวกเขาก็รู้สึกตกใจกันอย่างล้นหลาม

ซูฉินไม่เพียงแต่ฉีกทิ้งมังกรปีศาจอย่างกะทันหัน แต่ยังกลั่นเลือดเนื้อมังกรด้วยมือของเขาเอง

รู้หรือไม่ว่าแม้มังกรปีศาจจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ภายในเลือดและเนื้อ แม้ว่าตํานานยุทธโดยทั่วไปจะสามารถกลั่นมันได้แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะสําเร็จ

แต่ซูฉินใช้เปลวไฟเพื่อกลั่นเลือดมังกรโดยตรงเป็นวิธีที่หยาบเหลื่อคณา

หวง!

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง

เลือดมังกรนับหมื่นชั่ง เมื่อถูกเผาด้วยเคล็ดเก้าสุริยัน พวกมันก็ลดลงจนเหลือเพียงแค่เก้าหยด

เลือดมังกรทั้งเก้าหยดนี้สีดําสนิทราวกับน้ําหมึก และดูเหมือนจะมีภาพเงาของมังกรคํารามก้องอยู่ภายใน

“ไม่เลว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย หน้าตาดูพึงพอใจ

เลือดมังกรทั้งเก้าหยดนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดเมื่อนับจากทั่วทั้งร่างของมังกรปีศาจความยาวกว่าหลายร้อยเมตร

ที่ยิ่งกว่านั้น ไอพลังอันน่าสยดสยองภายในเลือดมังกรได้ถูกซูฉันกําจัดไปหมดสิ้น หากคนธรรมดาได้ดูดกลืนเข้าไปก็สามารถกําเนิดใหม่ได้อย่างแน่นอน ร่างกายจะแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างมาก เพียงกายเนื้ออย่างเดียวอาจจะสามารถสั่นสะเทือนตํานานยุทธได้เลย

ซูฉินมองเลือดทั้งเก้าหยดนั้น แล้วจึงหยิบขวดหยกออกมาใส่เลือดทั้งหมดลงไป และเหน็บไว้ข้างตัว หลังจากเขาพร้อมที่จะกลับเมืองฉางอันเขาจะนําเลือดมังกรนี้มาใช้เพื่อแปรสภาพร่างกายครั้งที่หกจนเสร็จสมบูรณ์

หลังจากที่ทุกสิ่งเรียบร้อยสมบูรณ์ ซูฉินก็เหลือบมองเฉียนขู่และหลีหว่านจากนั้นจึงพูดอย่างเป็นกันเอง “ข้าจะเข้าไปสํารวจภายในวิหารการสงครามสักหน่อย ภายในสิบวันถ้ายังไม่ออกมาพวกเจ้าก็กลับกันเองได้เลย”

“ขอรับ”

เฉียนขู่และหลีหว่านมองหน้ากันและตอบรับทันที

“ส่วนพวกเจ้า?”

ซูฉินเหลือบมองยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลาย แล้วจึงพูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ ว่า “พวกเจ้าทุกคนจงกลับไป

เถิด”

“ขอรับ”

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทุกคนโค้งคํานับและกล่าวคําจากนั้นจึงค่อยๆ ทยอยออกจากเขาคุนหลุนภายใต้การจ้องมองของซูฉิน

“ก่อตั้ง!”

ซูฉินมองไปรอบๆ และค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นล้อมรอบเทือกเขาคุนหลุนทั้งหมด ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ไม่ใช่ค่ายกลสังหารเป็นเพียงค่ายกลที่พอจะหยุดจอมยุทธทุกคนที่มีระดับอยู่ต่ํากว่าตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ และแม้แต่ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่หกถึงเจ็ดก็ยังต้องติดกับอยู่ชั่วขณะหากต้องการบุกรุก เข้ามา

นอกจากนี้ เมื่อสัมผัสเข้ากับค่ายกลขนาดใหญ่นี้ แม้ว่าซูฉินจะอยู่ภายในวิหารการสงคราม เขาก็จะรู้ตัวเป็นคนแรก

“ขั้นต่อไป”

“ก็ได้เวลาเข้าสู่วิหารการสงครามแล้ว…”

ซูฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังวิหารการสงคราม

ตอนนี้มังกรปีศาจที่คอยปกป้องวิหารการสงครามได้ตกตายภายใต้ฝีมือของซูฉินไปแล้ว ภายในวิหารการสงครามจึงไม่ควรจะมีสิ่งใดที่มาขวางทางซูฉินได้

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูฉินก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าและปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าวิหารการสงคราม จากนั้นจึงก้าวเดินอีกหนึ่งก้าวเพื่อเข้าสู่วิ

หาร

ภายในวิหารการสงคราม

แผ่นฟ้าสูง ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ พลังปราณและจิตใจแห่งฟ้าดินมีมากกว่าผืนแผ่นดินใหญ่และไม่อ่อนแอไปกว่าบนเกาะหยิงโจว

สายตาของซูฉินกวาดไปทั่วทุกมุม มีดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกๆที่ไม่ได้มีอยู่ในโลกภายนอกขึ้นอยู่เต็มไปหมด ด้านบนของห้องโถงมีภาพแกะสลักของดวงดาวในดาราจักรอยู่ทั่วเพดาน

“เต็มไปด้วยปราณฉี มีจิตใจแห่งฟ้าดินอยู่ทุกส่วน แต่วิหารการสงครามก็ไม่น่าจะเป็นที่หมายตาของตัวตนในระดับเซียนเทพปฐพ่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

ซูฉันค่อยๆ ปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกไปทั่วบริเวณ

นักพรตเฒ่าเคยกล่าวเอาไว้ว่าในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีเซียนเทพปฐพี่หลายคนหมายตาวิหารการสงครามเอาไว้แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกโยนออกมาด้วยสภาพทุเรศทุรัง

สําหรับเซียนเทพปฐพี พลังงานและจิตใจแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้มันก็เป็นเพียงขนมขบเคี้ยวเท่านั้นตัวอย่างเช่นจ้าวทะเลบูรพาได้จัดตั้งค่ายกลฟ้าดินที่ทําให้เกาะหยิงโจวอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่กระแสปราณฉีเสื่อมโทรม

แม้ว่าจะต้องยกความดีความชอบให้กับน้ําพุจิตวิญญาณแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อพูดถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพีสิ่งที่มีค่าที่สุดหาใช้ปราณฉีหรือจิตใจแห่งฟ้าดินไม่

“หม?”

ดูเหมือนซูฉินจะค้นพบอะไรบางอย่าง อาณาเขตถูกปลดปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหยกก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน

“หยกที่ใช้บันทึกเคล็ดวิชา?”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเจาะทะลวงเข้าไป และพบว่ามีเทพวิชาระดับตํานานยุทธบรรจุไว้

“นี่น่าจะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในสายตาของจอมยุทธจํานวนมากที่เข้ามาภายในวิหารการสงคราม”

ซูฉินคาดเดาในใจ

ด้วยเคล็ดวิชาระดับตํานานยุทธ ควบคู่ไปกับพลังปราณและจิตใจแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนจึงต้องการเข้ามาภายในนี้

“เอาล่ะ”

“ตอนนี้ข้าได้เข้ามาวิหารการสงครามเรียบร้อยแล้ว”

“น่าจะลงชื่อเข้าใช้ตรงนี้ได้เลยนะ”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!” ซูฉันคิดอยู่ภายในใจครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาเบาๆ

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด*1]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท