เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 257 เป็นผู้ใด

ตอนที่ 257 เป็นผู้ใด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]257 เป็นผู้ใด

วิหารหมื่นพุทธเป็นหนึ่งในพุทธศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ในต่างแดนสืบทอดมรดกต่อมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งก่อกําเนิดของพุทธศาสนาในต่างแดนย่อมมีบันทึกของ “วิหารการสงคราม” เป็นธรรมดา

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบรรพชนของวิหารหมื่นพุทธบรรพชนเก้าเข้าใจชัดแจ้งว่าวิหารการสงครามคือสิ่งใดนั่นเป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ไม่สามารถฝาเข้าไปได้หากไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเรื่องราวนี้ได้ถูกบันทึกไว้โดยผู้ที่ทรงพลังจนถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดช่วงยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี วิหารการสงครามก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สิ่งที่บรรพชนเก้าไม่คาดหวังก็คือ จะมาได้ยินคําว่าวิหารการสงครามในทวีปนี้

ใบหน้าของบรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ความคิดแรกของเขาคือวิหารการสงครามจากปากของเจ้าอาวาสอารามวัชระคือสิ่งเดียวกับวิหารการสงครามที่เขารู้มาหรือไม่

ท้ายที่สุดแม้คําว่าวิหารการสงครามจะไม่ธรรมดา แต่ก็คงไม่ได้มีเพียงที่เดียวในโลก

อย่างไรก็ตาม มังกรปีศาจที่เจ้าอาวาสอารามวัชระกล่าวถึงทําให้บรรพชนเก้าตกใจ

ถ้าเป็นเพียงวิหารการสงครามอาจจะบังเอิญมีชื่อเหมือนกันแต่เมื่อเพิ่มมังกรปีศาจเข้าไปก็สอดคล้องกับวิหารการสงครามในบันทึกของวิหารหมื่นพุทธ

“เจ้าคงไม่ได้โกหกข้าหรอกใช่ไหม?”

บรรพชนเก้ามองอย่างเคร่งเครียด จ้องไปที่เจ้าอาวาสอารามวัชระกล่าวทุกคําออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคํา

มังกรปีศาจในวิหารการสงครามในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องร่วมมือกันต่อต้านและสุดท้ายก็ยังโดนขับไล่ออกมาด้วยสภาพทุเรศทุรัง

สัตว์อสูรที่ดุร้ายเช่นนี้ต่อให้เป็นอรหันต์ลงมือก็คงไม่สามารถทําได้สําเร็จเช่นกันจะตกตายภายใต้น้ํามือของผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเข ตอรหันต์ได้เช่นไร?

“ภิกษุไม่กล่าวคําโป้ปด” เจ้าอาวาสอารามวัชระประสานมือและกระซิบคําออกมา

“จริงสิ” บรรพชนเก้าเหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูก็หมื่นกว่าปีมาแล้ว”

“แม้ว่าวิหารการสงครามจะอยู่คงอยู่ได้อย่างยาวนาน แต่มังกรปีศาจก็ต้องมีบ้างที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมสลายลงไปความแข็งแกร่งก็น่าจะหล่นลงมาอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ บรรพชนเก้าก็พยักหน้าเล็กน้อยพลันเข้าใจเรื่องราว

ในฐานะของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร อายุขัยของมังกรปีศาจนั้นเหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าอายุขัยจะไร้ขีดจํากัด

ไม่เช่นนั้นโลกนี้คงถูกปกครองด้วยสัตว์อสูรไปเสียตั้งนานแล้วจะยังมีมนุษย์เหลือรอดได้เช่นไร?

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอยความแข็งแกร่งลดลง ทําให้อรหันต์ผู้หนึ่งสามารถสังหารมันลงได้ก็ยังทําใจได้ยากที่จะยอมรับจริงๆ

“เพียงแต่ว่า”

“ถึงแม้มังกรปีศาจจะแก่ชราจนใกล้ตาย แต่พรสวรรค์และพลังเหนือธรรมชาติของมันก็ยังคงอยู่ อรหันต์จากวัดเส้าหลินจะต้องมีวิธีการบางอย่างถึงสามารถสังหารมังกรปีศาจลงได้”

บรรพชนเก้าขบคิดอยู่ในใจ

เขาไม่ได้สงสัยว่าเจ้าอาวาสอารามวัชระจะโกหก

ในตอนนี้ บรรพชนเก้าได้เฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าอาวาสอารามวัชระด้วยอาณาเขต หากอีกฝ่ายได้กล่าวคําโกหกออกมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบซ่อนจากตัวเขา

นอกจากนี้ ตามคําอธิบายของเจ้าอาวาสอารามวัชระเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะคุยกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความลับ หากต้ องการรู้เขาก็แค่ต้องไปตรวจสอบซ้ําอีกครั้งไม่ใช่หรือ?

เจ้าอาวาสอารามวัชระจะกล้าหลอกลวงตัวเขาในเรื่องนี้ได้อย่างไร?

“บางที่ “องค์ยูไลที่ข้ากําลังตามหาอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้”

ความคิดของบรรพชนเก้าเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปยังวัดเส้าหลิน”

บรรพชนเก้าเสี่ยงที่จะต้องกระทบกระทั่งกับตํานานยุทธเมืองฉางอันโดยการเข้ามายังอาณาจักรถังเพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งองค์ยูไล” ตอนนี้เขาพบเบาะแสบางอย่างแล้ว จะให้ยอมแพ้ได้อย่างไร?

เมื่อคิดได้ดังนี้ บรรพชนเก้าก็ก้าวเดินไปข้างหน้า หายวับรีบเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน

เจ้าอาวาสอารามวัชระและผู้พิทักษ์อารามต่างก็มองหน้ากันในที่สุดผู้พิทักษ์อารามก็อดไม่ได้และถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าอาวาสคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขั้นใดกัน?”

“แข็งแกร่งขั้นใด?”

เจ้าอาวาสอารามวัชระมองไปยังผู้พิทักษ์อาราม “เจ้าคิดว่าผู้ที่สามารถปราบศิษย์วัดกว่าพันคนภายในอารามวัชระได้ด้วยกลิ่นอายเพียงอย่างเดียวจะมีความแข็งแกร่งในขั้นใดกันเล่า?”

คําที่กล่าวออกมา

ใบหน้าของภิกษุหลายคนซีดเผือด พวกเขาได้แต่เดาในใจแต่ไม่กล้ายืนยัน แต่ในเวลานี้ พวกเขากลับต้องมาตกใจเมื่อได้ยินคําตอบของเจ้าอาวาส

“ท่านเจ้าอาวาส หากนักบวชผู้นี้เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์สายพุทธเหตุไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน?” ผู้พิทักษ์อารามกล่าวอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

เจ้าอาวาสอารามวัชระส่ายศีรษะเล็กน้อย ความกังวลเกาะอยู่เต็มใบหน้า “แต่วัดเส้าหลินนั้น เกรงว่าจะประสบปัญหาบางอย่างเข้าแล้ว”

วังหลวง

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วและมองไปยังข้อมูลที่อยู่ในเอกสารราชการ

“ พระหนุ่มผู้หนึ่ง?”

“ตบยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจนตกตายในฝ่ามือเดียว?”

จักรพรรดิถังพึมพําอยู่กับตนเอง โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง หรือแปรสภาพพลังได้จนสมบูรณ์คือสามครั้งนั้น แม้จะมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้กันได้ง่ายดายเพียงนี้

และจากรายงานฉบับนี้ ความเป็นไปได้มีเพียงสิ่งเดียว

พระหนุ่มผู้นี้ได้ก้าวผ่านขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นและเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์แล้ว

ส่วนจะเป็นอรหันต์ในระดับใดจักรพรรดิถังล้วนไม่ทราบ ท้ายที่สุดอรหันต์รูปใดก็ตบยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจนตกตายได้ทั้งนั้น

“ฝ่าบาท พระหนุ่มผู้นี้อาจจะมาจากวิหารหมื่นพุทธ” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกล่าวคํา

“วิหารหมื่นพุทธ?”

จักรพรรดิวางรายงานในมือลงและมองไปยังนักพรตเฒ่า

นักพรตเฒ่ามาจากสํานักเอกะวิถี เขามีความรู้ที่กว้างขวาง ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิมีข้อสงสัย เขาจะขอให้นักพรตเฒ่ามาช่วยไขข้อสงสัยให้แก่เขา

นักพรตเฒ่าก็ยินดีเช่นกัน หลังจากอยู่ที่นี่มาสักพัก เขาก็สามารถเห็นความสัมพันธ์ที่จักรพรรดิถังมีต่อซูฉินได้อย่างชัดเจน

ด้วยวิธีนี้ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างสัมพันธ์กับจักรพรรดิถังนักพรตเฒ่าจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?

ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงตอบทุกคําถามของจักรพรรดิถังถึงแม้จะเป็นความลับของสํานักเอกะวิถี ตัวเขาก็ไม่ลังเลที่จะกล่าวออกไป

“มีผิด”

นักพรตเฒ่าพยักหน้า

“พระหนุ่มผู้นี้ได้ไปอารามวัชระเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อออกจากอารามวัชระก็มุ่งหน้าลงใต้…”

จักรพรรดิถังยังคงมองข้อมูลอย่างตั้งใจต่อไป

ในทุกวันนี้ เครือข่ายข่าวกรองของอาณาจักรถังแพร่กระจายไปทั่วทวีป และบรรพชนเก้าก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนของตนเอง กลับเดินตามท้องถนนอย่างโอ่อ่า เขาไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศด้วยซ้ําแน่นอนว่าจักรพรรดิถึงจึงรู้ข้อมูลที่อยู่ของเขา

“ไม่ถูกต้อง”

“เป้าหมายของบุคคลนี้คือวัดเส้าหลิน!”

รูม่านตาของจักรพรรดิถังหดตัว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก

จากข้อมูลการกระทําของพระหนุ่มผู้นี้ น่าจะมีความสนใจในด้านพุทธศาสนาบางอย่าง แต่ตอนนี้ได้เดินทางลงไปทางทิศใต้มีแต่วัดเส้าหลินเท่านั้นที่เป็นสํานักพุทธที่อยู่ทางตอนใต้

“เกรงว่ามันจะสายเกินไปแล้ว”

ใบหน้าของจักรพรรดิถังดูหนักอึ้ง

ข้อมูลที่เขาได้รับมาเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นสองสามวันก่อนตอนนี้พระหนุ่มน่าจะเดินทางไปถึงวัดเส้าหลินแล้ว

“ไม่ได้การ”

“เรื่องนี้จะต้องรีบแจ้งให้พี่สามรู้”

จักรพรรดิถังลุกขึ้นในทันทีและเดินไปยังพระราชวังตะวันออกอย่างรวดเร็ว

ความสัมพันธ์ระหว่างซูฉินกับวัดเส้าหลินนั้นไม่ได้เป็นที่ล่วงรู้ในวงกว้าง แต่จักรพรรดิถังเป็นหนึ่งในคนที่ล่วงรู้สิ่งนี้อย่างชัดเจน

ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิถังตระหนักได้ว่าวัดเส้าหลินอาจจะมีปัญหาเขาจึงวางแผนที่จะไปแจ้งให้ซูฉินทราบโดยเร็วที่สุด

ในเวลาเดียวกัน

เหนือภูเขาเส้าชื่อ

ร่างของบรรพชนเก้าเปรียบประดุจร่างเงามายา เดินเข้าไปในวัดเส้าหลินอย่างไม่รีบร้อน

ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนเก้า จึงไม่ยากที่จะซ่อนตัวจากผู้คนในวัดเส้าหลิน

“หืม?”

“มีค่ายกลฟ้าดินมากมายตั้งอยู่ภายใน?”

บรรพชนเก้ามองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง ท่าทีของเขาประหลาดใจเล็กน้อย

“น่าสนใจ”

บรรพชนเก้าก้าวเท้าออกไป และปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าปากทางเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง จากนั้นจึงก้าวอีกหนึ่งครั้งเพียงพริบตาก็ข้ามผ่านค่ายกลกว่าเก้าในสิบส่วนมาถึงภูเขาด้านหลัง

“ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้ แม้จะจัดวางได้อย่างชาญฉลาดแต่ผู้ครอบครองอย่างมากสุดก็เป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่สี่ไม่กินภาชั้นที่ห้าเท่านั้นไม่ใช่องค์ยูไล” ที่ข้ากําลังมองหา…”

บรรพชนเก้าดูผิดหวัง

เขาแบกความหวังเอาไว้ในใจยามเมื่อเดินทางมายังวัดเส้าหลินแต่เมื่อผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ผิดหวังได้อย่างไร?

ขณะที่บรรพชนเก้ากําลังตริตรอง เขาก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และเข้าไปไปในเขตหวงห้ามด้านหลังภูเขาซึ่งเป็นสถานที่ที่ซูฉินใช้ในการปิดด่านฝึกตนหวิ่ง!

ฉับพลัน!

บรรพชนเก้าก็ดูเหมือนจะสัมผัสเข้ากับพลังต้องห้ามบางอย่าง

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เริ่มส่งเสียงคํารามก้อง

ชั่วครู่เดียว เมฆหมอกเริ่มหมุนวนไปรอบๆ ควบแน่นกลายเป็นมังกรหมอกออกมาที่ละตัว ล้อมกรอบบรรพชนเก้าอย่างต่อเนื่องค่อยๆ วนเวียนไปมา

“ค่ายกลฟ้าดินที่จัดตั้งโดยอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สื่นภาชั้นที่ห้ากลับสามารถค้นหาข้าพบ?” บรรพชนเก้าตกตะลึง

และในตอนนั้นเอง

ทั่วทั้งวัดเส้าหลินก็รับรู้บางสิ่งได้แล้ว

ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่ที่ซูฉินใช้บิดด่านฝึกตน และปัจจุบันมันยังเป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนบ่มเพาะที่รวดเร็วมากขึ้นของ เหล่าศิษย์วัดเส้าหลินเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สําคัญแห่งหนึ่งในวัด เส้าหลิน

หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้นมาย่อมดึงดูดความสนใจของทั้งวัดเส้าหลินได้ตั้งแต่แวบแรก

ทันใดนั้น เจ้าอาวาสชุ่ยเหวิน หัวหน้าตําหนัก และลูกศิษย์วัดเส้าหลินทั้งหลายก็รีบเดินทางมายังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและมองไปยังบรรพชนเก้าที่ยืนอยู่ด้านนอกภูเขาด้านหลัง

“บรรดาผู้ที่ล่วงล้ําไปยังสถานที่สําคัญของวัดเส้าหลินจะต้อง

ตาย!!!”

หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ผู้มีบุคลิกใจร้อนก็ได้เริ่มต้นลงมือเป็นคนแรกสําหรับวัดเส้าหลิน เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังมีความสําคัญที่พิเศษ

ในทันทีที่มีคนนอกปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์จึงต้องการที่จะปราบมันให้อยู่หมัด

“หม?”

บรรพชนเก้าขมวดคิ้ว ความคิดของเขาขยับวูบ

ฉับพลัน

หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ที่พุ่งเข้าไปก็รู้สึกเพียงว่า อากาศโดยรอบพลันแข็งตัวและถูกกักขังไว้ ไม่สามารถขยับไปไหนได้

“นี่?”

ลูกตาของหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์พลันหดตัวลงอย่างกะทันหันสามสิบปีมานี้ ด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง รวมกับกระแสปราณีที่ฟื้นคืนทําให้เขาเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งมาตั้งนานแล้ว และยังเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

แต่บัดนี้พระหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ากลับสามารถเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ได้ด้วยการปรายตามองเพียงครั้งเดียว

“ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?”

“ไม่ใช่ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์?”

ความคิดของหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วแม้ว่าร่างกายจะถูกคุมขังแต่ความคิดของเขายังคงตีกันวุ่นในหัวและตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของพรหนุ่ม

ไม่ไกลนัก เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่เห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และไม่ได้ดําเนินการโจมตีบรรพชนเก้าต่อไป

และในตอนนี้

เขาหันไปมองภูเขาด้านหลังและกระซิบคํากับตนเอง “ข้ามเชื่อหรอก ว่าค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้จะสามารถหยุดข้าได้”

ทันทีที่บรรพชนเก้ากล่าวเช่นนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปอีกและต้องการจะเข้าสู่ภูเขาด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่ในการปิดด่านฝึกตนของซูฉิน

ครืน!

เพียงครู่เดียว!

ค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดบริเวณภูเขาด้านหลังก็สั่นสะเทือนไปทั่ว

พลังฟ้าดินที่สั่งสมมานานหลายสิบปีเริ่มพวยพุ่ง ต้องการจะปีดกั้นการบุกรุกของบรรพชนเก้า

ในช่วงเวลาที่พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังสั่นสะเทือน

ใต้เมืองฉางอัน เหนือห้องโถงพระราชวังสีดําอันสูงตระหง่านซูฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ

“เป็นผู้ใด?”

ซูฉินมองไปยังทิศทางของวัดเส้าหลิน

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท