เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 285 พลังของจิต วิญญาณแรกกําเนิดอันน่าสยดสยอง

ตอนที่ 285 พลังของจิต วิญญาณแรกกําเนิดอันน่าสยดสยอง

Sign in Buddha’s palm 285 พลังของจิต วิญญาณแรกกําเนิดอันน่าสยดสยอง

ณ พรรคหมื่นดาบ

เหนือยอดเขาดาบพันจ้าง

ภายในห้องโถงใหญ่

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ภายนอกดูสงบนิ่งไร้ความผันผวน เหมือนเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงจุดนั้น

แต่ในความเป็นจริง ภายในร่างของซูฉินมีการเปลี่ยนแปลงที่แทบจะสั่นสะเทือนโลกได้เลยทีเดียว

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังคงผสานเข้าด้วยกัน ควบแน่นเป็นร่างลวงตาอยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ยืนอยู่ข้างองค์ยูไลทองคําที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือเอื้อมแตะพสุธา

การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพในระดับจิตวิญญาณ ไม่เกี่ยวข้องกับจิตใจแห่งฟ้าดินภายนอก จึงไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

เมื่อเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดหลายต่อหลายเม็ดถูกกลืนลงลําคอ กลายเป็นพลังงานจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน ภายในส่วนลึกกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ร่างที่ปรากฏขึ้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากร่างลวงตากลายมาเป็นร่างที่มีอยู่จริง

และในตอนนี้

นอกห้องโถงที่ซูฉินใช้ในการปิดด่านฝึกตน

หลีหว่านและชายชราผมขาวกําลังรออยู่อย่างเงียบๆ

หลีหว่านจับตามองดูห้องโถงอย่างใกล้ชิด หลังจากยืนยันได้ว่าซูฉินคงยังไม่ได้ออกมา ก็มีความผิดหวังอยู่บนใบหน้าของนาง จากนั้นนางจึงหยิบดาบยาวที่มีความยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งของความสูงมนุษย์ขึ้นมา นางพบดาบยาวเล่มนี้บนยอดเขาดาบ ดาบนี้มีจิตวิญญาณอยู่ภายใน ในตอนนั้นดาบยาวเล่มนี้โบยบินอยู่ในอากาศและเริ่มลอยเข้ามาขนาบที่ด้านข้างของหลีหว่าน ส่งเสียงร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ เขารู้จักดาบยาวเล่มนี้ มันเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่สืบทอดต่อมาในพรรคหมื่นดาบ เพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้หัวใจของตํานานยุทธขั้นสูงสุดเต้นแรง แต่บัดนี้มันกลับลอยไปหาหลีหว่านด้วยตัวเองราวกับพบเจ้าของ

หลีหว่านชอบดาบยาวเล่มนี้เช่นกัน และใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ซูฉินมอบให้นางก่อนจะปิดด่านฝึกตน

ในระหว่างที่นางฝึกฝนวิชาพร้อมกับดาบยาวเล่มนี้ หลีหว่านรู้สึกเล็กน้อยว่าเจตจํานงดาบในกาย นางยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกิดบรรยากาศแปลกประหลาดสะท้อนก้องอยู่รอบตัวนาง

 เคล็ดวิชาที่ลุงสามมอบให้ข้านี้มีประโยชน์ยิ่งนัก 

หลีหว่านกําลังฝึกดาบอย่างมีความสุข โดยดึงเจตจํานงดาบในร่างออกมาใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสอดคล้องระหว่างกัน

จนถึงตอนที่บรรพชนดาบจะตายไปแล้ว เขาคงอาจจะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามทํามาอย่างหนัก กลับกลายเป็นเข้ากับหลีหว่านได้อย่างดี

 ปู่เฟยยวี่ ท่านว่าลุงสามจะออกจากด่านฝึกตน เมื่อไหร่กัน….  หลีหว่านฝึกดาบพร้อมทั้งหันไปมองชายชราผมขาว

ในช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกัน หลีหว่านก็ได้รู้ว่าชายชราผู้นี้ชื่อว่า  เฟยยวี่ 

 มิกล้ามิกล้า  ชายชราเฟยยวี่โพล่งออกมา พร้อมหลั่งเหงื่อเย็นเยียบรีบโบกมือพัลวัน  เจ้า เรียกนายท่านว่าลุงสาม แต่กลับเรียกข้าว่าปู่ นี่ไม่ ใช่จะกลายเรื่องยุ่งยากหรอกหรือ? 

ในสายตาของเฟยยวี่ เขามองว่าซูฉินไม่ต่างไป จากเซียนเทพปฐพี จะกล้าให้ผู้อื่นมาเรียกตนเช่น นั้นได้อย่างไร?

 แต่หากนายท่านยังคงปิดด่านฝึกตนอยู่อย่างนี้ ต่อไป เกรงว่าจะมีปัญหาใหญ่…  เฟยยวี่ยังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ความกังวลฉายขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

ตั้งแต่ซูฉินปิดด่านฝึกตน ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แม้ว่าโลกภายนอกจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงแล้ว พวกเขาก็ยังไม่กล้าส่งใครมาสืบสวน ชายชราเฟยยวี่และหลีหว่านก็ยังสบายใจได้อยู่

แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายชราเฟยยวี่ รู้สึกได้ชัดเจนว่ามีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หลายสายพัดผ่านตนเองไป

นอกจากนี้ ชายชราเฟยยวี่ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันเหมือนมีคนแอบเฝ้ามองอยู่ตลอด ทําให้หัวใจเขาสั่นไหวยิ่งขึ้นไปอีก

การที่มาแอบดูโดยที่เขาไม่สามารถค้นพบได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าชายชราเฟียยวมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉินยังคงมีกิตติศัพท์ก้องไกลอยู่ เกรงว่าคงมีใครสักคนลงมาเหยียบเกาะหมื่นดาบนี้นานแล้ว

 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หว่านเอ๋อจะปกป้องลุงสามที่อยู่ในด่านเอง…  หลีหว่านได้ยินสิ่งที่ ชายชราเฟียยวี่พูด นางกําหมัดและโบกดาบยาวในมือไปมา กล่าวออกอย่างจริงจัง

 คงได้แต่ต้องมีความหวังล่ะนะ…  ชายชราเฟยยวี่ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรมากนัก

หลังจากการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ คนพวกนั้นยังกล้ามาสํารวจพรรคหมื่นดาบและแม้กระทั่งเข้ามาในเขตเกาะหมื่นดาบ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา อาจจะไม่ถึงขั้นที่พวกเขาสามารถแปลงจิตวิญญาณได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ไม่ห่างจากจุดนั้นมากนัก

ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่ในยุทธภพต่างแดน ก็นับว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุด สามารถก้มมองสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด เพียงความคิดเดียวก็ครอบงําทุกสิ่งได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จอมยุทธตัวน้อยเช่นหลีหว่านที่ยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธจะหยุดยั้งได้?

 น่าจะอีกสักหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ แม้ว่าโลกภายนอกจะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน ไม่ว่าจะมาสํารวจเกาะหมื่นดาบด้วยวิธีใด แต่พวกเขาจะไม่ลงมาเหยียบเกาะแน่ 

ชายชราเฟยยวี่ คิดอยู่เงียบๆ  หากใช้เวลานานเกินกว่าหนึ่งเดือน เกรงว่าจะมีคนเดินทางมายังเกาะหมื่นดาบเพื่อเยี่ยมเยียนนายท่าน เมื่ออีกฝ่ายพบว่านายท่านกําลังปิดด่านฝึกตนอยู่ คงจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี… 

ความคิดของชายชราเฟียยวแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่เมื่ออยู่ในด่านฝึกตน กลับเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุด พลังงาน ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การบุกทะลวงของตนเอง แม้จะตรวจพบการโจมตีจากศัตรู แต่ก็คงทําอะไรไม่ได้มาก

ถ้าหากการปิดด่านฝึกตนถูกขัดจังหวะเมื่อไหร่ ทุกสิ่งที่ทํามาคงถดถอย

และถ้าคนอื่นรู้ว่าซูฉินอยู่ในด่านฝึกตน ชายชราเฟยยวี่ไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น

รู้หรือไม่ว่าการทําลายพรรคหมื่นดาบทําให้กองกําลังต่างๆ ในต่างแดนต่างก็กังวลกันไปมากมาย

หากซูฉินยังคงอยู่ในจุดสูงสุด กองกําลังต่างๆย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่ไม่จําเป็น

แต่ตอนนี้ซูฉินไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าชายชราเฟยยวี่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ทําได้เพียงหวังว่าซูฉินจะออกจากด่านฝึกตนโดยเร็วที่สุด

มีคนไม่กี่คนรออยู่ด้านนอกห้องโถง

ในช่วงเวลานี้ หลีหว่านฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้เป็นไปตามคํามั่นสัญญาที่บอกว่าจะปกป้องซูฉิน และด้วยเจตจํานงดาบในร่างที่คอยหล่อเลี้ยง นางก็ได้ทะลวงระดับครั้งแล้วครั้งเล่า แปรสภาพร่างกายรวมถึงแปลงกําลังภายในเป็นแก่นแท้แห่งพลังได้ภายในเวลาอันสั้น กลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่แปรสภาพพลังถึงสองครั้ง

แน่นอนว่าหลีหว่านก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น

เหตุผลที่ทําให้ฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงในช่วงไม่นานมานี้ ยังเป็นผลมาจากโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่พรรคหมื่นดาบมอบให้ในช่วงก่อนหน้า

ฤทธิ์ยาของโอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้สะสมอยู่ในร่างของหลีหว่าน และหลังจากการฝึกฝนในช่วงที่ผ่านมา มันก็ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ ยังผลให้ เกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด

แต่เมื่อการแปรสภาพทั้งสองครั้งเสร็จสมบูรณ์ พลังที่สะสมอยู่ภายในร่างก็ถูกใช้ไปหมดสิ้น

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน

สิบวัน ยี่สิบวัน สามสิบวัน

หลังจากรอคอยมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน เฒ่าเฟยยวี่ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายมวลใหญ่ใกล้กับเกาะหมื่นดาบ

ฉับพลัน

เหนือยอดเขาดาบพันจ้าง ภายในห้องโถงนั้น คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็แผ่ขยายออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

คลื่นพลังที่ผันผวนนี้หาใช่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ และไม่ใช่อาณาเขตด้วยอีกเหมือนกัน คล้ายเป็นภาพลวงตา เพียงแต่แข็งแกร่งมากกว่านั้นมากนัก

 พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิด? 

 นายท่านออกมาแล้ว  ชายชราเฟยยวี่ตกตะลึง จากนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม

ในช่วงเวลาต่อมา

ต่อหน้าชายชราเฟยยวี่ที่กําลังมองด้วยความรู้ สึกเหลือเชื่อ พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่แผ่ ขยายออกจากห้องโถงใหญ่ก็กวาดผ่านครึ่งหนึ่งของเกาะหมื่นดาบ และพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ยังแผ่ขยายการปกคลุมออกไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับมันไม่มีที่สิ้นสุด

กลิ่นอายที่เข้าใกล้เกาะหมื่นดาบมาอย่างช้าๆ หลังจากสัมผัสถึงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็คร่ําครวญราวกับประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว และออกจากเกาะหมื่นดาบไปให้ห่างที่สุด

 ไม่ถูกต้อง 

 จิตวิญญาณแรกกําเนิดของนายท่านจะกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา แม้จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว ก็ควรจะครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้เท่านั้น และแม้จะเป็นบรรพชนดาบที่ได้รับมรดกมาจากนักพรตหมั่นดาบ ก็ขยายขอบเขตพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แค่ประมาณร้อยลี้เท่านั้น 

 รัศมีหนึ่งร้อยลี้เป็นขีดจํากัดของจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของคนผู้หนึ่งจะไกลเกินกว่าร้อยล์ได้อย่างไร? นี่มันไกลออกไปเกือบสองร้อยแล้ว หรือจริงๆแล้วนายท่านปิดด่านเพื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพึ่งั้นหรือ? 

ชายชราเฟยยวี่ตกใจมาก แทบจะซ่อนมันเอาไว้ได้ไม่มิด

พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่น่าสะพรึงกลัว กวาดไปทั่วทิศทางราวกับพายุ ไม่รู้ว่ามีตํานาน ยุทธที่อยู่ใกล้เกาะหมื่นดาบสักกี่คนที่รู้สึกได้เพียงเสียงคํารามก้องในใจ และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกกระแทกเข้าอย่างแรง หมดสติกันไปในทันที

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่กวาดผ่านครอบคลุมรัศมีกว่าสองร้อยห้าสิบลี้ก็ค่อยๆสลายไป แต่ชายชราเฟียยวรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมดกําลังหดตัวและไหลกลับเข้าไปในห้องโถง

กึก

ประตูห้องโถงใหญ่เปิดออกเงียบๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกําลังผลักเปิดมันออกมา

 เข้ามาเถอะ 

เสียงที่ดูสงบนิ่งดังมาจากด้านในห้องโถง มันดังก้องอยู่ภายในหูเฒ่าเฟยยวี่ หลีหว่าน รวมถึงคนอื่นๆ

 ขอรับ 

หลีหว่านกะพริบตาปริบๆ เดินเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชายชราเฟยยวี่และคนอื่นๆ ก็เดินตามมา

ภายในห้องโถง ยังคงมีแสงเงาสลัวๆ ไม่มีความแตกต่างจากตอนแรกที่เข้ามาที่นี่

แวบแรกที่ชายชราเฟยยวี่ เห็นร่างที่นั่งอยู่กลางห้องโถง

ในขณะที่เขาเห็นฉากนี้ ชายชราเฟยยวี่รู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งบนโลกนั้นเป็นภาพลวงตา แม้แต่ตัวเองก็เป็นสิ่งลวงตา มีเพียงร่างนั้นเท่านั้นที่เป็นของจริง

 ฮ่ม! 

ขณะที่เฒ่าเฟยยวี่กําลังตกอยู่ในภาพลวงตาไม่รู้จบ ทันใดนั้นก็มีเสียงลมหายใจอันเย็นเยียบลอยมากระทบหู

ฉับพลัน ชายชราเฟยยวี่ก็ตื่นขึ้นทันที หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเกาะเต็มไปหมด เพียงแค่เหลือบมองซูฉินชั่วแวบเดียวก็แทบแย่แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก

ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงลมหายใจเมื่อครู่ เฒ่าเฟยยวี่ คงจะทรุดตัวลงนอนตายไปแล้วในขณะนี้ แม้ว่า ร่างกายของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็คงไม่ต่างไปจากคนตาย

 ยินดีกับนายท่านด้วยที่ฝ่าฟันความสําเร็จได้ อย่างยิ่งใหญ่  ชายชราเฟยยวี่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว กล่าวออกเสียงดัง

 ลุกขึ้น  ซูฉินเหลือบมองเฟยยวี่ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แล้วพูดออกมาเบาๆ

นี่คือความน่ากลัวของจิตวิญญาณแรกกําเนิด หลังจากแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด ผู้ที่ยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแทบจะรับมือไม่ได้เลย พลังจิตวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวจะบดขยี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของคู่ต่อสู้ด้วยพลังที่เหนือกว่า

ตัวอย่างเช่น ชายชราเฟยยวี่  เป็นถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดและมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง แต่ต่อหน้าซูฉินเขาไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย

แน่นอน

นี่เป็นเพราะซูฉินแตกต่างจากตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ที่แปลงจิตวิญญาณได้

เขากลืนโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดไป มากกว่าห้าสิบเม็ดเพื่อแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด ในชั่วพริบตาพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ได้เพิ่มขึ้นไปหลายสิบถึงหลายร้อยเท่าของจิตวิญญาณแรกกําเนิดธรรมดา

ไม่เช่นนั้น

ด้วยความแข็งแกร่งของชายชราเฟยยวี่ แม้เขาจะพ่ายแพ้ต่อจิตวิญญาณแรกกําเนิด แต่ก็ไม่ควรเปราะบางขนาดนี้

 ในที่สุดก็แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จแล้ว…… 

ซูฉินถอนสายตาออกจากชายชราเฟยยวี่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

หลังจากที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ขั้นต่อไปคือการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน เมื่อได้ชื่อว่าเชียนเทพปฐพี ก็เพียงพอแล้วที่สะกดทุกสิ่ง และในยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้ เซียนเทพปฐพีก็หาได้ยากยิ่งในรอบพันปี

 ถ้าในยามนี้ข้าได้เจอกับบรรพชนดาบอีกครั้ง คงจะใช้เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้นเพื่อชําระล้างจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมด 

ซูฉินลุกขึ้นยืนชําๆ ค่อยๆคิดบางสิ่งในใจ

 แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จแล้ว มาดูซิว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง 

จิตใจของซูฉินผสานเข้ากับช่องว่างระหว่างคิ้ว  มองไปทางร่างจิตวิญญาณที่เพิ่งแปรสภาพมาหมาดๆ

 

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท