เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] – ตอนที่ 283 แปลงจิต วิญญาณแรกกําเนิด

ตอนที่ 283 แปลงจิต วิญญาณแรกกําเนิด

Sign in Buddha’s palm 283 แปลงจิต วิญญาณแรกกําเนิด

 โอ้? 

 ประตูเซียนนี้ ดูลึกลับไม่น้อย แม้แต่เซียนเทพ ปฐพี่ยังต้องมองหามัน?  ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

สําหรับเซียนเทพปฐพี ยังจะขาดเหลือสิ่งใดอีก? กล่าวคําเพียงประโยคเดียว ตํานานยุทธนับพันในต่างดินแดนต่างก็เต็มจะที่จะทุ่มเททุกสิ่งเพื่อเอาอกเอาใจ

แต่ยามนี้ ชราผมขาวกลับบอกว่า ยังมีสิ่งที่แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังไม่สามารถหามาได้?

 ทําไมเซียนเทพปฐพีถึงมองหาประตูเซียน?  ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามออกอย่างแผ่วเบา

ซูฉินไม่คิดว่าชายชราผมขาวจะโกหก หากเหล่าเซียนเทพปฐพีออกค้นหาประตูเซียนจริงๆ นิกายใหญ่แห่งอื่นๆจะต้องรู้เรื่องนี้เช่นกัน การที่ซูฉินจะหาแหล่งข่าวยืนยันเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ในสายตาของซูฉิน การสังเกตจิตใจที่ผันผวนขึ้นลงของชายชราผมขาวก็ไม่ต่างไป จากมองดูเส้นฝ่ามือของตนเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอกลวงตัวเขา

 มีเรื่องเล่ามากมาย บ้างก็ว่าภายในประตูเซียนเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง บางคนก็บอกว่าเซียนเทพปฐพีที่ต้องการจะทะลวงขั้นต่อไป พวกเขาจะต้องเข้าไปยังประตูเชียน นอกเหนือจากนั้นก็เล่าลือกันว่าประตูเซียนเป็นคลังสมบัติที่สร้างโดยตัวตนทรงพลังจํานวนนับไม่ถ้วนในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู… 

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวพูดออกมาตามจริงเท่าที่ตนรู้

 เป็นเช่นนี้นี่เอง 

ดวงตาของซูฉินกะพริบสองสามครั้ง มีคลื่นลมก่อตัวในใจของเขา

ท่ามกลางกระแสปราณฉีที่เงียบงัน จิตใจแห่ง ฟ้าดินก็แห้งเฉา แม้ต่างดินแดนจะยังคงมีพลังงานปราณฉีหลงเหลืออยู่มากในระดับหนึ่ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ การฝึกฝนในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็นับเป็นจุดสูงสุดแล้วยากที่จะไปต่อ

นี่ไม่ใช่เพราะผู้ฝึกยุทธขาดพรสวรรค์หรือมีความเข้าใจไม่เพียงพอ แต่เป็นข้อจํากัดของโลกใบนี้รวมถึงสิ่งแวดล้อม

และตามคํากล่าวของชายชราผมขาว สิ่งที่เรียกว่าประตูเซียน เกรงว่าจะเป็นความหวังของเซียนเทพปฐพี่ที่อยากจะไปสู่ขอบเขตต่อไป

 อย่างไรก็ตาม ประตูเซียนแห่งนั้น คงไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก…… 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขบคิดในใจอย่างลับๆ

แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็จะไม่ออกเดินทางตามหาประตูเซียนหากยังไม่ใกล้สิ้นอายุขัย บ่งบอกได้ว่าสําหรับเซียนเทพปฐพีเหล่านั้น ประตูเซียนนี้คงจะมีความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงอยู่ และเมื่อยามใกล้ตาย ปล่อยวางทุกสิ่งได้แล้วเท่านั้นจึงจะลองไปตามหาดู

 นี่ยังไม่ใช่ความลับใหญ่ที่เจ้ารู้ใช่ไหม?  ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปที่ชายชราผมขาวอีกครั้ง พร้อมกับกล่าวอย่างใจเย็น

เรื่องของประตูเซียน ในสายตาของตํานานยุทธทั่วไป มันจะต้องเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ แต่สําหรับขุมพลังอันทรงอํานาจอย่างซูฉินที่กําลังจะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด และอาจจะทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพีในเร็วๆ นี้ ไม่ช้าก็เร็วคงได้รู้เรื่องประตูเซียนแห่งนี้

เป็นไปไม่ได้ที่พรรคหมื่นดาบจะขังเขาไว้ในคุกใต้ดินเพียงเพราะชายชรารู้เรื่องประตูเซียน

 แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งนี้ 

ชายชราผมขาวสูดลมหายใจเข้า ระงับจิตใจที่เดือดพล่านของตนเองลงทีละน้อย และกล่าวออกช้าๆ ว่า  ข้ารู้ตําแหน่งคร่าวๆ ของประตูเซียน 

 ตําแหน่งคร่าวๆ ของประตูเซียน? 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย และมองไปที่ชายชรา

ในความเป็นจริง หลังจากที่ชายชรากล่าวถึง  ประตูเซียน  ซูฉินก็เดาว่าอีกฝ่ายอาจจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับประตูเซียน

แต่สิ่งที่ซูฉินคาดไม่ถึงคือชายชราจะรู้ตําแหน่งของประตูเซียน

ถ้าชายชราบอกว่าตนรู้ว่ามีสมบัติชนิดใดบ้างอยู่ภายในประตูเซียน ซูฉินจะต้องเยาะเย้ยเป็นแน่ เพราะสุดท้ายแล้วเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติในประตูเซียน สิ่งแรกที่ต้องทําคือหาประตูเซียนให้ได้เสียก่อน ตัดสินจากที่เซียนเทพปฐพี่เดินทางค้นหาประตูเซียนไปทั่วทั้งโลกที่ซ่อนของประตูเซียนคงจะมิดชิดอย่างมาก หรืออาจจะซ่อนอยู่ในมิติความว่างเปล่าเหมือนกับวิหารการสงคราม

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถหลบซ่อนจากความสามารถของอาณาเขตขนาดใหญ่ที่เซียนเทพปฐพีแผ่ออกมาได้

 ในเมื่อเจ้ารู้ตําแหน่งของประตูเซียนแล้ว ทําไมเจ้าไม่หามันด้วยตนเองเล่า?  ซูฉินถามด้วยน้ําเสียงราบเรียบ จ้องมองไปที่ชายชรา

 นายท่าน 

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวยิ้มอย่างขมขื่น  สถานที่ที่ประตูเซียนตั้งอยู่นั้นอันตรายอย่างยิ่ง แม้ว่าข้าจะออกตามหามันจริงๆ ก็มีแนวโน้มว่าข้าคงจะต้องตาย 

ชายชราผมขาวรู้ระดับของตัวเองดี แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังเต็มใจที่จะเดินทางตามหาประตูเซียนเมื่อเข้าวัยชราเท่านั้น นับประสาอะไรกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้ควบแน่นอนอาณาเขตอย่างเขา?

 เอาล่ะ 

 เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็บอกตําแหน่งของประตูเซียน มาสิ 

ซูฉินมองไปยังชายชรา

 ขอรับ 

ชายชราผมขาวโค้งคํานับทันที และกล่าวบอกตําแหน่งที่เขารู้ออกมาอย่างรวดเร็ว

 อยู่ที่นั่นงั้นหรือ? 

ซูฉินดูประหลาดใจเล็กน้อย

สถานที่ที่ชายชราผมขาวบอกไม่ได้อยู่ในโลกยุทธภพต่างแดน แต่อยู่ในทวีปที่ห่างไกลออกจากต่างแดนแห่งนี้ไปอีก

สิ่งนี้ทําให้ซูฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาลองคิดดู ก็พบว่ามันเป็นเรื่องปกติ หากประตูเซียนอยู่ในยุทธภพต่างแดนแห่งนี้ แม้ว่ากระแสปราณฉีจะเงียบงัน แต่เซียนเทพปฐพี่นับสิบก็กําเนิดขึ้นในหลายพันปีที่ผ่านมา เหล่าเซียนเทพปฐพีเดินทางไปได้ทั่วดินแดน เกรงว่ามันคงถูกหาพบไปนานแล้วหากตั้งอยู่ในยุทธภพต่างแดนแห่งนี้

ตราบใดที่พอจะมีเบาะแสของประตูเซียนแม้เพียงเล็กน้อย มันคงไม่สามารถรอดพ้นจากเซียนเทพปฐพีเหล่านั้นไปได้

 นายท่าน ความจริงแล้วบรรพบุรุษของข้าเดินทางมาจากทวีปแห่งนั้น ย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน เขาได้เห็นประตูเซียนด้วยตาของเขาเอง พื้นที่รัศมีกว่าร้อยลี้พังทลาย ตอนนั้นบรรพบุรุษของข้าเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น จึงรีบหนีออกจากทวีปนั้นอย่างรวดเร็ว 

 แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาหลายปี เรื่องราวก็ถูกส่งต่อมา ข้าเคยลองไปหาข่าวเรื่องประตูเซียนมาจากนิกายใหญ่หลายแห่ง ในที่สุดก็ยืนยันเรื่องราวนี้ได้ แต่พรรคหมื่นดาบกลับพบเบาะแสเล็กๆเข้า 

 พรรคหมื่นดาบเดาว่าข้าอาจจะล่วงรู้ความลับบางอย่างของประตูเซียน เพราะข้าดูอยากรู้เกี่ยว กับประตูเซียนมากเกินไป พวกเขาจึงปลุกตํานาน ยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ ให้มาจับ ตัวข้าไป บังคับให้เปิดเผยความลับ… 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราผมขาวก็ส่ายศีรษะ จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า  แต่ข้าจะให้เป็นไปตาม ความตั้งใจของพรรคหมื่นดาบได้อย่างไร? ข้าคือตํานานยุทธขั้นสูงสุด จิตวิญญาณก็มิใช่จะอ่อนแอ แม้จะเป็นบรรพชนดาบที่ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่สามารถบังคับข่มขู่ข้าได้ 

ชายชราผมขาวพูดอย่างช้าๆ

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ลองตรวจสอบทวีปที่ชายชราได้บอกออกมา แล้วจึงโบกมือของตน  ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ 

 ข้าจะปิดด่านฝึกตนสักระยะ ในช่วงเวลาสําคัญนี้ อย่าได้รบกวนข้า  เมื่อสิ้นเสียงของซูฉิน

ทุกคนในที่แห่งนี้ รวมถึงหลีหว่านก็ออกจากห้องโถงไปอย่างนอบน้อม รอคอยอยู่บนยอดเขาดาบ

ใบหน้าของชายชราผมขาวดูโล่งใจอย่างเห็น ได้ชัด ราวกับปลดเปลื้องภาระบางอย่างออกไป ตําแหน่งของประตูเซียน แม้จะเป็นตัวตนอย่างเซียนเทพปฐพีก็ต้องกระตือรือร้นอย่างมากที่จะรู้ แต่ชายชรานั้นต่างออกไป

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา แม้จะหาประตูเซียนพบ แต่เขาจะทําอะไรได้บ้าง?

ดังนั้น เมื่อเขาบอกความลับกับซูฉินไป เขาก็รู้สึกโล่งใจ

หลังจากที่ทุกคนจากไป ซูฉินก็ค่อยๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถง

 ประตูเซียน…… 

ซูฉินไม่สนใจว่าจะมีสมบัติจํานวนมากในประตูเซียนหรือไม่ เขาแตกต่างจากเซียนเทพปฐพี่เหล่านั้น

การบ่มเพาะของเซียนเทพปฐพีเหล่านั้นขึ้นอยู กับสภาพแวดล้อมพลังฟ้าดิน แต่ซูฉินนั้นไม่เหมือนกัน สําหรับซูฉินสภาพแวดล้อมพลังฟ้าดิน ไม่ค่อยมีผลกระทบแต่อย่างใด

ตราบใดที่ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ เขาจะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ ของรางวัลที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ไม่ได้ถูกกําหนดโดยสภาพแวดล้อมบนโลก แต่กําหนดด้วย ‘เต๋าสะสม

พูดง่ายๆ ก็คือ แม้ว่ากระแสปราณฉีจะยังไม่ฟื้นคืนและอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน ซูฉินก็ยังสามารถเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าได้ เพียงแต่ใช้เวลานานขึ้น

ดังนั้น แรงดึงดูดใจของประตูเซียนที่มีต่อซูฉินจึงน้อยกว่าที่มีต่อเซียนเทพปฐพีคนอื่นๆ

 อย่างไรก็ตาม สามารถอยู่รอดมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เต๋าสะสม’ จะต้องมั่งคั่งมากอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าวิหารการสงคราม… 

ซูฉินคาดเดาในใจ

ระดับของประตูเซียนกับวิหารการสงคราม ซูฉินรู้สึกเล็กๆ ในใจว่าอย่างแรกน่าจะสูงกว่าอย่างหลัง

วิหารการสงครามนั้นทรงพลังจริงๆ แม้แต่ในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดมันก็น่าทึ่งไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม เซียนเทพปฐพี่หลายคนได้ร่วมมือกันบุกไปยังวิหารการสงคราม สุดท้ายก็ถูกขับไล่ออกมาในสภาพอเนจอนาถ ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าวิหารการสงครามไม่น่าจะสามารถสังหารเซียนเทพปฐพีได้

แต่สําหรับประตูเซียน… แม้แต่เซียนเทพปฐพีเองก็เริ่มต้นค้นหามันเมื่อยามชราแล้วเท่านั้น อย่างน้อยความเสี่ยงของประตูเซียนก็ควรมีระดับความอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต ต่อตัวตนขอบเขตเชียนเทพปฐพี

 ไม่เป็นไร

 ยังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงประตูเซียน 

 อย่างน้อยก็เมื่อข้าเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จึงจะพิจารณาเรื่องประตูเซียนอีกครั้ง 

ซูฉินสงบใจลง ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

อย่างไรเสีย ‘เต๋สะสม ของประตูเซียนก็ยังอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถใช้ เต๋าสะสมได้ ดังนั้นซูฉินจึงไม่ได้รีบร้อน

 ต่อไป 

 ได้เวลาแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วล่ะ 

จิตใจของซูฉินสั่งการ เม็ดโอสถจิตวิญญาณแร กกําเนิดหลายสิบเม็ดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นโปร่งใสไร้ลักษณ์ ราวกับประกอบขึ้นมาจากจิตวิญญาณบริสุทธิ์ พลังที่แผ่ออกมาเบาๆ ทําให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ น่าทึ่งอย่างยิ่ง

ถ้าชายชราผมขาวยังอยู่ที่นี่และพบว่าโอสถจิต วิญญาณแรกกําเนิดที่หายสาบสูญไปจากยุทธภพต่างแดนมานานแล้ว แม้แต่สํานักเทพโอสถก็ไม่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้กลับวางเรียงรายอยู่ ตรงหน้าซูฉินราวกับขนมขบเคี้ยว ดวงตาของเขาคงแดงก่ําเป็นแน่

รู้หรือไม่ว่าโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดเม็ดเดียวก็เพียงพอที่จะทําให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในเวลาอันสั้น นับประสาอะไรกับห้าสิบเม็ด

เมื่อซูฉินกลืนโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดไปมากมายขนาดนี้ พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่สะสมได้จะต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน

 น่าทึ่งจริงๆ 

 ไม่รู้เหมือนกันว่าโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ปรุงขึ้นมาจากอะไรกันแน่?  ซูฉินเหลือบมองไปที่เม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดอีกครั้ง ครุ่นคิดในใจ

โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดให้ความรู้สึกที่ พิเศษมากต่อซูฉิน เหมือนกับเม็ดโอสถตรงหน้านี้เป็นวิญญาณ ซูฉินไม่เคยเห็นโอสถแผนโบราณที่พิเศษเช่นนี้มาก่อน

รอบตัวซูฉินรายล้อมไปด้วยโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมากกว่าห้าสิบเม็ด ซูฉินรู้สึกว่าจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดที่เขารู้สึกได้เลยว่า แม้จะไม่ได้กินโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้เข้าไป ก็สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ด้วยตนเองภายในห้าสิบปี

แน่นอนว่าซูฉินย่อมไม่ทําเรื่องโง่เขลาอย่างจัดเก็บโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดไว้อย่างดี โดยหวังใช้มันฝ่าฟันอุปสรรคโดยไม่กินเข้าไป

 เอาตอนนี้ให้เสร็จทีเดียวเลย 

ซูฉินรู้สึกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในร่างจํานวนมากค่อยๆพลุ่งพล่าน หยิบโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาสองสามเม็ดโยนเข้าปากแล้วกลืนลงไปตรงๆ

หวิ่ง!!!

เมื่อโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดละลายไหลลงคอ มันก็ระเบิดพลังจิตวิญญาณอันน่าสยดสยองออกมานับไม่ถ้วน ผสานเข้ากับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

พลังจิตวิญญาณนี้ละเลยกายเนื้อของซูฉินไปอย่างสมบูรณ์ และพุ่งตรงเข้าใส่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน

ด้วยความช่วยเหลือจากพลังจิตวิญญาณนี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินค่อยๆหดตัวและ ควบแน่นเข้าหากัน ก้าวไปสู่รูปแบบที่สูงขึ้น

 

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

Status: Ongoing

Sign in Buddha’s palm

เข้าสู่ระบบฝ่ามือยูไล

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธเตร็ดเตร่อาละวาดไปทั่ว เป็นสถานที่ที่หยวนกั๋วชีอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาอันสูงชัน ทั้งยังมีเซี่ยวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่ถ้ายังไม่ได้ลงชื่อรับของ และตัวเขาก็ลงชื่อรับของอยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท