ตอนที่ 53 ยาเม็ดสีม่วง
การต่อสู้ยกแรกได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ..
สิ้นเสียงกระดิ่งดังแกร๊ง.. หลิวยู่เฟิงก็พุ่งปรี่เข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามราวกับพายุ!
แข้งขาทั้งสองข้างที่ยาวประหนึ่งแส้นั้น ตวัดไปมาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และรุนแรงแม่นยำยิ่งนัก ทุกครั้งที่ขาของเขาฟาดออกไปนั้น เสียงความแรงของขาที่ฟาดผ่านห้วงอากาศจะดังประหนึ่งเสียงตวัดแส้เลยทีเดียว
ในขณะที่จางหลินซึ่งได้ฉายาว่าศิลาทักษิณนั้น ก็ได้แต่ตกเป็นฝ่ายรับ และยังคงก้าวถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ
ในการเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ฝ่ายใดสามารถฉวยโอกาสรุกอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ และดุดันก่อน ฝ่ายนั้นย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ อีกทั้งหากสามารถเรียกเสียงฮือฮา และความสนใจจากแขกได้มาก ก็จะมีรางวัลพิเศษจากเถ้าแก่เจ้าของโกลเดนพาเลซอีกด้วย
และหากเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ก็จะได้รับรางวัลอย่างมากมายมหาศาล!
แน่นอนว่าสำหรับนักสู้ที่ได้เซ็นต์เอกสารยินยอมไม่เอาเรื่อง หากเสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้นั้น เงินรางวัลที่จะได้รับย่อมต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ปัง!
ศิลาทักษิณจางหลิน ถูกแส้เทวะหลิวยู่เฟิงรุกไล่ไป จนร่างของเขากระแทกเข้ากับมุมของกรงเหล็กด้านหนึ่ง
ผู้ชมที่เห็นเหตุการณ์นั้น ต่างก็พากันลุกขึ้นยืน พร้อมกับยกกำปั้นชูขึ้น และส่งเสียงร้องตะโกนเชียร์ด้วยความตื่นเต้น
เพียงแค่เหลือบมองด้วยหางตา ก็รู้แล้วว่าฝ่ายใดแข็งแกร่งกว่า และฝ่ายใดอ่อนแอกว่า..
ด้วยความตื่นเต้น เย่เข่อเอ๋อซึ่งนั่งอยู่ในห้องหมายเลข 8 ถึงกับตาโต พร้อมกับยกไม้ยกมือด้วยความลุ้นระทึก เธอเองไม่เคยได้ดูการต่อสู้อะไรที่ดุเดือนเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นการรุกของฝ่ายที่ได้เปรียบ หรือการรับของฝ่ายที่เสียเปรียบ แต่ละท่วงท่า แต่ละการเคลื่อนไหวนั้น ราวกับหลุดออกมาจากนิยาย หรือภาพยนตร์บู๊จริงๆ
และแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่การทดลองเข้ามาดู เย่เข่อเอ๋อก็วางเดิมพันไปถึงหนึ่งหมื่นหยวนเช่นกัน แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เธอมีส่วนร่วมกับเกมการต่อสู้อย่างมาก
และเย่เข่อเอ๋อก็เดิมพันข้างจางหลิน – ศิลาทักษิณ!
ที่เธอเดิมพันข้างจางหลินนั้น ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าจางหลินแข็งแกร่งกว่า หรือมีโอกาสชนะมากกว่า แต่เป็นเพราะเธอเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยน และเห็นอกเห็นใจผู้ที่ด้อยกว่าเท่านั้น
จางหลินดูผอมแห้งแรงน้อย ฉันหวังว่าคุณจะชนะนะ!!
เวลานี้หวังอันฉี และหญิงสาวอีกสองคน ต่างก็กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับเวทีต่อสู้ตรงหน้า จนไม่มีใครได้ทันสนใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้อง
และเวลานี้ถังจินซ่ง และหวังชางหยางก็กำลังกระซิบกระซาบกันเสียงเบา พร้อมกับหันไปมองเย่เข่เอ๋อเรื่อยๆ และต่างก็ยิ้มให้กันอย่างมีเลศนัย
ตรงข้าม.. ภายในห้องส่วนตัวที่หลินหนานนั่งอยู่นั้น กลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาด เงียบสงบจนเกือบจะน่าเบื่อหน่าย
เหวินลี่ได้แต่คิดในใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก นั่นเพราะตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น หลินหนานกลับไม่มีท่าทีสนใจบนเวทีนัก แต่กลับหยิบถาดใส่ผลไม้ และขนมมานั่งกิน พร้อมกับดูทีวีในห้องแทน
รายการทีวีที่หลินหนานดูอยู่ ก็เป็นการ์ตูนเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ แต่หลินหนานกลับตั้งอกตั้งใจดูอย่างเอาจริงเอาจัง พร้อมกับหัวเราะเสียงดังอย่างสนุกสนาน
‘เฮ้อ.. คนรวยในโลกนี้มีแต่ประหลาดๆ!!’ เหวินลี่ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ
“ปลอกเปลือกแอปเปิ้ลให้ผมเสร็จยัง?” หลินหนานร้องถามเหวินลี่
“เสร็จแล้วค่ะคุณชาย” เหวินลี่ตอบกลับไปทันที พร้อมกับส่งจานแอปเปิ้ลให้กับหลินหนาน
“ขอบคุณครับ!”
หลินหนานเอื้อมมืออกไปหยิบแอปเปิ้ลเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมองไปทางเหวินลี่ และสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่จอทีวีแน่นิ่ง
เหวินลี่ได้แต่งุนงง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มสงสัยว่า เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของเธอไม่น่าดึงดูด หรือว่าผู้ชายคนนี้เป็นสุภาพบุรุษกันแน่?
……
ภายในกรงเหล็กเวลานี้ หลิวยู่เฟิงกำลังใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกของจางหลินอยู่ พร้อมกับร้องตะโกนเย้ยหยันเสียงดัง
“นี่น่ะเหรอศิลาทักษิณ?!! แกเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้แล้ว!!”
จางหลินที่ไม่สามารถแม้แต่จะขยับเขยื้อนร่างกายได้นั้น เพียงแค่ตอบกลับไปยิ้มๆ “ทำไมแกถึงมั่นใจนักว่าฉันจะต้องเป็นฝ่ายแพ้?”
“ศิลาทักษิณ.. โลกทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว สวะอย่างแกทำได้เพียงแค่สร้างภาพหลอกผู้คนเท่านั้นล่ะ ความจริงแกมันไม่มีอะไรแล้ว!!”
หลิวยู่เฟิงยังคงพูดต่ออย่างยะโสโอหัง “แส้เทวะอย่างฉันต่างหากที่เป็นเจ้าแห่งนักสู้ที่แท้จริง!”
“แกมั่นใจขนาดนั้นเลยรึ?!”
จางหลินเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าประหลาด และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนี้ของจางหลิน หลิวยู่เฟิงถึงกับใจเต้นแรง
แย่แล้ว!!!
ในวินาทีนั้นเอง จางหลินก็ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว มือของเขายื่นออกไป พร้อมกับตบลงบนพื้น
ในขณะเดียวกันหลิวยู่เฟิงก็ตอบโต้กลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขารีบขยับเท้าเปลี่ยนไปเหยียบหน้าอกอีกข้างของจางหลินทันที ในจังหวะนั้นก็ใช้เท้าซ้ายที่เหลืออีกข้าง ตวัดปลายเท้าเข้าใส่ปลายคางของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
แต่ในจังหวะนั้นเอง ไม่รู้ว่ามือซ้ายของจางหลินดิ้นหลุดออกมาได้เมื่อใด และได้คว้าเอาข้อเท้าซ้ายของหลิวยู่เฟิงที่ตวัดเข้าใส่ปลายคางของตนไว้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วจึงออกแรงกระชากกลับอย่างสุดกำลัง
ภายใต้แรงกระชากของจางหลิน ร่างของหลิวยู่เฟิงถึงกับสูญเสียการทรงตัวในทันที และจางหลินก็เปลี่ยนกลับมาเป็นฝ่ายจู่โจมแทน เขากระโดดลุกขึ้นยืน พร้อมกับพุ่งแขนข้างขวาไปรองรับที่ใต้ลำคอของหลิวยู่เฟิงไว้ได้อย่างรวดเร็ว
และเวลานี้ จางหลินก็อยู่ในท่าที่อุ้มร่างของหลิวยู่เฟิงที่นอนราบไว้ด้วยสองแขน..
“หักสันหลัง!”
สิ้นเสียงร้องตะโกนของจางหลิน เขาก็จับร่างของหลิวยู่เฟิงกระแทกเข้ากับหัวเข่าของตนเองอย่างแรง พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างออกแรงกดร่างของหลิวยู่เฟิงไว้ด้วย!
กร๊อบ!!!
เสียงกระดูกหักดังลั่นไปทั่วทั้งสนาม และทุกคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวก็สามารถได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน!
หลิวยู่เฟิงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดโหยหวน ประหนึ่งสุกรที่กำลังถูกเชือด และเป็นลมหมดสติไปในที่สุด!
ภายในสนามตกอยู่ในความเงียบสงัด.. ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่า หลิวยู่เฟิงที่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมาก กลับต้องมาแพ้น็อคให้กับคู่ต่อสู้เช่นนี้..
อีกทั้งยังแพ้ในสภาพที่น่าเวทนาอย่างมากด้วย!
เพราะฟังจากเสียงกระดูกหักแล้ว น่าจะเป็นส่วนกระดูกสันหลังที่หัก แต่นับว่ายังโชคดีที่หลิวยู่เฟิงมีพื้นฐานร่างกายที่แข็งแกร่งไม่น้อย เพราะหากเป็นคนธรรมดาโดนเช่นนี้เข้าไป คงต้องกลายเป็นอัมพาตไปในทันทีอย่างแน่นอน
จางหลินยืนนิ่ง พร้อมกับจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ..
“ยกแรก.. จางหลิน – ศิลากทักษิณเป็นฝ่ายชนะ!”
และเสียงแกร๊งของระฆังที่เคาะหมดยก และเสียงประกาศของพิธีกรสาว ก็ได้เรียกทุกคนในสนาม ให้หลุดจากอาการตื่นตะลึง..
จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว และนี่คือเสน่ห์ของกีฬาการต่อสู้ในกรง คนที่เห็นว่าแข็งแกร่งและได้เปรียบนั้น อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งจริงอย่างที่ตาเห็นก็เป็นได้ ส่วนคนที่เห็นว่าอ่อนแอกว่า ก็ใช่ว่าจะอ่อนแอจริงเช่นกัน!
ฉะนั้น วีรบุรุษพิสูจน์ได้ด้วยความสำเร็จเท่านั้น!
เหวินลี่ได้แต่ถอนสายตาออกจากสนามต่อสู้ และค่อยๆหันกลับมามองหลินหนาน ที่เวลานี้กำลังนั่งแคะขี้ฟัน และเช็คยอดเงินในบัญชีของตนเอง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกอกตกใจ
นี่เขาโชคดีหรือว่าเก่งกันแน่?!!
ขณะที่หลินหนานเช็คยอดเงินในบัญชีนั้น ปากของเขาก็พึมพำออกมาว่า “ศิลาทักษิณอะไรกัน? ต้องเรียกว่าหักศิลาน่าจะเหมาะกว่า!”
และแล้วหลินหนานก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ยอดเงินของเขาเวลานี้จากหนึ่งแสนหยวน ได้เพิ่มเป็นสามแสนหกหมื่นหยวนอย่างรวดเร็ว!
วิธีนี้หาเงินได้รวดเร็วจริงๆ!
……
ภายในห้องหมายเลข 8..
“เข่อเอ๋อ.. เธอชนะเดิมพันแล้ว!! ดูสิ.. ตัวเลขเพิ่มเป็นสามหมื่นหกพันหยวน!” หวังอันฉีร้องตะโกนบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เข่อเอ๋อ.. นี่เธอเกิดมาเพื่อเป็นนักพนันเชียวนะ!! ดูสิ.. ดวงดีมากจริงๆ!” หลินหวังยู่รีบพูดประจบประแจง
ถังจินซ่งเองก็ยกแก้วไวน์ในมือขึ้น พร้อมกับพูดชมกับเย่เข่อเอ๋อยิ้มๆ “คุณหนูเย่ตาแหลมจริงๆ!”
แม้ทุกคนจะแสดงความยินดี และจำนวนเงินในบัญชีจะเพิ่มขึ้น แต่นั่นกลับไม่สามารถทำให้เย่เข่อเอ๋อรู้สึกมีความสุขได้เลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม.. มันทำให้เธอรู้สึกเย็นยะเยือกมากกว่า และความโหดเหี้ยมของการต่อสู้ในกรงนี้ ก็รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าที่เธอจะยอมรับได้!
นี่มันไม่ใช่การต่อสู้.. แต่มันคือการเข่นฆ่าทำร้ายกัน!
เย่เข่อเอ๋อใบหน้าซีดเผือด เธอคว้ากระเป๋าขึ้นมาพร้อมกับผุดลุกขึ้นในทันที และเมื่อเห็นท่าทางของเย่เข่เอ๋อ ถังจินซ่งก็รีบหันไปขยิบตาให้กับหลินหวังยู่ทันที
“เข่อเอ๋อ.. นี่เธอเป็นอะไร?” หลินหวังยู่รีบร้องตะโกนถาม
“ฉันรู้สึกอึดอัดไม่สบายนิดหน่อย นายอยู่สนุกต่อก็แล้วกัน ฉันขอตัวกลับก่อน!” เย่เข่อเอ๋อตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
ถังจินซ่งรีบลุกขึ้นรั้งเย่เข่อเอ๋อไว้ทันที “คุณหนูเย่.. เป็นอะไรมากมั๊ยครับ? ไม่สบายรึเปล่า?”
ในช่วงจังหวะก่อนหน้าที่ทุกคนในห้องกำลังเผลอนั้น หวังชางหยางก็ได้หยิบยาเม็ดสีม่วงออกมาจากกระเป๋า และหย่อนลงไปในน้ำผลไม้ของเย่เข่อเอ๋อ และเธอก็ได้ดื่มมันลงไปหลายอึก..
ทุกขั้นตอนที่หวังชางหยางลงมือนั้น ไม่มีใครในห้องทันได้สังเกตเห็น..
เพียงแต่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดเห็น ผีสางเทวดาย่อมมองเห็น!
******
ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ
เรื่อง : เทพปีศาจผงาดฟ้า
เขาฟื้นสติตื่นขึ้นมาในร่างและผืนพิภพแห่งใหม่ หลังจากที่ล่วงลับตายจากไปในโลกก่อนหน้า
หลงเฉินเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในผืนพิภพที่เต็มไปด้วยเทพเซียนและมารปีศาจ สิ่งมีชีวิตลึกลับมากมายหลายหลาก และมนุษย์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน พร้อมผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งผืนพิภพทั้งมวล
หนทางเบื้องหน้าของเขามิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จำต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเกินคณานับ สังหารทุกคนที่เข้าขัดขวาง ยอดผู้ฝึกยุทธ์พเนจรท่องโลกาท้ายุทธภพสุดขอบฟ้า จนกลายเป็นที่รู้จักในนามเทพปีศาจแห่งจักรวาล ปกครองความเป็นและความตาย
แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องก้มกราบต่อหน้าเขา!
—————–
เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..
******