ตอนที่ 109 ยารักษามะเร็ง
“ว้าว…”
ทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันส่งเสียงฮือฮาไม่หยุด
แม้กระทั่งจางเฉิงกับหยานสู่เชิง ซึ่งต่างก็เป็นผู้ฝึกกําลังภายในทั้งคู่ ยังถึงกับจ้องมองด้วยความตกใจ!
สุดยอดปรมาจารย์ด้านกําลังภายใน!!
จางเฉิงนั้นเข้าใกล้ขั้นปรมาจารย์มากแล้ว แต่หยานลู่เฟิงนั้นเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ได้เพียงแค่ครึ่งระดับ และก็หยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านี้มานานหลายปีแล้ว
คิดไม่ถึงว่า ในเมืองเล็กๆอย่างเจียงไฮว จะมีโอกาสได้ต้อนรับสุดยอดปรมาจารย์ด้านกําลังภายในที่หาได้ยากนัก!
การได้เป็นสุดยอดปรมาจารย์ คือเป้าหมายของผู้ที่ฝึกฝนกําลังภายในทั้งหลายต้องการ!
เพราะการได้ขึ้นเป็นสุดยอดปรมาจารย์นั้น ไม่เพียงจะสามารถทําให้สํานักของคนผู้นั้นโด่งดังและเป็นที่เชื่อถือของผู้คน แต่คําว่า “สุดยอดปรมาจารย์” นั้น ยังจะนํามาซึ่งฐานะสําคัญทางสังคมอื่นๆอีกมากมายด้วย
แต่ถึงแม้เฉินมู่เฉิงจะได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดปรมาจารย์ได้แล้ว แต่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถพัฒนากําลังภายในของตนเองให้สูงขึ้นกว่านี้ได้อีกและหากเขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ก็จะถูกเรียกขานว่าเซียนแทน..
แต่เพียงแค่นี้ เฉินมู่เฉิงก็สามารถเดินอยู่ในเมืองเจียงไฮวได้อย่างสง่างามมากแล้ว และเวลานี้เฉินมู่เฉิงก็มองเห็นแววตาอิจฉาของทุกคนในห้อง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
หลังจากที่กวาดสายตามอง และสังเกตดูอย่างละเอียด เฉินมู่เฉิงพบว่าภายในห้องจัดเลี้ยงนี้มียอดฝีมือเพียสองคนเท่านั้นที่เข้าตาตนเอง ซึ่งก็คือจางเฉิงกับหยานสู่เฟิง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยัง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี
เฉินมู่เฉิงประสานมือทั้งสองไว้ข้างหน้า พร้อมกับโน้มตัวลงเล็กน้อย “ผม.. เฉินมู่เฉิง เพิ่งจะมาถึงเมืองเจียงไฮวหากทําสิ่งใดผิดพลาดไป ผมต้องขออภัยทุกท่านไว้ด้วย!”
พยัคฆ์หน้ายิ้มหลิวจื่อหยานรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ปรมาจารย์เฉิน อย่าได้เกรงใจไปเลยสุดยอดปรมาจารย์หาได้ไม่ง่ายนัก เป็นพวกเราต่างหากที่ต้องฝากเนื้อฝากตัวกับคุณ..”
“นั่นน่ะสิ! ผมเองก็ไม่เคยได้พบเจอสุดยอดปรมาจารย์มาก่อนเลย วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เปิดหู เปิดตา!” เสียงของใครบางคนร้องตะโกนบอก
เฉินมู่เฉิงรู้สึกภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างมากกับท่าทีของทุกคน แต่ก็ยังคงทําสีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงออกมา..
หลี่เฉวียนดูเหมือนจะยินดีมากกว่าใครๆ เวลานี้เขาได้เดินนําท่านปรมาจารย์เฉินไปที่โต๊ะของกรรมการพร้อมกับหันไปบอกเขาด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
“ท่านปรมาจารย์เฉิน ขอเชิญคุณนั่งตรงนี้ได้เลย!”
เฉินมู่เฉิงดึงเก้าอี้ที่อยู่ทางด้านขวามือของตนออกมา แล้วจึงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
ในระหว่างที่เฝ้ามองคนอื่นๆภายในห้อง ที่พาลุกไปที่โต๊ะกรรมการ พร้อมกับพากันสรรเสริญเยินยอเฉินมู่เฉิงนั้น หลินหนานก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับพึมพําเบาๆ
“ประจบประแจงกันเก่งซะจริงๆ!”
ทันทีที่เฉินมู่เฉิงปรากฏตัว หลี่เฉวียนยู่ก็ยิ่งได้หน้ามากขึ้น เพราะเวลานี้ ทุกคนภายในห้องต่างก็พากันทยอยมาแนะนําตัวกับเฉินมู่เฉิง และทุกคนต่างก็เรียกขานเขาว่าปรมาจารย์เฉิน
เฉินมู่เฉิงถึงกับยิ้มกว้างไม่หุบ และไม่สามารถปกปิดความดีอกดีใจของตนเองไว้ได้อีก หลินหนาเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า และคิดในใจว่า
“ปรมาจารย์เฉินอะไรนี่ ดูเหมือนจะชอบให้ผู้คนสรรเสริญเยินยอมากที่เดียว!
แต่ไม่นานนัก หลินหนานก็ได้กลิ่นหอมหวนโชยมา แล้วร่างงดงามก็ได้ย่างกรายเข้ามาพร้อมกับดึงเก้าอี้ข้างๆเขาออกไป ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเขา
“อ้าว. เถ้าแก่หลิว ทําไมไม่ไปนั่งที่โต๊ะนั่นล่ะ? หรือดื่มไวน์ที่นั่นรสชาดไม่อร่อย..” หลินหนานถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่ล่ะ! ดูเหมือนผู้ชายพวกนั้นจะพากันเข่าอ่อนไปหมด แต่ละคนต่างก็พากันไปคุกเข่าคาราวะปรมาจารย์เฉินอะไรนั่น ฉันก็เลยหลบมาดื่มไวน์กับคุณแทน!” หลิวหยิงหยิงตอบกลับยิ้มๆ
“ด้วยความยินดี.. แก้วนี้ดื่มฉลองให้กับความสําเร็จของคุณ!” หลินหนานบอกกับหลิวหยิง หยิงพร้อมกับยกแก้วไวน์ในมือชูขึ้น
“หมดแก้ว!”
“ได้ หมดแก้ว!”
ทั้งหลิวหยิงหญิงและหลินหนาน ต่างก็กระดกแก้วไวน์ของตนเองเข้าปากจนหมดแก้ว
หลังจากดื่มไวน์ไปหนึ่งแก้วเต็มๆ ใบหน้าของหลิวหยิงหยิงก็เริ่มแดงก๋ ทําให้เธอยิ่งดูมีเสน่ห์ชวนมองมากยิ่งขึ้น
และการที่ทั้งสองคนเลี่ยงออกไปดื่มไวน์ตามลําพังเช่นนี้ ดูเหมือนจะทําให้ใครบางคนไม่พอใจและคนผู้นั้นก็คือเฉินมู่เฉิง!
เฉินมู่เฉิงเป็นคนถือดี และชอบให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญตนเอง แม้เขาจะไม่สามารถจดจําได้หมดว่า ใครบ้างที่เข้ามาทักทายและคาราวะเขาแล้วบ้าง แต่เขาสามารถจดจําได้หมดว่าใครบ้างที่ไม่มาคาราวะทักทายเขา!
หลินหนานที่ดูเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาๆ แต่กลับทําเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา และตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลินหนานก็ยังไม่แม้แต่จะเดินเข้าไปทักทายเขาด้วยซ้ําไป
หึ! ฉันเป็นถึงปรมาจารย์เฉิน สุดยอดปรมาจารย์!
ยิ่งคิดเฉินเฉิงก็ยิ่งไม่พอใจ และใบหน้าก็เริ่มบึงตึง!
หลี่เฉวียนยู่เป็นคนช่างสังเกตไม่น้อย หลังจากที่เห็นสีหน้าท่าทางของเฉินมู่เฉิงที่ผิดปกติไป จึงได้แต่กระซิบถามเสียงเบา
“ปรมาจารย์เฉิน คุณไม่พอใจอะไรงั้นรึ? หรือมีอะไรที่ทําให้รู้สึกอึดอัด?”
“ไม่ใช่แบบนั้น! แต่ดูเหมือนมีใครบางคนจะไม่ค่อยพอใจกับการมาของผมต่างหาก” เฉินมู่ เฉิงตอบกลับด้วยน้ําเสียงเย็นชา
“เอ๊ะ?! ทําไมเหรอครับ อะไรที่ทําให้ปรมาจารย์เฉินรู้สึกแบบนั้น?”
หลี่เฉวียนยู่ถึงกับตกใจ และเอ่ยถามเฉินมู่เฉิงด้วยใจที่เต้นรัว เพราะกําลังคิดว่า อาจเป็นเพราะการต้อนรับที่ไม่ดีพอของตนเอง จึงทําให้คนใหญ่คนโตอย่างเฉินมู่เฉิงรู้สึกไม่พอใจ
เฉินมู่เฉิงไม่ตอบ แต่ทําหันไปทางโต๊ะข้างๆ ที่มีคนนั่งอยู่เพียงแค่สองคนเวลานี้
หลี่เฉวียนยู่เข้าใจสาเหตุที่ทําให้ปรมาจารย์เฉินไม่พอใจได้ในทันที นั่นเพราะที่โต๊ะนั่นมีเพียงหลิวหยิ่งหยิงกับหลินหนาน ที่กําลังนั่งดื่มไวน์กันอยู่สองคน โดยไม่มีท่าที่สนใจปรมาจารย์เฉินเลยแม้แต่น้อย
“ปรมาจารย์เฉิน คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ผมจะจัดการเอง เดี๋ยวผมจะให้หมอนั่นมารินไวน์ให้คุณเอง!”
หลี่เฉวียนยู่ตอบกลับยิ้มๆ และรอยยิ้มที่น่าขนลุกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้น หลี่เฉวียนยู่ก็ยกแก้วไวน์ในมือขึ้น พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“ท่านสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษทุกท่าน…”
เขาจงใจหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านี้ เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้คนภายในห้อง
หลังจากนั้น หลี่เฉวียนยู่จึงพูดต่อว่า “ทุกท่านครับ ผมของดื่มให้กับทุกท่าน..”
จากนั้น เขาก็กระดกไวน์ในแก้วเข้าปากจนหมด ก่อนจะวางแก้วเปล่าลงกันโต๊ะ พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบห้อง
“คุณชายหลี่ดื่มเก่งไม่เบาที่เดียว!” เสียงร้องตะโกนเยินยอของใครบางคนดังขึ้น
หลี่เฉวียนยู่ไม่สนใจคําเยินยอนั้น และพูดต่อในทันที่ “ทุกท่านคงจะรู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่าตลอดสามปีที่ผมหายหน้าไปนั้น ผมหายไปไหน? หายไปทําอะไร? และเพราะเหตุใดจึงได้หายเงียบไปเฉยๆแบบนั้น?”
ทุกคนได้ฟังต่างก็พากันกระซิบกระซาบ..
ยูหลี่กําลังเป็นดาวเจิดจรัสอยู่ในเมืองเจียงไฮวอยู่ดีๆ แต่แล้วจู่ๆก็หาย
ตัวไปไหนกัน?
ใช่ๆ หายไปโดยไม่ร่ําไม่ลาด้วย!
“นั่นเพราะเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ ผมตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง” หลี่เฉวียนยู่พูดต่อพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เป็นมะเร็ง?!
ทุกคนในห้องแทบจะร้องอุทานออกมาพร้อมกัน และเวลานี้ สีหน้าของทุกคนต่างก็เปลี่ยนเป็นตกอกตกใจขึ้นมาแทน!
ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ทําไมถึงได้มาเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็งได้นะ?!
ใครๆก็รู้ว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แล้วทําไมเขาถึงได้ดูแข็งแรงขนาดนี้?
หลังจากปล่อยให้ทุกคนภายในห้องวิพากษ์วิจารณ์กันพอแล้ว หลี่เฉวียนยู่ก็พูดต่อว่า “หลังจากที่ผมรู้ตัวว่าตนเองเป็นมะเร็ว ก็พยายามที่จะค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ และไปพบหมอมาทุกแขนงแล้ว แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ..”
“ด้วยโรคมะเร็ง ทําให้ผมน้ําหนักลดถึงสิบกิโลกรัมภายในเดือนเดียว และคุณหมอก็ได้แจ้งว่าอาการของผมค่อนข้างวิกฤติมากแล้ว!”
หลี่เฉวียนยู่นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการพูดที่ยอดเยี่ยม ทั้งน้ําเสียง และจังหวะจะโคนในการพูดก็น่าฟัง สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์ของผู้ฟังให้มีส่วนร่วมไปด้วย
“ผมจําได้ว่า ตอนนั้นผมรู้สึกสิ้นหวังมาก แต่แล้วก็ได้พบกับมิสเตอร์ริชาร์ด ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณอย่างมากของผม!”
“มิสเตอร์ริชาร์ดได้ส่งข้อความมาหาผม บอกให้ผมเดินทางไปต่างประเทศ เพราะเขากําลังพัฒนายาตัวหนึ่งอยู่พอดี.. ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่ตลอดทั้งคืนว่า จะไปหรือไม่ไปดี..?”
“แต่ในที่สุด. สัญชาติญาณก็บอกกับผมว่า หากผมต้องการที่จะมีชีวิตรอด ผมจะต้องไป! ผมจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างในเมืองเจียงไฮว และเดินทางไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงลําพังเพื่อไปพบกับมิสเตอร์ริชาร์ด และเข้าร่วมเป็นผู้ทดลองยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง”
หลี่เฉวียนจงใจหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
ถังจินซ่งถึงกับเอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “คุณชายหลี่ แล้วตอนนี้คุณหลายดีหรือยัง?”
“ไม่เพียงหายดี แต่ยังแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมด้วย!” หลี่เฉวียนยุพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบ
หลังจากได้ยินเพียงแค่นั้น ทุกคนในห้องก็ถึงกับส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
อะไรนะ?! มียาที่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ด้วยเหรอ?!
***********
ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ
เรื่อง : เทพปีศาจผงาดฟ้า
เขาฟื้นสติตื่นขึ้นมาในร่างและผืนพิภพแห่งใหม่ หลังจากที่ล่วงลับตายจากไปในโลกก่อนหน้า
หลงเฉินเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในผืนพิภพที่เต็มไปด้วยเทพเซียนและมารปีศาจ สิ่งมีชีวิตลึกลับมากมายหลายหลาก และมนุษย์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานพร้อมผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งผืนพิภพทั้งมวล
หนทางเบื้องหน้าของเขามิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จําต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเกินคณานับสังหารทุกคนที่เข้าขัดขวาง ยอดผู้ฝึกยุทธ์พเนจรท่องโลกาท้ายุทธภพสุดขอบฟ้าจนกลายเป็นที่รู้จักในนามเทพปีศาจแห่งจักรวาล ปกครองความเป็นและความตาย
แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องก้มกราบต่อหน้าเขา!
—–
เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..