ตอนที่ 141 ไม่น่ามาเป็นนักฆ่า
หลังจากที่เดินออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลินหนานก็ได้กลับไปที่ถนนหวู่หลง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาบ่าย ถนนเส้นนี้จึงยังมีผู้คนเดินไปมากันอย่างพลุกพล่าน
ผู้คนแถวนั้นนอกจากจะออกมาให้อะไรกินแล้ว ยังออกมาหาเพื่อนเล่นหมากรุกไปในตัวด้วย แม้จะยังอยู่ห่างจากถนนหวู่หลงมาก แต่หลินหนานกลับได้ยินเสียงอึกทึก และกลิ่นหอมหวนของอาหารโชยมา และนั่นเป็นเอกลักษณ์ของถนนเส้นนี้
เขามัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องของฉินเสี่ยวยู่ที่โรงพยาบาล จนเลยเวลารับประทานอาหารเที่ยงมานาน อีกทั้งการใช้พลังปราณในร่างช่วยแม่ของฉินเสี่ยวยู่ไปนั้น ก็ทําให้หลินหนานเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
ตลอดทางที่เดินมานั้น หลินหนานนึกถึงแต่ร้านบะหมี่ลุงซานที่คุ้นเคย
แต่ในระหว่างที่เดินเข้าไปในร้านบะหมี่นั้น หลินหนานก็สัมผัสได้ถึงบ้างอย่างที่ผิดปกติไปนั่น เพราะร้านบะหมีลุงซานซึ่งควรจะต้องอยู่ในสภาพที่กําลังขายดิบขายดี แต่กลับเงียบเหงาผิดปกติอีกทั้งป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่ก็หายไป
“ทําไมถึงเป็นแบบนี้ได้? หรือว่า มีคนมาหาเรื่องลุงซานอีกอย่างนั้นเหรอ?” หลินหนานบ่นพึมพํา พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันในระหว่างที่เดินเข้าไปด้านใน
“ร้านเราปิดปรับปรุงไปหลายวัน เชิญครับเชิญ!”
เมื่อหลินหนานก้าวเท้าเข้าไปภายในร้าน เขาก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูร้องตะโกนออกมาทันทีและเมื่อได้ยินเสียง หลินหนานก็ได้หันมองไปทางต้นเสียงตามสัญชาติญาณ
แล้วเขาก็พบเห็นดวงหน้าสวยงามของใครบางคน..
ริมฝีปากสีแดงนั้นแย้มยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงราย และดวงตาทั้งสองข้างก็เป็นประกายระยิบระยับ..
หากไม่ใช่เพราะลูกกระเดือกที่เห็นเด่นชัดแล้วล่ะก็ เขาคงต้องคิดว่าคนผู้นี้ก็คือผู้หญิงที่ชอบแต่งตัว และทําตัวเหมือนผู้ชายเช่นเดียวกับเสียวจือหลงแน่ๆ
“นายมาทําอะไรที่นี่?”
หลังจากที่ได้เห็นหน้าเจ้าของเสียงว่าเป็นใคร หลินหนานก็ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับร้องถามออกไปด้วยความสงสัย นั่นเพราะชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือฉินเฟิง ชายหนุ่มที่หลินหนานพบแถวสะพานลอยโดยบังเอิญนั่นเอง
ฉินเฟิงมองหน้าหลินหนาน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “แล้วนายล่ะ มาทําอะไรที่นี่?”
ทําไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้นะ?!
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างก็คิดเหมือนกัน
หลินหนานกรอกตาไปมาพร้อมกับตอบไปว่า “ที่นี่เป็นร้านบะหมี่ของลุงซานนี้?”
“ใช่!” ฉินเฟิงที่สวมผ้ากันเปื้อนพยักหน้าตอบ
“ฉันเป็นลูกค้าขาประจําของร้านบะหมี่นี้ ได้ข่าวว่าเพิ่งเปิดขายเมื่อสองสามวันก่อนไม่ใช่เหรอ?”
หลินหนานตอบกลับทันที แต่สายตากลับกวาดมองไปทั่วทั้งร้านแทน แล้วก็พบว่า ภายในร้านไม่มีร่องรอยการทะเลาะวิวาทเลยแม้แต่น้อย การตกแต่งภายในร้านก็ยังดูเป็นปกติ แม้แต่หม้อกะทะก็วางอยู่เรียบร้อยตามเดิม
ดูเหมือนทุกอย่างจะอยู่ในสภาพปกติดีนี้?
“อ่อ! นายคงจะหมายถึงเจ้าของร้านคนเก่าที่แซ่หลิวสินะ? เขากลับบ้านเกิดไปแล้ว!”
ฉินเฟิงยิ้มสวยราวกับผู้หญิง ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นรูปพระจันทร์เสียว “แต่ก่อนไป เขาได้ยกร้านนี้ให้กับฉันแล้ว!”
“ร้านนี้เป็นเครื่องมือทํามาหากินใช้เลี้ยงชีพของลุงซาน จู่ๆจะยกให้คนอื่นได้ยังไง?” หลินหนานถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
ฉินเฟิงมองหน้าหลินหนาน และตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เห็นว่าเถ้าแก่หลิวไปมีเรื่องกับนักเลงแถวนี้เข้า และกลัวว่าพวกมันจะมาแก้แค้น ฉันเองก็รู้มาเท่านี้ และไม่ได้ถามอะไรมาก”
“แต่ลุงซานไม่น่ายกให้คนอื่นๆง่ายๆแบบนี้นี่?” หลินหนานยังคงถามให้มั่นใจ
ต่อให้ลุงหลิวจะหวาดกลัวแค่ไหน ร้านบะหมี่นี้ก็เปรียบเสมือนชีวิตของเขา เขาไม่มีทางที่จะยกให้ใครง่ายๆ เพียงเพราะแค่เหตุผลว่ากลัวนักเลงหัวโล้นแน่
และที่สําคัญ เขาเองก็ได้สั่งสอนหัวโล้นไปจนมันไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายอีกแล้ว เพราะหากมันกล้ามาสร้างปัญหาที่ถนนหรู่หลงอีกครั้งล่ะก็ ย่อมเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย!
“ความจริงตาลุงนั่นก็ไม่ยอมขายร้านบะหมี่นี้หรอก แต่ลูกพี่ของฉันเสนอราคาให้สูงกว่าราคาตลาดถึงห้าเท่า ใครบ้างจะไม่สนใจ?”
“เงินสามารถง้างได้แม้กระทั่งเหล็กกล้า ในโลกนี้มีอะไรบ้างที่เงินทําไม่ได้?”
หลังจากสิ้นเสียงร้องตะโกนแทรก ใครอีกสามคนก็เดินออกมาจากด้านใน..
และหนึ่งในนั้นก็คือชายผมยาวหน้าตาดุดัน ที่เอาปืนจี้หลินหนานที่สะพานลอยเมื่อหลายวันก่อน อีกคนเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่แต่งตัวเร่าร้อน และคนสุดท้ายก็คือชายร่างสูงใหญ่ราวกับตึกนั่นเอง
ทันทีที่ทั้งสามคนก้าวเดินออกมา พวกเขาก็จ้องมองหลินหนาน ราวกับหมาป่าที่กําลังจ้องมองเหยื่อ ในแววตาของทุกคนล้วนปรากฏรังสีอํามหิตออกมาอย่างชัดเจน
คนธรรมดาทั่วไปอาจจะสัมผัสรังสีเหล่านี้ไม่ได้ แต่สําหรับหลินหนานซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยมังกรซ่อนกาย และเป็นถึงราชันนักฆ่าระดับต้นๆของโลกใบนี้ ย่อมตั้งรับรู้ได้ในทันที
มีแต่เพียงผู้ที่เคยฆ่าคนมาแล้วเท่านั้น จึงจะมีแววตา และรังสีเช่นนี้ปรากฏออกมาได้
สี่คนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่!
ฉินเฟิงเดินไปเปิดลิ้นชัก พร้อมกับหยิบซองใส่เอกสารออกมาโยนให้หลินหนาน หลังจากรับมาแล้ว เขาจึงรีบเปิดออกอ่านอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม
“คราวนี้นายจะเชื่อได้หรือยัง?” ฉินเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มบาง
“อืมม! ฉันเชื่อแล้ว!” หลินหนานพยักหน้า
ตัวเลขในเอกสารฉบับนี้น่าสนใจไม่น้อยเลย แม้แต่ตัวเขาเองเห็นแล้วยังอดตกตะลึงไม่ได้ จึงไม่แปลกที่ลุงซานจะยอมตกลงขายร้าน เพราะเงินจํานวนนั้นเพียงพอให้ลุงซานใช้ชีวิตได้อย่างสบายเลยทีเดียว
เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ลุงซานเองก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน!
“เอาล่ะ ในเมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว ก็เชิญกลับออกไปได้!”
ชายผมยาวร้องบอกหลินหนานด้วยน้ำเสียงเย็นชา และดูเหมือนไม่มีใครอยากจะต้อนรับเขาเลยแม้แต่คนเดียว!
“อะไรกัน?! ฉันยังไม่ทันได้กินอะไรเลย หรือว่าร้านนี้ไม่ต้อนรับลูกค้า? ขอบะหมี่เนื้อตุ๋นหนึ่ง” หลินหนานเอ่ยบอกพร้อมกับนั่งลง
“ได้สิ! รอเดี๋ยวเดียว”
ฉินเฟิงตอบกลับยิ้มๆ พร้อมกับหันไปขยิบตาให้กับลูกน้องทั้งสามคนของตน ทั้งสามคนมีสีหน้าท่าทางลังเล แต่แล้วก็เดินกลับเข้าไปในครัว
ส่วนตัวฉินเฟิงเองนั้นก็เดินไปนวดเส้นบะหมี่ เขาเป็นผู้ชายแต่กลับมีนิ้วที่เรียวยาวสวยงามและผมยาวที่หล่นลงมาปิดแก้มข้างหนึ่งไว้นั้น ก็ทําให้เขาดูสวยงามราวกับผู้หญิง
หลังจากนวดเส้นแล้ว ฉินเฟิงก็จัดการโยนเส้นบะหมีลงที่ลวก ก่อนจะจุ่มลงไปในหม้อที่มีน้ำเดือดปุดๆ พร้อมกับเขย่าขึ้นลงอย่างชํานิชํานาญ จากนั้นจึงจัดการนําชิ้นเนื้อขึ้นมาสับ ทําให้หลินหนานพบว่า ชายหนุ่มคนนี้ใช้มีดได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก
ในไม่ช้า ฉินเฟิงก็เดินถือบะหมีเนื้อตุ้น ซึ่งมีผักชีโรยหน้ามาเสริฟให้หลินหนานด้วยตนเอง
หลินหนานนั่งมองบะหมี่ในชามอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเฟิงที่นั่งไขว่ห้างจุดบุหรี่สูบ จึงได้พูดขึ้นว่า “กินเข้าไปเถอะน่า ไม่มียาพิษหรอก”
หลินหนานเหลือบมองใบหน้าด้านข้าง ที่ทั้งสวยงามราวกับผู้หญิง แต่ก็ให้ความรู้สึกเย็นยากน่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจของฉินเฟิง ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ ต่อให้มียาพิษ ก็คุ้มค่าแกการได้กิน..”
ระหว่างที่พูดนั้น มือของหลินหนานก็เอื้อมออกไปหยิบตะเกียบออกมาคู่หนึ่ง และเริ่มลงมือกินบะหมีอย่างเอร็ดอร่อยทันที
หลังจากที่หลินหนานกินจนต้องยกถ้วยน้ำซุปขึ้นซดจนหมดแล้ว ฉินเฟิงจึงได้ถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้าง บะหมีฝีมือฉัน?”
“อร่อยมากทีเดียว! รสชาดดีกว่าของลุงซานซะอีก!” หลินหนานเอ่ยชมจากใจจริง
“ขอบคุณสําหรับคําชม ฮ่าๆๆๆ” ฉินเฟิงถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“แต่ว่า ฝีมือการทําอาหารยอดเยี่ยมขนาดนี้ ฉันว่านายน่าจะไปเปิดภัตตาคารเป็นของตัวเองมากกว่า ไม่น่ามาเป็นนักฆ่าแบบนี้!”
หลังจากที่ได้ยินคําพูดของหลินหนาน ใบหน้าของฉินเฟิงถึงกับกระตุกขึ้นมาทันที มือขวาของเขาเอื้อมออกไปหยิบตะเกียบขึ้นมาถือไว้โดยไม่รู้ตัว และบรรยากาศภายในร้านก็เริ่มตึงเครียดมาก
นั่นเพราะเวลานี้ รังสีสังหารได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของฉินเฟิงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
แต่ในระหว่างที่ทุกอย่างกําลังตึงเครียดนั้น จู่ๆ ประตูร้านบะหมีก็เปิดออก
เฉินห่าวผลักประตูเข้ามาในร้าน และเมื่อเห็นหลินหนานนั่งอยู่ เขาก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“พี่หนาน พี่กลับมาแล้วจริงๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้วพี่!”