ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 14 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง (14)
หลังจากซูหว่านกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพ ท่านหมอซือก็มาเยือนที่จวนบ่อยๆ หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้น ทุกคนมีทัศนคติต่อคนตระกูลซูเป็นมิตรขึ้น อาการของซูหว่านก็ดีขึ้น ท่านหมอซือก็รู้สึกว่าปกติดี เพียงแต่กังวลเล็กน้อยที่ซูหว่านซึ่งกำลังนอนพักผ่อนอยู่ดูผอมและซูบซีดไปบ้าง “เสี่ยวหว่าน เมื่อวานหลับสบายหรือไม่”
ความสัมพันธ์ระหว่างท่านหมอซือกับซูหว่านค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป แรกๆ ท่านหมอซือเรียกนางแบบเยิ่นเย้อแปลกๆ แต่ตอนนี้เขาเรียกนางแบบใกล้ชิดสนิทสนมมาก
“ก็ไม่เลว”
ซูหว่านยิ้มให้ท่านหมอซือ “ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว ท่านไม่ต้องเฝ้าข้าตลอดเวลาก็ได้”
“ข้ารู้ว่าสุขภาพร่างกายของเจ้าดีแล้ว แต่วิญญาณของเจ้า…..”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านหมอซือคาดคั้นนางเล็กน้อย “ผู้ร้ายที่เข้ามาลอบทำร้ายในคืนนั้นถูกจับหรือยัง”
ซูรุ่ยบาดเจ็บสาหัส คนบ้านตระกูลซูเป็นคนกระจายข่าวว่าเขาบาดเจ็บเพราะโดนผู้ร้ายลอบฆ่า ช่วงนี้ซูหว่านก็ยังดูอาการไม่ดี ซูอวี้เฟิงจึงบอกท่านหมอซือเพียงว่านางตกใจกลัวผู้ร้ายในวันนั้น
ข้ออ้างเช่นนี้ไม่ทำให้คนนอกบ้านตระกูลซูสงสัย เรื่อง “ใครเป็นคนร้าย” กลายเป็นประเด็นร้อนพูดถึงกันในเมืองหลวง
เพราะคนร้ายตั้งใจจะฆ่าซูรุ่ยหลังจากเขาจัดงานเลี้ยง ฉะนั้นแขกทุกคนที่มาร่วมงานจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยและเซวียนหยวนรุ่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น
ครั้งนี้ที่ซูรุ่ยบาดเจ็บสาหัสทำให้ฮ่องเต้ทรงพิโรธ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ในเมืองหลวงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง มีทั้งการสอบสวนและค้นตัว อาจเป็นเพราะเรื่องนี้โด่งดัง เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงก็แพร่สะพัดออกไปเช่นกัน จนผู้คนรู้กันหมดแล้วว่าจวิ้นจู่น้อยมีชายในดวงใจแล้วและชายที่มากระชากหัวใจนางคือท่านหมอซือ
บ้านตระกูลซือเป็นครอบครัวแพทย์ที่มีชื่อเสียงในด้านฝีมือการรักษาที่ล้ำเลิศ ได้รับคำชมจากประชาชนและโด่งดังทั้งในหน่วยราชการและประชาชนทั่วไป ข่าวเรื่องตระกูลซูขอเกี่ยวดองแต่งงานกับตระกูลซือค่อยๆ กลบข่าวการลอบสังหารและเป็นงานมงคลที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ
แม้ว่าซูหว่านจะออกไปข้างนอกทุกวันไม่ได้ ผู้คนก็รู้ว่าจะส่งข่าวจากนอกบ้านมาให้นางได้อย่างไร ซูหว่านรู้จากเยี่ยจือจิ่นว่าเซวียนหยวนรุ่ยฉีกหน้าเยี่ยจือหวา ในช่วงนี้เยี่ยจือหวาจึงใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องเย่ว์ด้วยความทุกข์
เยี่ยจือหวาทุกข์ใจอยู่เพียงลำพังจนทำให้เซวียนหยวนรุ่ยที่หัวอกเดียวกันมาเยี่ยมและบอกว่าช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เผลอประเดี๋ยวเดียววันสิ้นปีก็มาถึง ซูหว่านรู้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่นางจะอยู่จนผ่านวันสิ้นปีในโลกนี้
ข้าเกรงว่ากองกำลังของเซวียนหยวนชิงจะมาถึงนอกเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันนี้ พายุจะหอบเอาเมืองทั้งเมืองไปแน่!
“ท่านหมอซือ”
ซูหว่านรู้ว่าการแสดงกำลังจะจบลงแล้ว แววตากล้าๆ กลัวๆ ของนางจ้องมองไปยังท่านหมอซือ “ไม่ได้ข่าวเรื่องคนร้ายลอบสังหารเลย ท่านหมอซือ มันน่ากลัวจริงๆ ข้ากลัว”
“อย่ากลัวไปเลย ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง”
ท่านหมอซือดึงซูหว่านเข้ามาในอ้อมกอดเบาๆ น้ำเสียงของเขาหนักแน่น
“อืม”
ซูหว่านพยักหน้า จากนั้นดูเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางมองท่านหมอซือด้วยดวงตาเป็นประกาย “ท่านเชี่ยวชาญในการจ่ายยา ท่านช่วยสอนข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะได้มีวิธีป้องกันตัวเอง”
“เจ้าอยากเรียนหรือ”
ท่านหมอซือมองซูหว่านด้วยความประหลาดใจ
หมอรักษาคนได้แต่ก็ฆ่าคนได้เช่นกัน
ยาช่วยชีวิตแต่ก็ปลิดชีวิตได้เช่นกัน
หมอจะฆ่าคนโดยไม่ให้เห็นเลือด ตระกูลซือปรุงยาพิษบางตัว และเท่าที่ซูหว่านรู้ ท่านหมอซือซึ่งเป็นคนตระกูลซือรุ่นปัจจุบันได้พัฒนาศาสตร์การปรุงยาพิษ และมีความสามารถเป็นเลิศ
“ข้าเรียนไม่ได้หรือ”
เมื่อได้ยินคำถามของท่านหมอซือ ซูหว่านก็ละสายตา “ใช่สิ ข้าไม่ใช่คนตระกูลซือนี่……และข้าก็เบาปัญญา คงเรียนไม่ได้หรอก”
“ใครบอกเจ้า”
ท่านหมอซือใจอ่อนเพราะทนสายตาสลดของนางไม่ได้ จึงเอามือตบหน้าอกให้คำมั่นว่าเขาจะสอนนาง นางจะต้องเรียนรู้ได้เร็วจนเชี่ยวชาญเพราะนางเป็นคนมีพรสวรรค์ติดตัวมา
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ท่านหมอซือบอกซูหว่านให้พักผ่อนมากๆ ก่อนที่เขาจะไปยังอีกเรือนหนึ่งเพื่อดูอาการของซูรุ่ยที่ยังไม่ฟื้น
ซูรุ่ยได้พักฟื้นไม่กี่วัน บาดแผลบนร่างของเขาก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็ไม่เหวอะหวะอย่างในตอนแรกช่วงที่เขาอาการหนัก
ไม่ว่าท่านหมอซือจะรักษาเขาด้วยวิธีใด ซูรุ่ยยังคงไม่รู้สึกตัว
เขาดูเหมือนคนที่ไม่อยากตื่นจากความฝัน ราวกับเขาปฏิเสธทุกอย่างจากโลกภายนอก
วันเวลาผ่านไปจนวันสิ้นปีมาถึง ทุกปีในช่วงวันสิ้นปี ฮ่องเต้จะเชิญเหล่าข้าราชบริพารไปร่วมงานเลี้ยง ผู้ปกครองรัฐศักดินาก็เดินทางกลับมายังเมืองหลวงเพื่อร่วมงานเลี้ยงนี้
งานนี้เป็นงานเลี้ยงประจำปีของเชื้อพระวงศ์ แต่พอเกิดเรื่องนี้ ซูหว่านจึงบอกว่าเป็นงานเลี้ยงสังหารหมู่
ในวันสิ้นปี ราชสำนักจะประดับประดาด้วยไฟ ซูหว่านนั่งเกี้ยวของจวนท่านแม่ทัพเข้าวังหลวงทางประตูด้านตะวันออก นางมองผ่านม่านของเกี้ยวเห็นพระราชวังตั้งตระหง่านและสูงส่ง คิดว่าอีกหน่อยก็จะทรุดโทรมและกลายเป็นซากปรักหักพัง ซูหว่านคิดแล้วก็เศร้าใจ ถ้าตอนนี้มีโทรศัพท์ก็ดีสิ จะได้ถ่ายภาพสงครามนองเลือดในพระราชวังนี้ไว้เป็นภาพยนตร์สารคดี
มีข้าราชการจำนวนมากมาร่วมงานเลี้ยง ทุกคนมักพาภรรยาและบุตรมาด้วยเพราะเป็นโอกาสเดียวในรอบปีที่จะมาแสดงตัวต่อหน้าฮ่องเต้และบรรดาองค์หญิงองค์ชาย บุตรธิดาของข้าราชการเหล่านี้จะกระตือรือร้นแต่งตัวกันเต็มที่
ซูหว่านสวมชุดสีแดงเช่นเคย ดูเหมือนสีแดงจะเป็นสัญลักษณ์ของนางไปเสียแล้ว เป็นที่รู้กันว่านางชอบสีแดง ไม่มีหญิงสามัญชนคนใดแต่งกายด้วยชุดสีแดง
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าตระกูลซูเป็นที่โปรดปรานในราชสำนักเพียงใด……
ทุกปี การแสดงแต่ละชุดในระหว่างงานเลี้ยงอาหารเย็นในราชสำนักก็จะเหมือนๆ กัน หลังจากการแสดงเต้นรำและร้องเพลง บุตรหลานข้าราชการก็จะมีการแสดงบนเวที ปิดท้ายด้วยเหล่าองค์ชายองค์หญิงน้อยขึ้นเวทีแสดง
ที่นั่งของซูหว่านค่อนไปทางด้านหน้า นางนั่งพิงอย่างใจลอย ไม่แตะต้องอาหารบนโต๊ะเลย คนอื่นที่เห็นก็แค่คิดว่านางไม่สบาย แต่จริงๆ แล้วซูหว่านกำลังนับถอยหลังอยู่ในใจ
ในขณะที่ผู้คนในโถงท้องพระโรงกำลังดื่มและเล่นการพนันกันเป็นกลุ่มใหญ่ ก็มีเสียงร้องดังฟ้าสั่นดินสะเทือนมาจากด้านนอกเขตล่าสัตว์ของวังหลวงสะท้อนเข้ามาในห้องโถง เสียงนี้ดังใกล้เข้ามาทุกที ตามด้วยเปลวไฟที่กำลังมอดไหม้
เขตล่าสัตว์อันกว้างใหญ่ของวังหลวงถูกกลืนอยู่ในกองเพลิง นางกำนัลและสาวใช้ร้องด้วยความตกใจกลัวและวิ่งหาที่ซ่อน ความโกลาหลครั้งใหญ่นี้ทำให้แขกในงานเลี้ยงที่รวมตัวอยู่กันในโถงท้องพระโรงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“เกิดอะไรขึ้น มีคนบุกรุกหรือ!”
ฮ่องเต้ซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ พระองค์เรียกทหารองครักษ์ที่อยู่ตรงทางเข้าพระราชวัง ทหารองครักษ์รีบกรูกันเข้ามาในท้องพระโรง เมื่อได้เห็นคนที่นำทหารองครักษ์เข้ามา ทุกคนในงานเลี้ยงก็ตาโต
“เสด็จพ่อ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
เซวียนหยวนชิงในชุดเกราะสีดำสนิทย่างเท้าก้าวเข้ามาในพระราชวัง ใบหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังแทบไม่มีรอยยิ้ม
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซวียนหยวนชิงทำให้เซวียนหยวนรุ่ยแทบคลั่ง ทำไมมันยังมีชีวิตอยู่
ราวกับรู้สึกตัวว่าเซวียนหยวนรุ่ยจ้องอยู่ เซวียนหยวนชิงค่อยๆ หันหน้าไปยิ้มให้เซวียนหยวนรุ่ยเล็กน้อย “เสด็จพี่สาม ตั้งแต่พบกันครั้งสุดท้าย ข้าก็มั่นใจว่าท่านคงสุขสบายดี! คืนนี้เป็นโอกาสสำคัญ พระชายาของเสด็จพี่สามไปไหนเสียล่ะ”
เมื่อพูดถึงเยี่ยจือหวา เซวียนหยวนชิงก็พูดเยาะหยันเซวียนหยวนรุ่ย “พูดถึงพี่สะใภ้สาม นางก็เป็นคนที่มีค่าในชีวิตข้าน่ะสิ”
การจับคู่ดวงชะตาแต่งงาน เป็นชะตากรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
เซวียนหยวนรุ่ยพูดไม่ชัดเจน แต่คำพูดของเซวียนหยวนชิงน่ารังเกียจกว่า “เจ้าคนทรยศ จะก่อกบฏลอบปลงพระชนม์งั้นหรือ
“เสด็จพี่สาม ท่านว่าข้าเป็นคนทรยศ! ท่านคิดว่าข้าจะทำอะไร”
เซวียนหยวนชิงหัวเราะ หันหน้าไปยังฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ “เสด็จพ่อ ช่วยบอกทีว่าข้ามีคุณสมบัติที่คู่ควรนั่งบัลลังก์นี้หรือ”
โอหัง อวดดี สมควรได้รับโทษประหาร!
ผู้บัญชาการทหารหลายคนอยู่ในโถงท้องพระโรงนี้ พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวเงียบๆ ทันทีที่ฮ่องเต้มีพระบัญชา พวกเขาจะรีบเข้าไปจับกุมคนทรยศนี้ทันที
ทว่าฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ยังคงนิ่งเงียบ
สถานการณ์ในโถงท้องพระโรงเริ่มแปลกขึ้นทุกที และท่าทางของท่านหมอซือที่นั่งอยู่ในแถวที่สองด้านซ้ายก็เปลี่ยนไปทันที
อาหารที่จัดมาคืนนี้…
มียาพิษ!
ท่านหมอซือรู้จักยาพิษหลายชนิดในโลก แต่คืนนี้ เขากลับโดนพิษเสียเอง แสดงว่ายาพิษชนิดนี้ร้ายกาจนัก
“ฟุ้บบบ!”
ตอนนี้ท่านแม่ทัพบางคนที่แอบขยับตัว กระอักเลือดและมีสีหน้าที่ไม่น่ามอง “มียาพิษ!”
“อ๊า!”
มีคนในฝูงชนร้องขึ้นมา และเหมือนโดมิโนที่ล้มเป็นทอดๆ คนแล้วคนเล่าที่ได้รับพิษ ยาพิษชนิดนี้ไม่ทำให้ถึงตาย หากไม่ขยับตัว ยาพิษจะทำให้ปวดท้องมากจนทนไม่ไหวร่างกายอ่อนแรง ก็เท่านั้น
ได้ยินเช่นนี้แล้วดูเหมือนว่ายาพิษชนิดนี้จะไม่ร้ายแรงมาก แต่หากเปรียบกับกองกำลังทหารชั้นยอดที่ติดอาวุธและสายตาแหลมคมหลายสิบคนที่เซวียนหยวนชิงนำทัพมา คนในโถงท้องพระโรงนี้ก็เป็นเนื้อบนเขียงดีๆ นี่เอง