แม้เธอจะรู้ล่วงหน้าว่าใครเป็นคนที่ตายไปในมิติแรก ซูหว่านเองก็ยังคงไม่กล้าประมาทแม้เพียงนิด ในโลกใบนี้เธอรู้เนื้อเรื่องมาก่อนและใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง หากเธอสามารถทำเช่นนั้นได้ คนอื่นๆ จะไม่อาจทำได้เหมือนกันหรือ
ซูหว่านยังคงปฏิบัติกับฉีมู่อย่างระแวดระวังและรักษาระยะห่างกับเขาเป็นช่วงแขน ชายคนนี้ชวนให้เธอรู้สึกแย่ ตามท้องเรื่องเดิมเขาเป็นตัวร้ายตัวเป้งแสนตลบตะแลงที่เป็นต้นเหตุให้คนกว่าครึ่งในกลุ่มเก้าคนต้องเสียชีวิต
เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงห้วงฝันมิติที่ห้า ฉีมู่ผู้ช่ำชองในการวางแผนได้พบรูปแบบเฉพาะในความฝันแต่ละมิติ นั่นคือในทุกมิติจะมีจำนวนคนตายที่จำกัดไว้อยู่
ใช่แล้ว ไม่มากไม่น้อยไปกว่าหนึ่งคน!
โลกความฝันทั้งเก้ามิติ คนทั้งเก้าคน มีเพียงคนเดียวที่อยู่รอดไปจนถึงมิติสุดท้าย
ตั้งแต่ที่เขารู้ว่ามีรูปแบบเช่นนี้แฝงอยู่ ฉีมู่ก็เริ่มเสี้ยมใส่ความคนอื่นไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตามเพื่อปกป้องตัวเอง สุดท้ายเขาทำถึงขั้นปลิดชีพเพื่อนตัวเองด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตอนที่เขาพยายามฆ่าอี้จื่อเซวียน เขาย้อนเวลาในจังหวะที่ฉีมู่กำลังจะลงมือคร่าชีวิตอีกฝ่าย หลังจากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายรุกและคอยบงการฉีมู่…
ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงพื้นที่โล่งแจ้งด้วยการนำทางของฉีมู่อย่างที่เขาว่าไว้ ซูหว่านมองฉีมู่ด้วยความฉงนเมื่อมองไปยังกองไม้แห้งที่มุมหนึ่งของพื้น “พี่ใหญ่ฉี พี่เตรียมพวกนี้ไว้เหรอคะ”
“ใช่แล้ว!”
ฉีมู่พยักหน้ารับอย่างไม่คิด “ตอนแรกฉันยังอยากจะไปเก็บไม้ในป่ามาเพิ่ม แต่ฉันมาเจอพวกเธอทั้งสองคนซะก่อน แต่ยังไงฟืนพวกนี้ก็น่าจะพออยู่”
ฉีมู่ว่าขึ้นพลางนั่งยองลงและหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
ครั้นเห็นเขาโอ้อวดทักษะการใช้ไฟแช็กอย่างภาคภูมิใจ ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะระอาและทำเมินมันไป ทว่าฟังเถียนเถียนที่ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมกลับเอาแต่อยู่ข้างกายฉีมู่ ขณะส่งสายตามองเขาอย่างชื่นชม
เด็กสาวตัวน้อยผู้ไม่มีพิษภัยคนนี้นั้นง่ายต่อการใช้ภาพลักษณ์ปั่นหัวที่สุด
หลังจากนั้นครู่หนึ่งฉีมู่ก็ก่อกองไฟขนาดใหญ่ก่อนที่ทั้งสามจะมานั่งล้อมกองไฟนั้น กองไฟสีส้มท่ามกลางเงามืดวูบไหวยามค่ำคืนพาความอบอุ่นมาให้ผู้คนได้มากนัก แม้แต่ความเย็นเยียบที่ทับถมในใจก็ดูเหมือนจะค่อยๆ เจือจางลงไป
ฟังเถียนเถียนและซูหว่านนั่งอยู่อีกฟากของกองไฟ ทั้งสองเอนหลังพิงกัน จากนั้นไม่นานลมหายใจของฟังเถียนเถียนก็ส่งจังหวะสม่ำเสมอก่อนจะผล็อยหลับไป
ซูหว่านไม่เหนื่อยล้าและง่วงงุนแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามพอเห็นฉีมู่เฝ้ามองเธอกับฟังเถียนเถียนอย่างใจเย็นจากอีกด้านของกองไฟ เธอทำเพียงหลับตาลงและตกอยู่ในห้วงนิทราไม่นานหลังจากนั้น
ฉีมู่เพ่งมองกองไฟอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าทั้งสองหลับไปแล้ว เขาลุกขึ้นด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และหันหลังเดินลึกเข้าไปในป่า
ทันทีที่ร่างของเขาลับหายไปซูหว่านก็ลืมตาขึ้น สายตาไร้แววงัวเงีย
ดึกป่านนี้ฉีมู่ไปทำอะไรตามลำพังกัน ทำไมเขาต้องรอจนเธอกับฟังเถียนเถียนหลับสนิทถึงค่อยออกไป
ซูหว่านวางมือลงบนกระเป๋าเป้ของตนและเปิดซิป เธอหยิบผ้าที่ใช้เช็ดหน้าเมื่อเย็นออกมาจากช่องเล็กๆ ด้านใน
เป็นอย่างที่คิดไว้…
ใบหน้าซูหว่านเหยเกยามจ้องผ้าเช็ดหน้ายับย่นเขม็ง
“ซูหว่าน เธอตื่นแล้วเหรอ”
น้ำเสียงฉีมู่พลันดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ เธอแสร้งทำเป็นตกใจกลัวและขยำผ้าเช็ดหน้ายู่ยี่ในมือแน่น ใบหน้าถอดสีก่อนค่อยๆ หันหลังไป “พี่ใหญ่ฉี! พี่ทำฉันกลัวนะ! มาอยู่ด้านหลังเราได้ยังไงกันล่ะคะ”
สีหน้าฉีมู่ออกจะกระอักกระอ่วน “คือว่า…ฉันไปปลดทุกข์แล้วก็เกิดหลงทางขึ้นมา ให้ตายเถอะ พอตกดึกแล้ว ที่นี่ก็ยิ่งเป็นเขาวงกตขึ้นไปอีก! หาทางออกไปไม่ได้เลยจริงๆ”
“โอ้ จริงเหรอคะ”
ใบหน้าของเธอฉายท่าทีประหม่าเช่นกัน “ความจริงแล้ว ฉันเองก็อยากไป…ปลดทุกข์เหมือนกัน”
“เอ๋”
ฉีมู่หลุบตาลงน้อยๆ “อย่างนั้นก็อย่าไปไกลมากนะ ตามสบายเลย ฉันจะไม่…ไม่แอบมองเธอหรอก”
ว่าจบเขาก็กลับไปที่เดิมที่พิงตัวลงก่อนหน้านี้ ห่มตัวด้วยเสื้อคลุมตัวเองและหันหลังให้เธอคล้ายกับกลัวว่าซูหว่านจะไม่สบายใจ
ซูหว่านหาโทรศัพท์จากกระเป๋าและใช้มันเป็นไฟฉายก่อนเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง
ป่าดิบเขาดูราวกับสิ่งมีชีวิตร่างยักษ์และดำมืดในยามค่ำคืน ไม่รู้ได้ว่าเมื่อไรมันจะอ้าปากอาบเลือดของตัวเอง ความจริงแล้วซูหว่านไม่ได้ต้องการจะปลดทุกข์ เธอเพียงไม่อยากให้ฉีมู่ผิดสังเกตเท่านั้น
หลังจากก้าวเข้าไปในป่าไม่เท่าไร ซูหว่านหยุดเท้าและนั่งลงบนก้อนหินข้างทาง มองหน้าจอที่ส่องแสงสว่างรางๆ เสดูเวลาอย่างไม่รู้ตัว ไม่คาดคิดว่าเวลาล่วงจะเลยมาถึงสี่ทุ่มห้าสิบแล้ว และโทรศัพท์ยังคงเหลือแบตเตอรี่อยู่สองขีด
ในจังหวะที่เธอจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตัวเอง พลันมีบางอย่างเปลี่ยนไปบนหน้าจอ ก่อนเสียงเสียดหูจะทำให้เธอสะดุ้งโหยงจนแทบโยนโทรศัพท์ทิ้ง!
เสียงร้องเฉือนบาดและสะท้านหูยังคงดังไม่หยุด
หน้าจอปรากฏชื่อคนโทรเข้า นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฟั่นซูจวิน!
ฟั่นซูจวินกับอี้จื่อเซวียนอยู่ร่วมห้องห้าศูนย์สามด้วยกันในหอชาย พอซูหว่านกับอี้จื่อเซวียนคบหากันเธอจึงบันทึกเบอร์ของเขาไว้
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ฟั่นซูจวินเป็นพวกหมกหมุ่นที่ไม่สุงสิงกับผู้คนนัก งานอดิเรกสุดโปรดในวันธรรมดาคือการหมกตัวอยู่ที่บ้านและเล่นเกมในห้องนอนตัวเอง หรือไม่ก็ตั้งวงกับฉินลู่ซึ่งอยู่ห้องเดียวกันเพื่อผลาญเวลาทั้งคืนที่ร้านอินเทอร์เน็ต
เป็นธรรมดาของพวกติดเกมซึ่งยังเป็นหนึ่งในเก้าคนที่มาเที่ยวฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้
แววตาซูหว่านฉายวาววับ เธอเห็นว่าโทรศัพท์ตัวเองยังคงไม่มีสัญญาณ ทว่าเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอบอกเธอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา
“ว่าไง! ฟั่นซูจวินเหรอ”
ไม่มีเวลาให้ลังเลใจ ซูหว่านรับสายในทันที
“สวบๆๆ สวบๆๆ”
เสียงถูไถแปร่งๆ ดังมาจากฟากปลายสายชวนให้เย็นสันหลังวาบ
“ฟั่นซูจวิน นั่นนายใช่ไหม”
เธอกำมือถือแน่นและถามอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“ที่เก้า…ลำดับที่เก้า…ลำดับที่เก้า…”
น้ำเสียงแหบแห้งเจือแค่นขืนของชายคนหนึ่งส่งผ่านมาจากปลายสาย ซูหว่านแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็นเสียงของฟั่นซูจวินหรือไม่ แต่เธอกลับอดไม่ได้จะถามกลับ “ลำดับที่เก้าคืออะไร”
“เมิ่ง…เมิ่ง…อ่าห์! เอี๊ยด กร๊อบ…”
ซุ่มเสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์เริ่มชวนพิศวงและขนหัวลุก
ซูหว่านยังคงถือสายไว้ หากแต่กลับรู้สึกว่าเสียงลมหายใจของฟังเถียนเถียนค่อยๆ จางหายไป
ตู๊ดๆๆ…
สายถูกตัดไปในขณะที่เธอไม่ละสายตาไปจากหน้าจอ มันกลับมาเป็นดังเดิมอย่างก่อน ยังคงไม่มีสัญญาณ ยังคงมีแบตเตอรี่สองขีด ยังคงบอกเวลา…สี่ทุ่มห้าสิบ!