“คนหนุ่มสาวอย่างเธอนี่ดวงดีจริงๆ นะ”
หัวหน้านางพยาบาลอายุเกือบสี่สิบกระซิบบอกขณะที่เข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ “ถนนบนเขานั้นพังอยู่บ่อยๆ วันนั้นตอนที่พวกเธอทั้งหมดเกิดอุบัติเหตุเข้าก็มีรถชนที่อื่นเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น คนในรถหลายคนก็ตายไป เหตุการณ์นั้นได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะ พวกเขาบอกว่ารถหรูราคาเป็นล้านหยวนพังยับเลย น่าเสียดายจริงๆ”
ทางบนภูเขา อุบัติเหตุทางถนน
ซูหว่านค่อยๆ หลับตาลง ความทรงจำปรากฏภาพรถบัสที่เธอนั่งมาในวันนั้น พวกเขาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่หลังจากเดินทางมายาวนาน ถนนถูกกั้นไว้ ฉีมู่จึงต้องกลับรถไปใช้เส้นทางอื่นที่แคบกว่า และหลังจากนั้น…
ที่แท้ก็เป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์
มิน่าศีรษะของเธอถึงได้เจ็บและจำเรื่องราวได้เลอะเลือน ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง อี้จื่อเซวียนล่ะ
“คุณหัวหน้าพยาบาลคะ”
คิดมาถึงตรงนี้ซูหว่านก็เรียกหัวหน้าพยาบาลที่กำลังจะออกไป “เพื่อนร่วมวิทยาลัยของฉัน คนที่อยู่ในรถบัสคันเดียวกับฉัน พวกเขาเป็นอะไรไหมคะ”
“โอ้ เธอถามถึงพวกเขาสินะ มีสองคนแค่ฟกช้ำ ครอบครัวของพวกเขามารับออกไปเมื่อเช้านี้เอง เธอกับอีกสี่คนที่บาดเจ็บคล้ายๆ กันยังต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล สองคนที่เหลือบาดเจ็บรุนแรงและยังมีอาการสาหัสอยู่ในห้องไอซียูน่ะ แต่พวกเขาก็น่าจะพ้นขีดอันตรายหลังจากคืนนี้นั่นแหละ”
หลังจากหัวหน้าพยาบาลว่าจบเขาก็หันหลังเดินจากไป
ซูหว่านลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สวมรองเท้าบนพื้นและค่อยๆ เดินออกจากห้องตัวเอง
เธอคอยถามไปตลอดทางจนในที่สุดก็มาถึงห้องคนไข้ของอี้จื่อเซวียนอย่างราบรื่น ภาพด้านในห้องที่มองเห็นจากช่องหน้าต่างเล็กๆ บนประตูห้อง อี้จื่อเซวียนไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง เขาอยู่กับฉินลู่
ทั้งสองกำลังอยู่บนเตียง หันหน้าเข้าหากันคล้ายพูดคุยกันอยู่
ซูหว่านมองผ้าพันแผลบนแขนของอี้จื่อเซวียน พอเห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงเธอก็เบาใจ เธอลังเลที่จะเดินจากไป อี้จื่อเซวียนที่อยู่ในห้องนึกอยากจะมองออกมาทางประตูกะทันหัน สายตาของทั้งคู่สบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เธอผลักประตูเข้าไปอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นเขานิ่งค้างไป
“ซูหว่านเหรอ”
ฉินลู่มองหน้าเธอก่อนจะลอบเหลือบมองอี้จื่อเซวียนที่อยู่บนอีกเตียง “เธอมาเยี่ยมเราเหรอ”
“อืม”
ซูหว่านขานรับเสียงแผ่ว “นายสองคนไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงใช่ไหม”
“ไม่ได้รุนแรงอะไรหรอก”
ฉินลู่ส่งยิ้มจากใจ “เราแค่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละ ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร แล้วเธอล่ะ”
“ฉันเองก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แค่ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาบางครั้งน่ะ”
เธอลูบคลำหน้าผากตัวเองเบาๆ ขณะที่พูดมาถึงตรงนี้ “ฉันรู้สึกเหมือนลืมบางอย่างไปเลย แต่จำไม่ได้ว่าคืออะไร”
ทุกครั้งที่เธอปวดหัวมันก็มักจะเจ็บและสับสนในใจ เมื่อความเจ็บปวดนั้นผ่านพ้นไปเธอก็จะครั่นเนื้อครั่นตัวไปทั้งร่าง รู้สึกอยู่ตลอดว่าบางอย่างที่สำคัญมากหายไปจากความทรงจำหากแต่นึกไม่ออกสักที
“เป็นเพราะว่าเธอหัวกระแทกบางอย่างเข้าตอนที่เกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า เธอต้องไปตรวจดูจริงๆ นะ!”
ฉินลู่มองเธอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง และอดไม่ได้จะเอ่ยเตือนเธอ
“เดี๋ยวฉันจะไปแล้วกัน”
เธอพยักหน้ารับ ถามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ราวกับนึกถึงบางอย่าง “ฉินลู่ ฉันได้ยินมาจากหัวหน้าพยาบาลว่ามีคนยังอยู่ห้องไอซียูที่ยังไม่ฟื้น ใครกันเหรอ”
“เฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ไง”
ท่าทีของฉินลู่ไม่สู้ดีนักพอพูดถึงเรื่องนี้ “ตอนนั้นทั้งสองคนนั่งอยู่ด้านหลังสุด จากที่หมอบอก มีหินหล่นลงมาจากบนเขากระแทกท้ายรถบัสเข้าน่ะ”
เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง!
ซูหว่านครุ่นคิดย้อนไปถึงตำแหน่งการนั่งของทุกคน ฉีมู่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับด้านหน้าสุด ฟั่นซูจวินนั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า ตอนที่เธอเพิ่งขึ้นรถบัสมา ทั้งสองดูเหมือนกำลังถกกันเรื่องการเล่นเกมอยู่ ด้านหลังฉีมู่คือฟังเถียนเถียน เมิ่งถิงเหยาอยู่ขวามือของฟังเถียนเถียน คนที่นั่งอยู่แถวหลังคืออี้จื่อเซวียน ฉินลู่ และเฉินอวี้เฟิง ไป๋เสี่ยวเย่ว์ที่มักไม่สุงสิงกับใครนั่งคนเดียวอยู่แถวหลังสุด
ในระหว่างที่พวกเขาเดินทาง ซูหว่านกับฟังเถียนเถียนกำลังฟังเพลง หลังจากนั้นฉีมู่ก็เป็นฝ่ายเริ่มหันมาคุยกับเธอ เธอเอาแต่คุยกับเขาจนไม่ได้หันมามองด้านหลังตัวเอง
เฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์นั่งดัวยกันตอนที่เกิดอุบัติเหตุตามคำที่ฉินลู่บอก
บางทีตอนนั้นเฉินอวี้เฟิงอาจย้ายไปด้านหลังเพราะมีบางอย่างคุยกับไป๋เสี่ยวเย่ว์หรือเปล่า
หลังจากออกมาจากห้องคนไข้ของฉินลู่กับอี้จื่อเซวียน ซูหว่านถามไปทั่วอีกรอบจนเจอห้องคนไข้ของฟังเถียนเถียกับเมิ่งถิงเหยา เธอไปหาที่นั่นและเห็นว่าพวกเธอเองก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ฟังเถียนเถียนดูเหมือนอย่างเมื่อก่อน ทั้งเรียบร้อยและช่างพูด เมื่อได้ดึงซูหว่านเข้าร่วมวงสนทนาแล้วก็ไม่มีจุดสิ้นสุด เธอยังแอบถามอาการของฉินลู่อย่างคิดว่าตัวเองปิดบังมันได้มิด
ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องที่ฟังเถียนเถียนชอบฉินลู่ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด มีเพียงฟังเถียนเถียนที่คิดว่าเธอซ่อนไว้ได้แนบเนียนซะเหลือเกิน ฉินลู่เองก็ทึ่มมากเสียจนดูความคิดเธอไม่ออก
ซูหว่านไปหาเมิ่งถิงเหยาเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตามปกติเป็นเพียงคนรู้จัก เมิ่งถิงเหยาไม่ได้เป็นคนพูดมาก เธอเหมือนเทพีที่วางตัวเองอยู่เหนือบัลลังก์อยู่เสมอ ซูหว่านรู้สึกว่าคนแบบนี้กับเธอไม่มีทางอยู่ในโลกเดียวกันได้
เช่นในตอนนี้ที่พวกเธอเข้ารักษาตัวอยู่ ทุกคนอยู่ในห้องคนไข้ทั่วไป ในขณะที่เมิ่งถิงเหยาอยู่ที่ห้องพิเศษบนชั้นห้าแม้ว่าเธอจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเธอ
ถึงอาจารย์จะพร่ำบอกว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ซูหว่านก็ยังรู้สึกว่าคนเราถูกแบ่งเป็นชนชั้นและระดับที่แตกต่างกันไปตั้งแต่เกิด
นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณเลือกได้ด้วยตัวเอง
เหมือนอย่างเธอ อย่างอี้จื่อเซวียน อย่างเมิ่งถิงเหยา และคนอย่างเฉินอวี้เฟิง เฉินอวี้เฟิงคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ชีวิตของเขาอยู่เหนือขึ้นไปและไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ในขณะที่อี้จื่อเซวียนยากจนตั้งแต่อายุยังน้อย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากพึ่งพาตนเอง ส่วนซูหว่านน่ะหรือ เธอเกิดมาในครอบครัวคนทำงานทั่วไป แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยากเข็ญอย่างอี้จื่อเซวียน เธอก็ยังรู้ว่าพ่อแม่ของเธอทำงานหนักและมันไม่ง่ายสำหรับพวกท่าน
ดังนั้นกว่าครึ่งปีก่อนตอนที่อี้จื่อเซวียนบอกว่าอยากจะพาเธอกลับไปหมู่บ้านเล็กๆ บนเขาหลังจากเรียนจบซูหว่านจึงบอกปัดไป
เธอไม่ได้ต้องการลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังไม่ต้องการให้พ่อแม่ของเธอลำบากต่อไปด้วย
พูดได้ว่าเธอเป็นพวกวัตถุนิยมและยังถือตัว เธอมักคิดอย่างมีเหตุผลอยู่เสมอว่าความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เธอหวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอไขว่คว้าสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นเพื่อตัวเองและครอบครัว มันผิดตรงไหนกันล่ะ
ซูหว่านเหนื่อยล้าเหลือเกินเมื่อกลับไปห้องคนไข้ของตัวเอง เธอเค้นระลึกถึงทุกอย่างที่ผ่านพ้นไปในจังหวะที่หลับตาลง ก่อนถอนใจออกมาเบาๆ
เธอออกจะหวั่นไหวไม่น้อย อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป
ลมหายใจของซูหว่านเข้าออกสม่ำเสมอก่อนจะตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างไม่รู้ตัว
ห้องคนไข้มืด ผ้าม่านสีฟ้าข้างหน้าต่างพลันปลิวสะบัดแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ ราวกับมันถูกใครบางคนกระชากเปิด เห็นหน้าต่างใสสะอาดและแสงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างพร้อมกับแรงดึงรุนแรงของผ้าม่าน
ดวงจันทร์ส่องสว่างยามค่ำคืน ทว่ากลุ่มก้อนเงาดำมืดได้ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างข้างเตียงของซูหว่าน กลุ่มก้อนเงาดำมืดนั้นบิดพลิ้วและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลขอารบิกสีดำ ‘5’