ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 13 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (13)
“อี้จื่อเซวียน มาตกลงกันไหม”
อี้จื่อเซวียนไม่ได้หันไปตามเสียงเนือยของฉีมู่ นึกออกว่าตอนนี้สีหน้าของอีกฝ่ายคงฉายท่าทียกตนข่มคนอื่นอยู่ไม่มากก็น้อย
“ไม่ละ”
อี้จื่อเซวียนคลายกลอนประตูพร้อมมือที่กำลังจับอยู่ที่ลูกบิดราวกับจะเปิดประตูออกไปในทันที
“นายไม่อยากรู้ว่าหมายเลขที่จริงของนายคืออะไรบ้างเหรอ”
เป็นอีกครั้งที่เสียงของฉีมู่ดังขึ้นด้วยความแน่วแน่
ร่างของอี้จื่อเซวียนที่กำลังจากไปชะงักงัน “ทำไมฉันถึงควรเชื่อใจนายล่ะ”
แม้กระนั้นลึกๆ เขาก็ยังอยากรู้คำตอบว่าฉีมู่ควรค่าแก่การไว้ใจของเขาหรือไม่ หากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา เกรงว่าก็คงไม่มีใครรู้นอกจากเจ้าตัวเอง
“นายเองก็เลือกว่าจะไม่เชื่อฉันได้ ไม่มีใครบังคับนายหรอก ถึงยังไง…”
ฉีมู่ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาเบี่ยงหน้าไปด้านข้างน้อยๆ “และมันก็ปลอดภัยที่สุดถ้าเราอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว มันเป็นทางเลือกของเราว่าจะอยู่เป็นกลุ่มหรืออยู่ตามลำพัง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวนายเอง แน่นอนว่าถ้านายทนเห็นฉันกับเสี่ยวหว่านจู๋จี๋กันทั้งวันต่อหน้านายไม่ได้ งั้นฉันก็จนปัญญาเหมือนกัน ใครใช้ให้ฉันรักเธอมากขนาดนี้กันล่ะ ถ้าเธอตายฉันก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”
“ไปตายซะ!”
ซูหว่านที่กลับมาในห้องนั่งเล่นทันได้ยินคำพูดสุดท้ายของฉีมู่ เธอปาเสื้อสูทที่ถืออยู่ใส่หน้าฉีมู่ก่อนเอ็ดเขาเสียงแข็ง
“โอ๊ย ตีก็นับเหมือนการจูบ ด่าก็เหมือนกับความรัก ฉันรู้ว่าเธอรักฉันนะ”
ฉีมู่คว้าเสื้อที่แหมะอยู่บนหน้าเขาและส่งยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยให้ซูหว่าน
หน้าไม่อาย
ซูหว่านค้อนมองเขาก่อนหันไปทางอี้จื่อเซวียนซึ่งอยู่ที่ประตูด้วยท่าทีเฉยชา “ทำไมนายยังไม่ไปอีกล่ะ”
ไม่นานก่อนหน้านี้ซูหว่านยังคิดจะทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเพื่ออี้จื่อเซวียน แต่ในตอนนี้เธอกลับกลบฝังความคิดนั้นไปจนมิด
เธอนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเป็นผู้หญิงไร้ยางอายในสายตาของอี้จื่อเซวียน
ที่แท้เขาก็ไม่เคยย้อนมองตัวเองเลย
ลูกผู้ชายตัวจริงถ้าเขาชอบพอผุ้หญิงคนหนึ่ง ต่อให้พวกเขาจะแยกทางกัน ต่อให้หญิงสาวคนนั้นจะตีจากไป เขาก็คงทำได้แต่เสียใจบ้าง และคงไม่ทำตัวงี่เง่าและอวดดีจนอุกอาจไปทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างอี้จื่อเซวียน
ครั้นมาคิดทบทวนทุกอย่าง ยามรักแท้กลายเป็นเรื่องในอดีต การทำให้ใครคนหนึ่งด้อยค่าเมื่อหันหนีไปเช่นนี้ เขายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า
ซูหว่านผิดหวังเต็มที เธอเป็นลูกสาวของครอบครัวเล็กๆ ในเมืองใหญ่ เธอไม่เคยรู้สึกสูงส่งหรือถูกดูถูกแบบนี้มาก่อน
เมื่อได้ยินวาจาเสียดสีของเธอ เขาหันไปและพบว่าเธอมองเขาด้วยท่าทีรวดร้าว อี้จื่อเซวียนอดที่จะเย้ยหยันในใจไม่ได้ นี่เธอกำลังเสแสร้งต่อหน้าฉีมู่อยู่หรืออย่างไร
เธอทำเหมือนกันว่าเขาเป็นคนใจไม้ไส้ระกำที่ทำร้ายเธออย่างไรอย่างนั้น
อี้จื่อเซวียนพลันรู้สึกไม่อยากไปในจังหวะนั้นเอง
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ฉีมู่ ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่โซฟา ทำเนียนคล้ายไม่มีใครอยู่ด้วย โยนเสื้อเปื้อนเลือดไปไกลบนพื้น
“ฉีมู่ ไม่ใช่ว่าฉันร่วมมือกับนายไม่ได้หรอกนะ แต่เดิมพันของนายมันไม่พอต่างหาก”
น้ำเสียงและท่าทีของอี้จื่อเซวียนเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาเองก็มีความสามารถจะช่วยชีวิตตัวเองถึงได้กลายเป็นคนที่ถือดีเต็มตัว
อี้จื่อเซวียน…
ฉีมู่จ้องเขาเขม็ง
อี้จื่อเซวียนคนนี้เป็นตัวปัญหาที่แท้จริง ฉีมู่จำได้ว่าเฉินอวี้เฟิงเคยบอกว่าสำหรับเจ้าตัว มองอี้จื่อเซวียนแล้วดูเป็นคนขี้เล่นและร่าเริง หากแต่ในความเป็นจริงเขาเป็นเด็กที่มาจากบนเขาพร้อมหัวใจที่เปราะบางและมีปมด้อย น้องชายคนอื่นๆ ในหอพักมักจะเอาใจใส่และไม่เคยมีปากเสียงกับเขาสักครั้ง
อี้จื่อเซวียนในแบบนี้อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนหยิ่งยโสและอวดเก่ง อะไรทำให้เขามั่นใจขนาดนี้กัน
ฉีมู่มองอี้จื่อเซวียนด้วยความสนใจ “เมื่อกี้ฉันลืมบอกซูหว่านไปว่าทุกคนที่ถูกพวกผีฆ่าจะกลายเป็นผีด้วยทันที พูดอีกอย่างก็คือศัตรูของเราจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
“หืม”
พอได้ยินคำพูดของฉีมู่อี้จื่อเซวียนก็เลิกคิ้ว พูดถึงเรื่องนี้ก็มีปัจจัยที่คาดไม่ถึงโผล่ขึ้นมามากมาย
แม้ว่าอี้จื่อเซวียนจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ทว่าอันที่จริงพลังของเขาก็มีขีดจำกัดทั้งช่วงเวลาและจำนวนครั้ง เขาไม่อาจใช้ได้มากกว่าสิบครั้งต่อวัน สิบครั้งอาจดูเยอะหากแต่ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องคับขัน มันก็ออกจะอันตรายอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้น…
เขาจ้องฉีมู่และเลื่อนสายตาไปทางซูหว่านอย่างหวาดระแวง ตอนนี้ทั้งสองยังท่าทางไว้ใจได้ อย่างน้อยก่อนที่ฉีมู่จะปรากฏตัว อี้จื่อเซวียนก็มีโอกาสใกล้ชิดกับซูหว่าน เธอไม่ได้ลงมือแต่อย่างใดในช่วงที่เขาดูไม่ได้ระวังตัว
ดังนั้นอย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้
ส่วนฉีมู่…
เขาค่อนข้างจะมีพิรุธ น่าจะเป็นความลับที่เขาไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ การอยู่กับเขาดีกว่าการแยกกัน มันดีกว่าการถูกเขาปั่นหัวอยู่ลับหลังมากโข
อี้จื่อเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้ฉีมู่ “ฉันจะยอมรับข้อตกลงนี้ นายยังมีเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า”
ในเมื่อมันเป็นข้อตกลง อี้จื่อเซวียนเชื่อว่าฉีมู่ต้องการบางอย่างจากเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่เอ่ยเสนอและมาร่วมมือกับเขาอย่างแน่นอน
“ฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
ฉีมู่หุบยิ้มและมองจ้องอี้จื่อเซวียนเขม็ง “ฉันอยากให้นายทำบางอย่าง ถ้าเราเจออันตรายด้วยกัน ฉันหวังว่านายจะใช้พลังของนายช่วยฉันปกป้องซูหว่านให้ดีที่สุด ฉันไม่ได้หวังให้นายคอยปกป้องเธออยู่แล้ว ครั้งเดียว ฉันต้องการนายตอนที่ฉันหัวหมุนกับการทำอย่างอื่น แค่ปกป้องเธอครั้งเดียวเท่านั้น จำเอาไว้ละ อี้จื่อ
เซวียน นี่เป็นสัญญาลูกผู้ชาย นายจะไม่ตกลงก็ได้ ถ้านายทำอย่างนั้นงั้นข้อตกลงของเราก็เป็นโมฆะ ถ้าตกลงนายก็ต้องทำตามเงื่อนไขแต่โดยดี อย่าคิดหลอกฉันเชียว!”
เสียงของฉีมู่แผ่วเบาลง อี้จื่อเซวียนกับซูหว่านมองอย่างประหลาดใจ ราวกับมันเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักเขา
“เสี่ยวหว่าน เธอซาบซึ้งกับคำพูดของฉันใช่ไหม อย่างนั้น…ก็มอบหัวใจเธอให้ฉันเป็นไงล่ะ”
ครั้นฉีมู่สังเกตเห็นประกายวูบไหวในสายตาซูหว่านเขาก็ตามรุกเกี้ยวทันที เขาไม่ลืมจะเผยแววรักใคร่ ซูหว่านที่ใจเต้นรัวเล็กน้อยเบือนหน้าหนีด้วยความหงุดหงิดทันทีเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มออกมา
อี้จื่อเซวียนประเมินฉีมู่อย่างรอบคอบอีกครั้ง ฉีมู่คนนี้จะเป็นคนบูชาความรักขนาดนี้ไปได้หรือ