ฉีมู่ไม่ได้นอนหลับ ครั้นยามรุ่งอรุณมาเยือนดวงตาของเขาจึงมีเส้นเลือดปรากฏไปทั่ว เมื่อซูหว่านกับฟังเถียนเถียนตื่นขึ้นมา เขาก็ปิดกระเป๋าและหยิบอาหารกระป๋องออกมาสองกระป๋องและบิสกิตอีกถุงหนึ่งออกมา
“ว้าว! พี่มีอาหารกระป๋องด้วย! พี่ใหญ่ฉี เตรียมตัวมารอบคอบเลยนะคะ พี่เดินป่าบ่อยเหรอคะ”
แววตาฟังเถียนเถียนเป็นประกายเมื่อเห็นอาหารน่าลิ้มลอง
ฉีมู่ทำได้เพียงระบายยิ้ม “ฉันเป็นเจ้าแห่งการเอาตัวรอดในป่าน่ะ เดี๋ยวเธอก็รู้เอง! ผู้ชายที่ไม่รู้จักการเอาชีวิตรอดในป่าไม่ใช่สามีที่ดีหรอกนะ!”
ซูหว่าน : …
ฟังเถียนเถียน : …
ทั้งสามคนเร่งกินอาหารก่อนเริ่มหาทางออกไปจากที่แห่งนี้ ฉีมู่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันของเขา หากแต่ซูหว่านจดจำทุกอย่างได้แจ่มชัด ไม่รู้ว่าความคิดผุดมาจากที่ใด ซูหว่านพลันแนะเส้นทางขึ้นมา เส้นทางที่เธอเผชิญหน้ากับฉินลู่
ทั้งสองไม่ได้คัดค้าน ทั้งสามคนจึงเก็บสัมภาระของตัวเองและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางนั้นอย่างแน่วแน่
มันเป็นราวกับความฝัน บรรยากาศทั้งเงียบและสงบหลังจากที่เดินมาทั้งวัน ทั้งสามคนไม่ได้เจอกับเรื่องอันตรายแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่พบเพื่อนคนอื่นๆ ที่หายตัวไปอีกด้วย
ราวกับเธออยู่ในอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนลับหายไปอีกครั้ง ดวงตาของฟังเถียนเถียนขึ้นสีแดง จังหวะก้าวย่างผิดแผกแปลกไปเล็กน้อยอย่างกับต้องการออกไปให้เร็วที่สุดแต่กลับไม่มีทางไป ความหวาดหวั่นและสิ้นหวังเช่นนั้นพาให้ฟังเถียนเถียนหน้าถอดสี
ตอนนี้เองที่มีแสงรางๆ ส่องมาจากอีกฟากของแนวป่าทึบ
“อ๊ะ!”
อยู่ๆ แสงนี้ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันชวนให้ฟังเถียนเถียนที่ขวัญเสียอยู่แล้วกรีดร้องออกมา แสงนั้นวูบไหวน้อยๆ ตามเสียงของเธอ
“ใคร! นั่นใครกัน ออกมาหาฉันนะ!”
เด็กสาวตะเบ็งสุดเสียงอย่างกับนักเลงโต
เสียงนี้มัน…
“ไป๋เสี่ยวเย่ว์!”
น้ำเสียงฟังเถียนเถียนแฝงรอยสะอื้น ทว่าเธอก็ลนลานสุดขีดด้วยจำเสียงนี้ได้ในจังหวะนั้น มันเป็นเสียงของไป๋เสี่ยวเย่ว์ เพื่อนร่วมห้องของเธอ
ซูหว่านอึ้งไปเล็กน้อยเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงของไป๋เสี่ยวเย่ว์ เธอเพียงต้องการเสี่ยงดวงดูตอนที่เลือกเส้นทางนี้
นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเพื่อนที่นี่จริงๆ
ไม่นานหลังจากนั้นไป๋เสี่ยวเย่ว์ก็โผล่มาอยู่ตรงหน้าทั้งสาม ผมยาวของเธอถูกย้อมเป็นสีม่วงเข้มและเธอกำลังอยู่ในชุดพอดีตัวสีดำ เส้นสายเครื่องประดับระเกะระกะพันห้อยอยู่ที่ข้อมือของเธอ
เครื่องแต่งกายหัวจรดเท้าของเธอแสดงรสนิยมล้ำๆ ด้านแฟชั่นของเธอได้เป็นอย่างดี มันทำให้ซูหว่านไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ
ไป๋เสี่ยวเย่ว์เกิดในกลุ่มผู้มีอิทธิพล พ่อของเธอเป็นหัวหน้าองค์กรกว้างขวางนี้ ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านไป๋ และลูกสาวที่เขามีตอนที่อายุมากแล้ว ลูกคนเดียวที่เขามีในชีวิตนี้ก็คือเด็กสาวอันเป็นที่รักของเขา ไป๋เสี่ยวเย่ว์ จินตนาการออกได้เลยว่าตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่เธอโตมากับการถูกท่านไป๋ประคบประหงมเต็มที่ อย่างไรก็ตามก็เห็นกันอยู่ว่าเด็กสาวเอวบางร่างน้อยแสนน่ารักคนนี้เติบโตมาเป็นคนที่หยิ่งยโส ตอนนี้เธอตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ซูหว่านเกรงว่าท่านไป๋คงต้องเป็นคนที่หัวเสียที่สุดเป็นแน่
“พวกเธอสามคนมาอยู่ด้วยกันได้ยังไงล่ะ”
ไป๋เสี่ยวเย่ว์เห็นคนทั้งสาม เธอเพ่งสำรวจฉีมู่จากนั้นจึงเปิดปากซักถามพวกเขา
“เจอกันระหว่างทางน่ะ”
ซูหว่านตอบออกมาเป็นคนแรก “ไป๋เสี่ยวเย่ว์ เธออยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ”
พอได้ยินคำถามของซูหว่าน ไป๋เสี่ยวเย่ว์มองหน้าฉีมู่อย่างไม่รู้ตัว หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็ตอบกลับเสียงเบา “มีแต่ฉันเนี่ยแหละ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ต่อจากนี้เราสี่คนเดินทางไปตามหาพวกเขาด้วยกันนะ!”
ฟังเถียนเถียนที่ได้สติกลับมาแล้วก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เธอว่าขึ้นพลางยกมือตบบ่าไป๋เสี่ยวเย่ว์ ชั่วขณะที่มือของฟังเถียนเถียนแตะโดนไหล่ของไป๋เสี่ยวเย่ว์ เลือดเนื้อของมือเธอก็หลอมละลายเหลือเพียงกระดูกขาวแหลมคมที่แทงเข้าที่ไหล่ของไป๋เสี่ยวเย่ว์ไม่ยั้ง
ทันใดนั้นเลือดสีดำดึงดูดสายตาก็ผุดขึ้นมาและหยดลงบนพื้นทำให้ต้นหญ้าและดอกไม้ป่าบนพื้นเ**่ยวเฉาลงในฉับพลัน
“วิ่งเร็วเข้า!”
ท่อนแขนและแม้แต่ร่างกายส่วนบนของฟังเถียนเถียนแปรสภาพต่อไปไม่หยุด เลือดเนื้อกำลังอันตรธานหายไปจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น โครงกระดูกสีขาวซึ่งสูญเสียเลือดเนื้อไปกลับหันศีรษะอย่างฝืดเคืองส่งเสียงบดเบียดเสียดหู สุ้มเสียงราบเรียบและแข็งกร้าวดังมาจากปากของเธอขณะที่ฟันกระทบกัน
วิ่งเร็วเข้า!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงในชั่วพริบตาเดียว
ซูหว่านมองฟังเถียนเถียนที่กลายเป็นโครงกระดูกและรอยเลือดสีดำบนตัวไป๋เสี่ยวเย่ว์อย่างจนปัญญา เส้นผมสีม่วงเข้มของอีกฝ่ายยาวสยายขึ้นเรื่อยๆ ยาวเกินไปจนกระทั่งบดบังใบหน้าจมมิด กระทั่งปกคลุมทั้งร่างของเธอ
เรือนผมยาวนี้ปลิวไสวในอากาศพัวพันรัดโครงกระดูกของฟังเถียนเถียน ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหาซูหว่านกับฉีมู่อย่างรวดเร็ว
วิ่ง!
ครั้งนี้ซูหว่านตอบสนองในทันควันและลากฉีมู่หันวิ่งหนี!
ตามปกติแล้วฉีมู่ชื่นชอบการเอาชีวิตรอดในป่า ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาจึงดีเยี่ยม แต่เขาไม่คิดว่าร่างกายของซูหว่านจะอึดถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งสองวิ่งสุดแรงเกิดไปตลอดทางและเธอก็สามารถตามฝีเท้าเขาทันอยู่เสมอ
“แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันเนี่ย”
ขณะที่วิ่งหนีฉีมู่อดคิดออกมาดังๆ ไม่ได้ “ฟังเถียนเถียนกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ มันไม่เหมือนว่าพวกเธอถูกปีศาจสิงอยู่เหรอ”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ฉีมู่ก็ยังขนหัวลุกไม่หาย
ซูหว่านเอาแต่เงียบและไม่ได้หันกลับไปมองเช่นกัน ด้วยเป็นเช่นนี้พวกเขาวิ่งไม่หยุดหย่อนกระทั่งเงาน่าสยดสยองขวางพวกเขาไม่ให้ไปข้างหน้าต่อ
ไร้ซึ่งแสงจันทร์หรือแม้แต่ดวงดาวในป่าหนาทึบ มีเพียงเสียงหอบหายใจรุนแรงของซูหว่านกับฉีมู่ให้ได้ยินพร้อมความมืดมิดที่โอบล้อมพวกเขาไว้
เงานั้นตระหง่านอยู่ใต้ต้นไม้ผสานเข้ากับแสงสลัว ชวนให้ยะเยือกในใจจนเจ็บ เส้นผมสีม่วงเข้มพริ้วไหวอย่าบ้าคลั่งในคืนที่มืดมิดทั้งคราบเลือดสีดำที่เปื้อนบนร่างของเธอ
สิ่งมีชีวิตตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่ไป๋เสี่ยวเย่ว์อีกแล้ว หากแต่เป็นปีศาจสาวไร้หน้าผมปลิวไสวยุ่งเหยิง
ปีศาจสาวยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากซูหว่านกับฉีมู่ เส้นผมน่าพิศวงเต้นเร่าๆ ราวกับมีกระแสลมรุนแรงกำลังเผชิญหน้าทั้งสองคนอยู่
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าท่าทีของซูหว่านเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ในห้วงยามที่ชีวิตของใครคนหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอผลักฉีมู่ซึ่งอยู่ข้างๆ เธอออกไป “ฉันไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนอื่น”
ไม่ทันได้พูดจบเธอก็พลันเบิกตาขึ้น
สายลมยามเช้าตรู่พาให้บรรยากาศหนาวเย็นเล็กน้อย ข้างกายเธอคือกองไฟที่มอดดับลงไปนานแล้ว
อากาศทั้งเย็นและชื้น ซูหว่านขดตัวเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ฟังเถียนเถียนที่พิงเธออยู่อย่างสบายตัวตื่นขึ้นมาเพราะการเคลื่อนไหวของซูหว่าน
“อรุณสวัสดิ์”
ฟังเถียนเถียนยังคงง่วงงุน เธอเผลอแตะแขนและขาตัวเองข้างหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะโอดครวญ “หนาวจัง ถ้าเรามีเต็นท์ก็คงดี”
พูดมาจนถึงตอนนี้ ท้องเธอก็ร้องประท้วงทำให้ฟังเถียนเถียนที่สดใสและคิดบวกอยู่เสมอหน้าขึ้นสี “เอ่อ ฉันหิวนิดหน่อยน่ะ ซูหว่าน เธออยากกินอะไรไหม ฉันยังมีบิสกิตอยู่ในกระเป๋านะ”
“กินอาหารกระป๋องแล้วกัน”
ซูหว่านลุกขึ้น เดินอ้อมกองไฟไปยืนข้างกายฉีมู่ เขายังคงหลับสนิทอยู่ ดวงตาปิดแน่นแม้ว่าสีหน้าจะดูไม่ดีนักก็ตาม
เธอก้าวผ่านเขาไป เปิดกระเป๋าด้านหลังเขาและหยิบอาหารกระป๋องออกมาสองกระป๋อง
อย่างที่คิดไว้ รสชาติและยี่ห้ออาหารกระป๋องไม่ผิดไปจากในความฝัน
“ว้าว! ยังมีอาหารกระป๋องด้วยเหรอ”
ฟังเถียนเถียนถึงกับพูดไม่ออก “พี่ใหญ่คนนี้เตรียมการทุกอย่างมาดีจริงๆ เขาถือว่าเป็นเจ้าแห่งการเอาชีวิตรอดในป่าได้เลยนะเนี่ย เอ๋ พูดแล้วก็…”
ไม่รู้ว่าฟังเถียนเถียนคิดอะไรอยู่ เธอหันหน้าไปจ้องมองซูหว่านทันที “ซูหว่าน เธอรู้ได้ยังไงว่าเขามีอาหารกระป๋องอยู่ในกระเป๋าเป้”
“ฉันบังเอิญเห็นมันน่ะ”
ซูหว่านตอบกลับอย่างไม่อินังขังขอบ ฟังเถียนเถียนมองเธอก่อนเหลือบไปทางฉีมู่ซึ่งนอนหลับอยู่อย่างรวดเร็ว เธอพึมพำบางอย่างกับตัวเองและเริ่มพยายามเปิดอาหารกระป๋องที่ซูหว่านส่งให้อย่างทุลักทุเล
ฉีมู่ลุกขึ้นมาในสภาพเหงื่อแตกพลั่กตอนที่ทั้งสองคนกินอาหารเกือบจะเสร็จแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
ซูหว่านที่ถูกเสียงฉีมู่ขยับตัวดึงดูดความสนใจไปถามขึ้นทันที
เขายังตัวสั่นเทิ้ม สายตาฉายแววสับสนยามมองซูหว่านในทีแรก ก่อนชำเลืองมองฟังเถียนเถียนอย่างระแวง สายตาของเขายิ่งอ่านยากเกินบรรยายกว่าเดิมเสียอีก…