ซูหว่านอยู่โรงพยาบาลเพียงแค่สามวัน ก่อนพ่อแม่ของเธอจะมารับออกจากโรงพยาบาล
แผนวันหยุดเดิมในวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมที่วางไว้อย่างดีล่มลงทั้งอย่างนั้น โชคดีที่ยังเหลืออีกสามวันให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน
“เสี่ยวหว่าน แม่กับพ่อจะออกไปแล้วนะ ล็อกประตูหน้าต่างให้ดีๆ แล้วคืนนี้ก็เข้านอนแต่หัวค่ำด้วยล่ะ!”
เสียงร้องเตือนของแม่เธอดังมาจากห้องนั่งเล่นตามมาด้วยเสียงประตูงับปิดลง
สำหรับหลายคนวันที่หนึ่งพฤษภาคมเป็นวันหยุด หากแต่กับพ่อแม่ของซูหว่าน มันเป็นวันที่เหนื่อยขาดใจ พวกท่านง่วนกับงานกะกลางคืนที่เพิ่มขึ้นมา หัวหมุนไปกับการส่งสินค้าในโรงงาน
ดังนั้นสำหรับคนใช้แรงงานที่แท้จริง พวกเขาจะมีเวลาว่างที่ไหนในวันแรงงานกันล่ะ
ซูหว่านดูเป็นปกติ ประตูถูกลงกลอนเอาไว้ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเป็นชุดนอนและดูรายการบันเทิงอยู่ครู่หนึ่ง เวลาสามทุ่มตรงเธอถึงได้กลับไปนอนหลับในห้อง
ห้องของซูจยามีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของบ้านปกติ คุณพ่อซูกับคุณนายซูได้อยู่ในห้องที่ใหญ่ที่สุดโดยปริยาย ห้องของซูหว่านเล็กมาก นอกจากเตียงเดี่ยวหลังหนึ่งก็มีตู้เสื้อผ้าขนาดหนึ่งจุดสองเมตรและโต๊ะเขียนหนังสือสารพัดประโยชน์สองชั้นตัวหนึ่ง
ซูหว่านทิ้งตัวลงบนเตียงตามปกติและปิดไฟในห้อง ห้องนอนมืดมิดและซูหว่านค่อยๆ ผล็อยหลับไปท่ามกลางความมืดนี้
ฝนตกกระหน่ำ รถออดี้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าบนเส้นทางบนเขาด้วยความเร็วสุดขีด
“ฉีมู่ ขับรถระวังหน่อยได้ไหมเนี่ย!”
“ฝนตกหนักมากเลยนะ เราหาที่จอดพักสักหน่อยดีไหม”
ใครเป็นคนพูดในรถกัน หนวกหูจริง
“จอดรถซะ! พวกเธอทั้งหมดอยากตายกันหรือยังไง”
เป็นเสียงของฉีมู่นั่นเอง ซูหว่านไม่รู้ว่าทำไมตนจึงนึกคุ้นเคยกับเสียงของเขาอย่างน่าประหลาด
“ถนนบนเขานี้มีสิบแปดโค้ง วิสัยทัศน์การมองเห็นก็ไม่ค่อยดีเพราะฝนตกหนัก เธอจอดจะไม่เป็นการรอโดนชนกระเด็นเหรอ ต่อให้เราไม่เจอรถคันไหน ต่อให้ไม่มีรถคนอื่น ถ้ามีภูเขาและดินโคลนถล่มหรือบางอย่างเกิดขึ้นมาเราจะทำยังไงกันล่ะ”
ฉีมู่ดูหัวเสียและเกรี้ยวกราดเล็กน้อย เขารู้ว่าตราบใดที่เฉินอวี้เฟิงออกจากบ้านไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
เขาไม่น่ารับปากว่าจะมาและเป็นคนขับรถของไอ้ตัววุ่นวายนี้เลย!
“ฉี ฉีมู่ ช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้ไหม ดูทางสิ ดูทางหน่อย อ๊า!”
เสียงจากฟั่นซูจวินซึ่งนั่งอยู่ที่ยั่งผู้โดยสารด้านหน้าดังขึ้นเบาๆ แฝงความตึงเครียดไว้
รถออดี้ไถลเข้ากับจุดที่ลื่นพร้อมๆ กับประโยคที่เขาว่าขึ้น มันกวัดแกว่งไปมา ซูหว่านรู้สึกเหมือนร่างของเธอสั่นคลอนอย่างแรงจนศรีษะกระแทกเข้ากับที่นั่งด้านหน้าเข้าอย่างจัง
เจ็บจัง…
ซูหว่านลูบหน้าผากที่เจ็บของตัวเองและเหลือบมองไปทางที่นั่งตรงหน้า ใบหน้าของฟั่นซูจวินถอดสีราวกับตกอยู่ในอาการหวาดหวั่น ด้านนอกหน้าต่างรถ สายฝนโหมกระหน่ำบดบังภาพที่ทุกคนเห็น
นี่มัน…
ซูหว่านถึงกับชะงักไป เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดไปครู่หนึ่ง
ความรู้สึกชวนฉงนนี้ทำให้เธอเริ่มปวดหัวตุ้บขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่ามาแตะฉันนะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายทั้งนั้น!”
เสียงแหลมของไป๋เสี่ยวเย่ว์พลันดังขึ้นจากด้านหลังรถในจังหวะนั้น
“เฮ้ๆ อย่าพูดมั่วๆ สิ ฉันแตะตัวเธอก็เพราะเธอเองขอให้ฉันช่วยเธอไม่ใช่เหรอ เธอรังเกียจฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงยังไงเราทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนี่นา!”
มันคือเสียงของเฉินอวี้เฟิง
ซูหว่านหันหน้าไปมองเฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังทุกคน ท่าทีของไป๋เสี่ยวเย่ว์ดูไม่ดีนัก ทว่าสีหน้าของเฉินอวี้เฟิงฉายแววอดทนเต็มทีคล้ายยังคงต้องการพูดบางอย่างกับไป๋เสี่ยวเย่ว์
“เพื่อนร่วมชั้นงั้นเหรอ”
ไป๋เสี่ยวเย่ว์มองหน้าเขาอย่างดูแคลนเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอกำลังจะอ้าปากบอกบางอย่างขณะที่อี้จื่อเซวียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าทั้งสองคนพลันตะโกนขึ้นมา “ฉีมู่! หยุดรถ! หยุดรถเดี๋ยวนี้!”
เสียงของอี้จื่อเซวียนถูกส่งมาอย่างกะทันหันและดังลั่น ซูหว่านคิดว่าเธอเข้าใจอี้จื่อเซวียนดี เธอจึงสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของเขาในประโยคเดียวนั้น
ใช่แล้ว เขาหวาดกลัว เขาอกสั่นขวัญแขวนสุดขีด
เขากลัวอะไรอยู่กัน
เสียงหยุดรถบาดหูดังขึ้น ส่วนท้ายรถสั่นไหวเล็กน้อยแต่ยังคงจอดเข้าข้างทางได้อย่างมั่นคง
“ฉันบอกว่าพวกนายแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ไง”
ฉีมู่เอี้ยวตัวไปมองคนในรถ ใบหน้าปรากฏความไม่พอใจ
ริ้วแสงทาบทับบนท้องฟ้าในชั่วขณะนั้น ซูหว่านรับรู้เพียงภาพขาวโพลนที่เห็น
“อ๊ะ!”
เธอลืมตาตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล สายตาพร่าเลือนของเธอเริ่มแจ่มชัด และค่อยๆ ฉายแววหวาดหวั่นอย่างไม่น่าเชื่ออีกครั้ง
“ติ๋ง ติ๋ง”
ซูหว่านเบิกตากว้างมองเพดานห้องไม่ไหวติง มีบางอย่างหยดลงมาเรื่อยๆ จากเพดาน
หัวใจเธอบีบกระตุกในอก ร่างกายแข็งทื่อ สัมผัสของความประหวั่นพรั่นพรึงแล่นพล่านไปทั้งตัว
มันคือ…อะไรกัน
ท่ามกลางความมืด ดูเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนเพดาน บางอย่างที่ค่อยๆ มารวมกันและก่อตัวเป็นเลข
5
“เลขห้าเหรอ”
ซูหว่านอดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ ตัวเลขบนเพดานนั้นพลันขยายตัวเป็นสิบเท่าเคล้าสุ้มเสียงของเธอและกินพื้นที่ไปทั้งแผ่นฝ้า เหมือนกับเป็นเพียงหินก้อนใหญ่ธรรมดาและตกลงมาหาซูหว่านในทันที
“อ๊ะ!”
เธอสิ้นสติไปเสี้ยววินาที เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งถึงได้เห็นเศษหินระเกะระกะและเลือดที่สาดกระจายไปทั่วพื้น
ฝนยังคงตกหนักไม่หยุดหย่อน รถออดี้สีดำชนกับหินเข้าอย่างจังจนบิดเบี้ยวผิดรูปไม่เหลือเค้าเดิมไป แขนไม่กี่ข้างที่โบกไหวอย่างอ่อนแรงโผล่ให้เห็นจากช่องว่างระหว่างหินที่แตก ราวกับพวกเขากำลังเรียกหาความช่วยเหลือสุดท้าย
เลือดเจือปนกับสายฝนอาบทั้งถนนเป็นสีเลือดหมู
ซูหว่านรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งกาย แผ่นหลังเย็นยะเยือก
อุบัติเหตุทางรถยนต์และรถหรู
รถที่หัวหน้านางพยาบาลบอกว่ามีหลายคนตายคือคันนี้นี่เอง
ใช่แล้ว พวกเขาไม่ได้เห็นภาพอุบัติเหตุทางรถยนต์ในเส้นทางบนเขาและไม่ได้ผ่านตาไปด้วย
แท้จริงที่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ซึ่งรถหรูชนเข้ากับหินคือรถของเฉินอวี้เฟิงที่พวกเขาใช้เดินทางต่างหาก
พวกเขาเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุนั้น คนที่ตายก็ตายไป ส่วนคนที่หมดสติก็ยังไม่รู้สึกตัว
ซูหว่านจำทุกอย่างได้ในฉับพลัน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในโลกแห่งความฝัน
ณ ที่แห่งนี้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องตามหาคนที่เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ ในอุบัติเหตุครั้งนั้นและฆ่าพวกเขาอีกครั้งเพื่อสิ้นสุดความฝัน ส่วนคนตายจะทำทุกอย่างสุดความสามารถที่จะเอาชีวิตคนเป็นเพื่อคว้าโอกาสในการอยู่รอด
มันเป็นห้วงฝันร้ายที่ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีใครพร่ำบอกเรื่องศีลธรรม หากคุณต้องการมีชีวิตรอดคุณจะใจอ่อนไม่ได้ เมื่อใดที่คิดเห็นใจมันหมายความได้เพียงแค่คุณจะถูกคร่าชีวิตไป…
“พรึ่บ”
โคมไฟหัวเตียงถูกเปิดขึ้น ซูหว่านนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยหน้าถอดสี มองนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง เธอคุดคู้ตัวและกำมือแน่น
เลขห้านั้นหมายความว่าอะไรกัน
ห้าคนเป็นหรือว่าห้าคนตายกัน
ความห่อเ**่ยวและสยองขวัญที่ซูหว่านไม่เคยพานพบมาก่อนโอบล้อมรอบเธอ เธอคลายหมัดลง แขนทั้งสองข้างกอดเข่าตัวเองไว้แน่น
“ก๊อกๆๆ! ก๊อกๆๆ!”
เสียงเคาะประตูถี่ลั่นจากด้านนอกบ้านของเธอพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น
เธอหมายจะหดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมอย่างลืมตัวราวกับขวัญเสีย หากแต่เสียงเคาะประตูกลับยิ่งรัวแรงมากขึ้น
ใครกัน
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง
เสียงเคาะประตูตอนเที่ยงคืน คิดอย่างไรก็แปลกประหลาด
“ซูหว่าน เปิดประตูสิ!”
ในที่สุดคนที่เคาะประตูก็ตะโกนใส่ประตูกันขโมยแน่นหนาคล้ายรอไม่ไหวอีกต่อไป
เสียงนี้มัน…
จะเป็นเขาไปได้อย่างไร