การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของซูรุ่ยนั้นทุกคนไม่ทันตั้งตัว เมื่อเห็นบุคคลในอ้อมกอดของเขา บรรดาแขกเหรื่อก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
“แค่กๆ”
ซูหว่านไอเบาๆ อย่างอ่อนแรงสองสามครั้งเพื่อให้ซูรุ่ยคลายเธอจากอ้อมกอด
ตอนนี้เซวียนหยวนรุ่ยได้พบซูหว่านแล้ว ตั้งแต่นางถูกลดชั้นไปอยู่ที่ตำหนักเย็น พระองค์ก็ไม่เคยไปหานางอีกเลย
ด้วยความมั่นใจผนวกกับความเชื่อมั่นในความคิดของตนอย่างสุดขั้ว เซวียนหยวนรุ่ยจะไม่ยอมให้ใครมาหลอกลวงได้อีก พระองค์เห็นว่าซูหว่านเป็นคนบ้าและอำมหิต
นี่หรือคือโฉมหน้าที่แท้จริงของบุคคลที่เป็นเชื้อพระวงศ์ มีหัวใจหรือเปล่า
“ทูลท่านอ๋องเย่ว์ หม่อมฉันขอแสดงความยินดีด้วย”
ซูหว่านค่อยๆ เดินเอื่อยๆ ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเซวียนหยวนรุ่ย ดวงตานางสงบนิ่งราวกับผิวน้ำทะเลสาบที่ราบเรียบ ไร้ร่องรอยของความประหม่าเขินอายบนใบหน้า
เซวียนหยวนรุ่ยไม่เคยเห็นซูหว่านที่สงบเยือกเย็นเช่นนี้มาก่อน พระองค์ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้ เยี่ยจือหวาผู้แต่งกายด้วยสีแดงตั้งแต่หัวจรดเท้าตื่นกลัวเล็กน้อย นางรีบจับแขนเสื้อของเซวียนหยวนรุ่ยเอาไว้ เบิกตามองซูหว่านและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความห่วงใยอย่างยิ่ง “ท่านพี่ ท่านหายดีแล้วหรือ”
“ข้าไม่ใช่พี่เจ้า”
ซูหว่านจ้องมองเยี่ยจือหวาด้วยแววตาเชือดเฉือน
น้ำเสียงเย็นชาห่างเหินและแววตาอันเชือดเฉือนทำให้เยี่ยจือหวาไปหลบอยู่หลังเซวียนหยวนรุ่ย เซวียนหยวนรุ่ยขมวดคิ้วไม่พอใจ จ้องมองซูหว่านอย่างเย็นชา “ซูหว่าน หัดเจียมตัวเสียบ้าง นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาอาละวาดนะ!”
พระองค์คิดว่านางน่าจะได้คิดบ้างตอนที่อยู่ในตำหนักเย็น ไม่นึกเลย….
“เหอะ”
น้ำเสียงเย้ยหยันเปล่งออกมาโดยพลัน
ซูรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเซวียนหยวนรุ่ยด้วยความอาฆาตมาดร้าย “ท่านอ๋อง กรุณาให้เกียรติกันด้วย! พี่สาวข้าเป็นจวิ้นจู่ที่ทรงเกียรติอุตส่าห์มาอวยพรให้ท่าน ท่านต้อนรับแขกเช่นนี้หรือ”
ซูรุ่ยจงใจเน้นคำว่า “แขก” ทำให้ทุกคนเริ่มงง
“แล้วก็”
ตอนนี้ซูรุ่ยจ้องมองเยี่ยจือหวาด้วยสายตาเย็นชา “พี่สาวข้ามีข้าเป็นน้องชายคนเดียว ไม่ใช่ทุกคนจะเรียกนางว่าพี่สาวได้ พระชายาเย่ว์ไม่สมควรไปนับญาติกับใครต่อใครง่ายๆ นะ!”
“ข้า…..”
เยี่ยจือหวาไม่กล้ามองหน้าซูรุ่ย เมื่อชาติก่อนนางมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้เห็นจุดจบของตระกูลซูและซูรุ่ย แต่ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ความป่าเถื่อนของซูรุ่ยนั้นเป็นที่เลื่องลือ ไม่มีใครอยากยุ่งกับคนเช่นนี้หรอก
“เฮ้อ”
เสียงทอดถอนใจอย่างเศร้าโศกดูเหมือนจะขัดแย้งกับบรรยากาศทั่วทั้งห้องโถง ซูหว่านถอนใจลึกและปรายตามองเซวียนหยวนรุ่ย “หม่อมฉันมาแสดงความยินดีกับท่านอ๋องอย่างจริงใจที่พระองค์ได้พบคนรัก จวนอ๋องแห่งนี้ไม่มีที่ให้หม่อมฉันซุกหัวนอนอีกแล้ว คืนนี้หม่อมฉันมาทูลลาพระองค์!”
ทูลลาหรือ
เซวียนหยวนรุ่ยมองซูหว่านด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้พระองค์จะไม่มีเยื่อใยให้นางอีกแล้ว แต่ก็ไม่นึกว่านางจะจากไปเอง ฉะนั้นในเวลานี้ที่พระองค์ได้ยินซูหว่านกล่าวต่อหน้าแขกเหรื่อทุกคนว่านางต้องการจะไปจึงทำให้พระองค์รู้สึกเสียหน้า ไฟพิโรธปะทุขึ้น พระองค์ตะโกนออกมาด้วยความกริ้ว “โอหังนัก! เจ้าเป็นชายาตามกฎหมายของข้า เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ชายาหรือ แล้วผู้ที่อยู่ข้างกายท่านเล่า”
ซูรุ่ยที่อยู่ไม่ไกลอดรนทนไม่ได้ จ้องหน้าเขาอีกครั้ง ขณะนี้ซูหว่านเริ่มเดือดแล้ว มองหน้าเซวียนหยวนรุ่ยและเยี่ยจือหวาอย่างเสียไม่ได้แต่เด็ดขาด เสียงนางที่เจือความผิดหวังดังก้องห้องโถง “ข้าจะส่งคนมายื่นใบหย่าพรุ่งนี้ เปี่ยวเกอ ข้าไม่อาจ….เป็นก้างขวางคอพวกท่านทั้งสองอีกต่อไป เมื่อไม่มีข้าแล้วท่านพี่คงมีความสุข ท่านและข้า…..ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นเพียงพรหมลิขิตที่ผิวเผินเท่านี้ เสี่ยวหว่านผู้นี้ไม่มีวาสนา….”
ยังไม่ทันพูดจบ ซูหว่านก็หน้าซีดและเป็นลมไป ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง
เซวียนหยวนรุ่ยเป็นคนที่อยู่ใกล้นางที่สุดรีบเข้าไปพยุงนางแต่ไม่ทัน
ซูรุ่ยประคองซูหว่านไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง เขายืนตัวตรง เลิกคิ้วขึ้น ห่อริมฝีปาก ตามองเซวียนหยวนรุ่ยแวบหนึ่งด้วยความโกรธ เขาพูดเสียงเบาที่ได้ยินกันเพียงสองคน “ท่านอ๋อง ต่อไปอย่ามายุ่งกับพี่สาวข้าอีก ไม่งั้นข้าไม่ปล่อยท่านไว้แน่!”
อาจด้วยท่าทีและคำพูดที่ดุดันมุ่งร้ายของซูรุ่ยก็ทำให้เซวียนหยวนรุ่ยคิดได้ ในชั่วพริบตา สีหน้าเซวียนหยวนรุ่ยเปลี่ยนไปจนดูไม่น่ามองเลย…
ไม่มีใครในจวนอ๋องกล้าขัดขวางซูรุ่ย แม้แต่องครักษ์ยังได้แต่มองซูรุ่ยพาซูหว่านและลี่ว์จูออกจากจวนไป
ลี่ว์จูนั่งตัวลีบอยู่ในรถม้าของท่านแม่ทัพ นางไม่กล้าแม้จะหายใจเพราะพยายามจะไม่ให้ใครรู้ว่านางอยู่ที่นี่
ซูรุ่ยมีสีหน้าบึ้งตึงประคองซูหว่านที่หมดสติ เขาบรรจงหวีผมให้นาง “ทำไมท่านถึงดื้อดึงเช่นนี้”
มีความดุดันแฝงอยู่ในน้ำเสียงอันหดหู่
มาแล้ว มาแล้ว! คนป่วยผู้บ้าคลั่งในตำนาน!
ซูหว่านที่ออกโรงมาตลอดรู้สึกว่าซูรุ่ยมีความเคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นางไม่ทำอะไรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปจนจบ
“ข้าเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าผู้ชายนอกตระกูลเราไว้ใจไม่ได้ เซวียนหยวนรุ่ยก็เช่นกัน”
น้ำเสียงซูรุ่ยเริ่มนุ่มนวลขึ้น เขาใช้นิ้วมือม้วนผมยาวของซูหว่าน “พอแล้วท่านพี่ ท่านมีข้าคอยคุ้มครองแล้ว คนพวกนั้น คนพวกนั้นที่มักมากอยากได้พี่ต้องตายทุกคน”
น้องข้า เจ้าคงไม่ได้กินยาก่อนออกจากบ้านใช่หรือไม่
พูดถึงซูรุ่ย ซูหว่านรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาอยู่บ้าง ชีวิตของเด็กคนนี้ไม่ง่ายเลย
ในฐานะบุตรชายคนเดียวของตระกูลซู ซูรุ่ยต้องฝึกวิทยายุทธอย่างหนักตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่แถมยังต้องฝึกวิทยายุทธอย่างหนักทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไป เขากลายเป็นคนเก็บกด จมอยู่กับความเศร้าหมองและทุกข์ใจ
ร่างเดิมของซูหว่านและซูรุ่ยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะนางเสียแม่ไปตั้งแต่เกิดและมีร่างกายอ่อนแอ แต่ซูรุ่ยในวัยเด็ก เป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของจวนแม่ทัพซู ไม่ว่าเขาอยากได้อะไรก็ต้องได้
ในตอนนั้น ซูหว่านเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก นางดูแลน้องชายอย่างดีทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดคุยกับน้องมากนัก ทั้งสองเป็นมิตรกัน ทุกครั้งที่ซูรุ่ยหมดเรี่ยวแรงจนลุกจากเตียงไม่ไหว ซูหว่านจะดูแลเขาด้วยตัวเอง
เมื่อซูรุ่ยค่อยๆ เติบโตขึ้น ก็แข็งแรงกว่าซูหว่านมาก เพราะฝึกวิทยายุทธ์มาทั้งปี ร่างกายเขาจึงแข็งแรงบึกบึน ในตอนนี้เขารู้สึกว่าซูหว่านอ่อนแอมากและเขาต้องเป็นคนคุ้มครองพี่สาว
“ตอนนี้อารุ่ยปกป้องข้าได้แล้ว ข้ามีความสุขเหลือเกิน”
ซูหว่านพูดประโยคนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำให้ซูรุ่ยจำฝังใจ
เขาบอกกับตัวเองว่าต้องแข็งแรงให้มากกว่านี้และแข็งแรงที่สุด เขาจะได้ปกป้องคุ้มครองพี่สาวได้ไปตลอดชีวิต!
คุ้มครองพี่สาว
ซุรุ่ยได้ค้นพบความหมายของชีวิต เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เขาและซูหว่านเติบโตขึ้น จนซูหว่านถึงวัยอันสมควรแต่งงานออกเรือน
อารุ่ยคนเก่ง คนเก่งที่สุดของพี่
ซูรุ่ยคาดหวังเช่นนั้นแต่เขากลับไม่เห็นร่างที่คุ้นเคยตรงประตูบ้าน ในขณะนั้นเขาเริ่มว้าวุ่นใจ เขารู้ว่าพี่สาวมีสุขภาพไม่ดี จึงเป็นห่วงนางทุกครั้งที่เขาต้องจากบ้านไป
แต่แล้ว กลางป่าเหมยอันสวยงาม เขาเห็นนางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเซวียนหยวนรุ่ย ทันใดนั้นเอง ซูรุ่ยรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ท่านพี่ไม่ต้องการข้าแล้ว…..
ท่านพี่ไม่ต้องการข้าแล้ว…..
ท่านพี่ไม่ต้องการให้ข้าคุ้มครองแล้ว ท่านพี่ทิ้งข้าไปแล้ว…..
ในตอนนั้นซูรุ่ยโกรธ ความโกรธของเขาได้เผาไหม้แสงสุดท้ายที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจไปแล้ว
“ซูหว่าน ท่านคิดว่าเซวียนหยวนรุ่ยรักท่านจริงหรือ”
ผู้ชายนอกตระกูลไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น! มีแต่ข้าที่ปกป้องท่านได้อย่างเต็มใจและจริงใจ เหตุใดท่านไม่เข้าใจบ้าง”
จากนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เหินห่างกันไปจนกลายเป็นคนแปลกหน้า
ซูรุ่ยรู้ว่าซูหว่านเริ่มหลบหน้าเขา จนถึงขั้นกลัวเขาเลยก็ว่าได้ กลัวเมื่อเขาเข้ามาใกล้ กลัวเมื่อเขาจ้องมองตลอดเวลาอย่างดุดัน
ถึงแม้พิธีสมรสระหว่างซูหว่านและเซวียนหยวนรุ่ยจะไม่ใช่สมรสพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ กระนั้นพวกเขาก็รักกันดีจนทั้งเป็นที่อิจฉาและชื่นชมของผู้คน
ก่อนวันงานพิธีสมรสระหว่างซูหว่านและเซวียนหยวนรุ่ย ซูรุ่ยเมามาก เขาวิ่งเข้าไปในห้องของซูหว่านพร้อมถือกระบี่ในมือ
“ถ้าท่านกล้าแต่งงานกับเขา ข้าจะฆ่าท่าน!”
คืนนั้น ร่างกายที่อ่อนแอของซูหว่านสามารถทนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้นางจะต้องตาย นางก็ขออยู่กับเซวียนหยวนรุ่ย!
ในตอนจบ ซูรุ่ยไม่อาจทำร้ายพี่สาวได้ เขาเพียงใช้วาจารุนแรงกับนาง หากนางแต่งงานออกเรือนไป นางจะไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านตระกูลซูอีกตลอดชีวิต นอกจาก นอกจาก,….นางจะทิ้งเซวียนหยวนรุ่ย
หลังจากเขาลั่นวาจารุนแรงเหล่านั้นออกไป ซูรุ่ยก็ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้ซูหว่านจะกลับมาอีก อย่างไรก็ตาม พล็อตเรื่องเดิมคือแม้ว่าจะถูกเซวียนหยวนรุ่ยทอดทิ้ง นางก็ยังคงรักเขาจนตาย…..
ความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับซูรุ่ยในพล็อตเรื่องเดิม แต่อยู่ในความทรงจำส่วนลึกของเจ้าของร่างเดิม
เมื่อซูหว่านรับเอาความทรงจำเหล่านี้มา เธอจึงรู้ว่าเธอชนะแน่นอน
เธอถือไพ่เหนือสุด
ไม่หวาดกลัวแม้พระเจ้าจะแท็กทีมกับศัตรู แต่เธอกลัวเพื่อนร่วมทีมห่วยๆ
ซูหว่านรู้ดีกว่าใครว่าซูรุ่ยเป็นเพื่อนร่วมทีมที่เป็นราวกับพระเจ้า
มีคนป่วยทางจิตใกล้ตายอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ ก็ไม่กดดันอะไรที่จะล่อให้เจ้าเศษสวะนั่นมาติดกับ!
ถูกต้องแล้ว! เป็นแบบนี้แหละ!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนป่วยทางจิต ก็จำเป็นต้องกินยานะ!
ดังนั้น ซูหว่านที่กำลัง “หมดสติ” ย่นหน้าผากเมื่อรถม้ากระแทก ขนตากระตุกเล็กน้อย
“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง”
ซูรุ่ยผู้อุ้มนางมาตลอดทั้งวันด้วยสีหน้าบึ้งตึงดุดันก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและกระวนกระวาย เขารู้สึกว่านางใกล้จะฟื้นแล้ว
“ท่านพี่ ฟื้นแล้วหรือ”
ซูหว่านยังไม่ลืมตาแต่พยายามจับหลังมือของซูรุ่ยเอาไว้ “อารุ่ย อารุ่ย ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างสูญสิ้นไปหมดแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านยังมีข้า ท่านยังมีข้านะ”
น้ำเสียงซูรุ่ยแฝงด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้ “ท่านยังมีข้า ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน ปกป้องคุ้มครองท่านตลอดไป”
สำหรับซูรุ่ยแล้ว ความหมายของชีวิตคือการปกป้องคุ้มครองซูหว่าน ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว