ไม่รอให้งานเลี้ยงของตระกูลเซียวเสร็จสิ้นเสียก่อน ซูหว่านก็อาศัยจังหวะที่ไม่มีคนสังเกตแอบผละออกจากงานก่อน สายลมยามค่ำคืนพัดปะทะร่างกายเธอเย็นยะเยือก ซูหว่านถอดรองเท้าส้นสูงทิ้ง ปล่อยให้เท้าทั้งคู่ที่บวมแดงเปลือยเปล่า ค่อยๆ เดินทีละก้าวไปตามทางเดินเล็กๆ นอกคฤหาสน์อย่างใจเย็นออกไปข้างนอก
ความทรงจำเก่าๆ บางอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปตั้งใจนึกถึง มันก็สามารถกระโดดเข้ามาในความคิดได้ทุกเวลาทุกนาที ซูหว่านนึกไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง แต่เธอกลับจำได้เลือนรางว่าตัวเธอเมื่อก่อนชอบเต้นรำมาก
ใช่แล้ว เธอในตอนนั้นชอบเต้นรำเป็นที่สุด ทุกครั้งที่ตระกูลซูมีงานราตรี เธอก็จะเป็นตัวเด่นที่ไม่น้อยหน้าใคร
ตอนนั้นนะ…
ซูหว่านถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางสายลมยามกลางคืน คนเรากลัวที่จะหวนนึกถึงอดีต เพราะหลายเรื่องในอดีตมันไม่น่าหวนคิดถึง
ด้านหลังไม่รู้ว่ามีเสียงรถยนต์ดังขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ซูหว่านหลบไปยังข้างทาง รถเรซซิ่งบ็อกซ์เตอร์สีแดงคันหนึ่งที่วิ่งแล่นภายใต้สีสันยามราตรีค่อยๆ หยุดลงข้างซูหว่าน โอวหยางจิ้งในชุดเดรสสีแดงส่งยิ้มพลางมองอย่างเป็นมิตรมายังซูหว่าน “พี่ซูหว่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ ให้ฉันไปส่งพี่กลับเข้าเมืองไหม”
ต่อหน้ารอยยิ้มของโอวหยางจิ้ง ซูหว่านพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าลังเลใจ “งั้นก็ต้องรบกวนคุณหนูโอวหยางแล้วค่ะ”
เห็นซูหว่านขึ้นรถแล้ว โอวหยางจิ้งก็ยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ เธอติดเครื่อง รถวิ่งแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
คฤหาสน์ตระกูลเซียวอยู่ห่างจากเมืองอยู่ช่วงถนนหนึ่ง แต่ถ้าขับรถละก็ จริงๆ แล้วก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไร
ซูหว่านนั่งบนรถของโอวหยางจิ้ง ในรถเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่ง ซูหว่านรู้สึกเหนื่อยอ่อน พิงกายอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ แล้วหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นซูหว่านหลับ โอวหยางจิ้งก็รีบกลับรถ รถออกตัววิ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ห่างจากตัวเมือง
ถ้าจะพูดถึงในงานเลี้ยงเต้นรำในคืนนี้ เรื่องการเต้นรำด้วยกันของซูหว่านและซูรุ่ยทำให้เซียวจิ่งมั่วหงุดหงิดหึงหวง อย่างนั้นแล้ว สำหรับโอวหยางจิ้งผู้นิ่งเงียบอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดคือความเกลียดชังโดยสิ้นเชิง
ในความทรงจำของโอวหยางจิ้ง ฟังจื่อมู่ไม่เคยสนใจผู้หญิงหน้าไหน ช่วงนี้โอวหยางจิ้งพบว่าฟังจื่อมู่และลั่วชูชูดูเหมือนจะใกล้ชิดกันไปหน่อย แต่ลั่วชูชูเป็นผู้หญิงของเซียวจิ่งมั่ว โอวหยางจิ้งไม่เชื่อว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปไหนได้ แต่ครั้งแรกที่ได้เห็นซูหว่านในห้องโถงงานเลี้ยงคืนนี้ ลึกลงไปในใจโอวหยางจิ้งสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน
ซูหว่านหน้าตาเหมือนลั่วชูชู หนำซ้ำสายตาตอนที่ฟังจื่อมู่คว้าตัวซูหว่านขึ้นเต้นรำปิดบังความจริงไม่อยู่
โอวหยางจิ้งไม่เคยเห็นฟังจื่อมู่ทุ่มเทความสนใจแบบนี้มาก่อน และในคืนนี้ ความทุ่มเทและความสนใจทั้งหมดของเขามอบให้กับผู้หญิงอีกคน
ที่แท้ ไม่ได้มีแค่คนเดียวที่ใช้ลั่วชูชูเป็นตัวแทน
โอวหยางจิ้งไม่รู้ว่าฟังจื่อมู่รู้จักกับกับซูหว่านได้ยังไง บางทีทั้งสองคนอาจจะรู้จักกันที่ต่างประเทศ ไม่แน่ว่าอาจจะเคยอยู่ด้วยกันมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
สรุปคือ โอวหยางจิ้งในตอนนี้เข้าใจทุกอย่าง ตลอดทางในความคิดของเธอเต็มไปด้วยเรื่องราวความรักใคร่ชิงชังอันซับซ้อนระหว่างฟังจื่อมู่แลซูหว่านนับสิบแบบ แต่ละแบบล้วนแต่ทำให้เธอเครียดแค้นจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทางเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าโอวหยางจิ้งบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด โอวหยางจิ้งก็จอดรถไว้ที่เชิงเขารกร้างแห่งหนึ่ง ที่นี่คนทั้งเมืองเซียงเฉิงต่างเล่าลือกันว่าเป็นสุสานที่น่าขนลุก แม้ว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าไหนในเมืองเซียงเฉิงกล้าคิดแตะต้องภูเขารกร้างลูกนี้ เพราะสถานที่แห่งนี้ช่างเฮี้ยนเสียเหลือเกิน
นับแต่ลงรถ โอวหยางจิ้งยังคงตัวสั่นด้วยความกลัว ขนลุกไปทั่วทั้งตัว
เธอขบฟัน แล้วรีบเดินไปข้างรถเพื่อเปิดประตูประคองซูหว่านที่หมดสติไปแล้วลงมา
“ตัวหนักใช่ย่อยเลย”
โอวหยางจิ้งบ่นพึมพำกับตัวเอง เธอปล่อยให้ซูหว่านพิงตัวเธอ ใช้มือทั้งสองออกแรงประคองซูหว่าน ค่อยๆ เดินทีละก้าวลงไปยังเชิงเขา
หึ ดูสิว่าคราวนี้จะทำให้เธอกลัวไหม
ประคองซูหว่านไปยังซากป้ายสุสานเก่าๆ แห่งหนึ่งที่เชิงเขาด้วยความลำบาก โอวหยางจิ้งไหว้ไปยังป้ายหลุมศพนั้นด้วยความระมัดระวัง ในขณะที่เธอกำลังจะหันตัวเดินจากไป ก็รู้สึกปวดที่บริเวณด้านหลังลำคอขึ้นมาทันที ตัวเธออ่อนยวบ แล้วหมดสติล้มลงอยู่หน้าป้ายสุสาน
ด้านหลังโอวหยางจิ้ง ซูหว่านค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น ใช้มือทั้งสองปัดฝุ่นบนกระโปรงอย่างแรง ซูหว่านเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วใช้เท้าเตะไปยังร่างของโอวหยางจิ้ง เห็นเธอหมดสติไปจริงๆ แล้ว ซูหว่านย่อตัวลงเพื่อหยิบกระเป๋าติดตัวใบเล็กๆ ของโอวหยางจิ้งอย่างไม่รีบร้อน กวาดเอาโทรศัพท์มือถือกระเป๋าเงินและกุญแจรถด้านในออกไปจนเกลี้ยง
บนภูเขารกร้าง ไม่กลัวจนขนหัวลุก ก็คงได้เป็นอาหารยุงทั้งคืนแน่
ซูหว่านแกว่งกุญแจรถไปบนนิ้วของเธอ ตอนที่เธอหันตัวกลับก็โบกมือไปยังด้านหลัง “ฉันไปก่อนนะ ฝากทุกท่านช่วยดูแลโอวหยางคนสวยผู้นี้ด้วยแล้วกัน”
ข้างหลังเธอนอกจากโอวหยางจิ้งก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ราวกับเป็นการตอบรับคำพูดของซูหว่าน เชิงเขาที่วังเวงงียบสงัด จู่ๆ ก็มีลมภูเขาหอบหนึ่งพัดขึ้นเบาๆ นำพาความหนาวยะเยือกมาสู่กาย…
รถที่ทิ้งรอยทางไว้อย่างสวยงามบนทางเล็กๆ บนภูเขาเคลื่อนผ่านรอยล้อสีเงินรอยหนึ่ง ซูหว่านขับรถของโอวหยางจิ้งมาตลอดทางเข้าสู่เขตเมือง แล้วหาจุดที่กล้องวงจรปิดเข้าไม่ถึงเพื่อจอดรถ เธอโยนกุญแจรถกระเป๋าเงินลงไปในทางระบายน้ำไม่ไกลจากตรงนั้น ดูไม่มีทีท่าตื่นเต้นแต่น้อย
ผ่านความวุ่นวายมาได้ เมื่อซูหว่านกลับไปถึงคอนโดอันหรูหราในเมืองเซียงเฉิงของตนเวลาก็เลยเที่ยงคืนมานานแล้ว เธอเปิดน้ำร้อนเพื่อลงแช่ให้สบายตัว หลังจากนั้นก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
คืนนี้ ซูหว่านนอนหลับสบาย แต่มีคนจำนวนมากที่นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเธอ…
เซียวจิ่งมั่วช่วงกลางคืนเขาไม่ได้พักที่คฤหาสน์ริมสระ ลั่วชูชูพักในห้องรับรองแขกในคฤหาสน์เพียงลำพังไม่อาจข่มตาหลับตาได้อยู่ทั้งคืน…
โอวหยางจิ้งได้สติตื่นขึ้นมาที่เชิงเขารกร้างกลางดึก ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็เห็นป้ายสุสานผุพังอยู่ต่อหน้า ตาทั้งสองของเธอถึงกับเหลือกลาน แล้วตกใจจนสลบลงไปอีกครั้ง
ชั้นล่างคอนโดของซูหว่าน มีรถมาเซราติสีดำคันหนึ่งจอดอยู่เงียบๆ หน้าต่างรถเปิดลงครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของซูรุ่ย
เขาเอนกายบนที่นั่ง สายตาสอดส่องไปยังชั้นที่ซูหว่านพักอยู่ ไม่ได้หลับลงตาเลยตลอดทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสาง ด้านล่างของคอนโดก็เริ่มมีแผงขายอาหารเช้าและขายหนังสือพิมพ์มาออกัน วันอันแสนยุ่งอีกหนึ่งวันได้เริ่มขึ้นแล้ว
ซูรุ่ยเลื่อนกระจกรถขึ้น แล้วค่อยๆ ขับรถจนหายลับไปที่มุมถนน ราวกับว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวที่นี่…