เมื่อซูหว่านกลับไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ เธอเห็นรถมาเซราติที่เธอคุ้นเคย
ซูรุ่ยที่กำลังพิงอยู่ข้างรถและขาอันเรียวๆ ยืนไขว่ห้างอย่างสบายๆ ครึ่งตัวบนของเขาขี่อยู่บนรถสีดำ เขาเห็นร่างของซูหว่าน จึงหันไปเล็กน้อย แล้วนัยน์ตาสีดำก็มองไปยังใบหน้าของซูหว่าน
ในความลึกของแววตาที่มองไม่เห็นก้นบึ้งเปี่ยมไปด้วยความน่ากลัวและอันตรายซ่อนเร้นอยู่
ในคืนนี้ซูรุ่ยนั้นสวมเสื้อโค้ตสีดำ สีที่ราวกับหมึกเข้มข้น มันทำให้เขาดูเคร่งขรึมและเกรี้ยวกราดมากขึ้น
ในขณะที่ซูรุ่ยจ้องมอง ซูหว่านก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว“รอฉันอยู่เหรอ”
เธอยักคิ้วพร้อมถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“วันนี้คุณไปหาเซียวจิ่งมั่วมาเหรอ”
ซูรุ่ยไม่ได้ตอบคำถามของซูหว่าน แต่เขากลับย้อนถามเธอด้วยใบหน้าที่อึมครึมว่า
“คุณให้คนมาติดตามฉันเหรอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาซูหว่านก็ทำตาแพรวพราว และทำปากเหมือนคราวจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แล้วมองไปยังซูรุ่ยที่อยู่ตรงหน้า “มันน่าทุกข์ใจจริงๆ คุณไม่ใช่ว่าจะ…ตกหลุมรักฉันเข้าแล้วใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้ตกหลุมรักคุณ”
ร่างของซูรุ่ยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พออยู่ตรงหน้าของซูหว่านเขาก้มลงมอง และจ้องมองไปนัยน์ตาของซูหว่าน “ฉันก็แค่…อยาก…จะ…ขึ้น…คุณ”
ตั้งแต่เธอจากไป ทั้งโลกมืดมิดไปหมด เขาเพิ่งเดินออกจากความมืดมิดนั้นได้ ตอนแรกคิดว่าจิตใจตัวเองจะเย็นชาไปแล้ว
จนกระทั่งถูกสวีเช่อเรียกรวมตัวที่ศูนย์ซ่อมแซมหลัก หลังจากรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้ว วินาทีนั้นซูรุ่ยก็ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่หายไปนาน
“เหอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหว่านยิ้มแบบเฉยเมย “คุณมีความฝันมีจุดมุ่งหมายนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณต้องรู้ว่าความฝันกับความเป็นจริงมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว”
ซูรุ่ยไม่โกรธเมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยเช่นนี้ของซูหว่าน เขายังคงรักษาท่าทางเช่นเดิมไว้ ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไว้ที่เธอ
จากที่ผ่านอะไรหลายต่อหลายอย่างนับมากมาย ปัจจุบันนี้ซูรุ่ยไม่ใช่แม่คนที่มีรังสีอาฆาตเกรี้ยวโกรธเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ภายนอกของเขาดูเป็นผู้ใหญ่และสง่างามมากขึ้น และจิตใจของเขาตอนนี้ก็แข็งแกร่งและเย็นชามากยิ่งขึ้น
ถ้าหากว่าในโลกนี้ซูหว่านเป็นปมรักแรกของเซียวจิ่งมั่วละก็
ถ้างั้นในโลกของซูรุ่ย ซูหว่านที่จากไปอย่างไม่แยแส ก็จะเป็นปมตายจากก้นบึ้งหัวใจของเขาเช่นกัน
ตั้งแต่ที่พบเธอ เขาก็ได้ลิขิตไว้แล้วและยากที่จะหนีพ้นแล้ว
…
ถูกซูรุ่ยจ้องมอง ทำให้ซูหว่านรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว “จะขึ้นไปนั่งพักสักหน่อยไหม บังเอิญว่าฉันมีเรื่องที่จะคุยกับคุณพอดี”
เมื่อเห็นว่าซูหว่านเป็นฝ่ายเชื้อเชิญซูรุ่ยก็รีบพยักหน้าทันที
ทั้งสองคนเดินตามเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ติดๆ กัน อะพาร์ตเมนต์ของซูหว่านเป็นห้องพักสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่น ก่อนที่ย้ายเข้าก็เป็นห้องที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องซูหว่านแทบไม่ได้แตะต้องอะไรเลย เพราะว่าเธอไม่ได้อยากอยู่ในโลกนี้นานสักเท่าใด
“ฉันไปเปลี่ยนผ้าก่อน ส่วนคุณก็ตามสบาย”
เปลี่ยนใส่รองเท้าแตะ แล้วซูหว่านยังพูดทิ้งท้ายไว้ให้กับซูรุ่ยแล้วเธอก็หันกลับไปที่ห้องของเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
แม้ว่าชายคนหนึ่งยังพูดจาห้วนๆ ว่าอยากจะขึ้นเธอ แต่ ‘ขึ้น’ และ ‘บังคับ’ มันช่างเป็นวิธีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสำหรับซูรุ่ย ซูหว่านยังไว้เนื้อเชื่อใจเขามาก เธอไม่ต้องกังวลว่าเขาจะบังคับตัวเธอให้ทำเรื่องอะไร
เมื่อซูหว่านเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อบ้านแล้วเดินออกมา ซูรุ่ยก็ได้ถอดเสื้อโค้ตของเขาออกแล้วพับแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็ไปในห้องครัว
“คุณจะทำอะไร”
ซูหว่านมองไปที่ซูรุ่ยที่ยุ่งอยู่ในห้องครัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฉันหิวแล้ว อยากทำอะไรกิน”
ซูรุ่ยทำเหมือนกับว่าที่นี่เป็นที่ของเขา เขาพลางตอบซูหว่านและพลางเปิดเตาแก๊สไปพลาง
ห้องครัวของซูหว่านนั้นสะอาดมาก เพราะโดยปกติแล้วเธอไม่อยู่บ้านทำอาหารเลย ดังนั้นภาชนะเครื่องครัวในบ้านจึงดูใหม่หมด นอกจากเบียร์และเครื่องดื่มที่อยู่ในตู้เย็นแล้วมีเพียงแต่บะหมี่แห้งและไข่ไม่กี่ฟอง ของพวกนี้เธอซื้อมันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วงวันหยุดสัปดาห์ที่แล้ว
“คุณจะกินอีกไหม”
ซูรุ่ยตีไข่ไปพลางและเดินมุ่งไปที่ห้องรับแขก
“ฉันกินอิ่มแล้วไม่ต้องทำเผื่อฉัน”
ซูหว่านนั่งลงบนโซฟาและเปิดทีวีในช่วงเวลานี้เป็นเวลาละครเรื่องแรกที่ออกอากาศในช่วงกลางคืน
เมื่อได้ยินคำตอบของซูหว่าน ซูรุ่ยที่อยู่ในครัวก็ไม่ได้ตอบอะไรอีกและซูหว่านก็นั่งสบายๆ อยู่บนโซฟาดูละครทีวี เมื่อซูรุ่ยออกมาจากห้องครัวพร้อมกับบะหมี่ พระเอกในละครทีวีที่พยายามอธิบายให้นางเอกเข้าใจถึงความเข้าใจผิดบางอย่าง…
“คุณฟังฉันอธิบายก่อน ฟังฉันอธิบายก่อนสิ! เรื่องราวมันไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิด!”
“ฉันไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง!…”
เห็นซูหว่านดูมันอย่างเพลิดเพลิน ซูรุ่ยเลยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ผู้ชายคนนั้นโง่รึเปล่า”
“ฮะ!”
ซูหว่านหันไปมองซูรุ่ยที่นั่งลงข้างเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และพูดว่า“คุณพูดอะไร”
“ในทีวีตอนนี้คือชิงเย่ว์เห็นกับตาว่าเจิ้งหงกำลังกอดอยู่กับผู้หญิงอีกคนด้วยกัน เธอเลยหนีออกจากบ้านด้วยความโกรธ ความจริงแล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวที่หายไปของเจิ้งหง เมื่อกี้เขาที่พูดจาไร้สาระบอกไปว่าเธอเป็นน้องสาวของฉันจะยังดีกว่า แค่ห้าคำนี้ก็แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“เขาจะพูดตรงๆ แล้ว ละครในทีวีจะแสดงอะไรกันละ จะให้พระรองออกโรงยังไงกัน จะสื่ออะไรให้กับผู้ชมกันแน่”
ซูหว่านทนไม่ไหวเลยตอบกลับซูรุ่ยไป เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยกลับขมวดคิ้วอีกครั้ง และพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “หรือว่าถ้าความรักไม่ได้ผ่านการเข้าใจผิดกัน มันไม่ใช่รักแท้เหรอ ผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกชายอื่นแย่งก็จะไม่ใช่เป็นผู้หญิงที่ดีนั้นเหรอ”
เป็นครั้งแรกที่ซูหว่านได้เห็นซูรุ่ยดูจริงจังมากขนาดนี้
จริง ๆ แล้วมันก็เป็นแค่ละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่เหรอ มันต้องขนาดนี้ด้วยเหรอ
จู่ๆ ซูหว่านก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ
“ตกลงว่าคุณยังจะกินบะหมี่อีกไหม”
เธอกลั้นหัวเราะ ซูหว่านมองไปยังชามบะหมี่แห้งที่อยู่ตรงหน้า ซูรุ่ยเห็นเศษเล็กๆ ที่กำลังจะอืดเป็นก้อนเดียวกันอยู่แล้ว ซูหว่านยักคิ้วและมองไปทางซูรุ่ย
“นี่คือบะหมี่ที่คุณทำเหรอ”
“อือ”
ยากที่เห็นซูรุ่ยแสดงสีหน้าความลำบากใจเช่นนี้ “ใช้เวลานานไปหน่อยแต่ว่า…ไข่ดาวสุกแล้ว”พูดไปพูดมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบตะเกียบแล้วหนีบไข่ดาวในชามพร้อมยั่วมันต่อหน้าซูหว่าน
“นี่กำลังอวดอะไรอยู่”
เดิมทีที่เห็นร่างของเขากำลังยุ่งอยู่ในครัวซูหว่านก็ยังคงแปลกใจอยู่ ว่าแล้วว่าเธอไม่ควรจะคาดหวังซูรุ่ยมากเกินไป
ผู้ชายคนนี้กลายเป็นพ่อบ้านที่ดีได้ยังไงกัน
มือของเขาที่เอาไว้ถือมีดถือปืน จะมาเป็นมือที่ตอกไข่หั่นมันฝรั่งไม่ได้อย่างแน่นอน
เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องขอจากเขา เธอจึงถอนหายใจแล้วกดตะเกียบลงบังคับให้เขาวางชามก๋วยเตี๋ยวลง
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนที่มาเป็นแขก แต่ดันต้องมากินไข่ดาวแบบนี้นะเหรอ คุณจะกินใช่ไหม ให้ฉันทำให้เถอะ”
ซูหว่านพูดพลางแล้วก็เดินเข้าในห้องครัว ทำให้ซูรุ่ยปากที่เม้มอยู่ก็แอบยิ้มขึ้นมาแต่ว่าเขายังไม่ทันยิ้ม ก็เห็นซูหว่านเดินไปที่เคาร์เตอร์ห้องครัว และเปิดนามบัตรแล้วโทรออกด้วยความคล่องแคล่ว
“ใช่ร้านอาหารตระกูลจางไหมคะ ฉันจะสั่งอาหาร!”
“สั่งอาหาร!”
“สั่งอาหาร!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูรุ่ยหายไปในพริบตา
หรือว่าเธอควรไปห้องครัวแล้วทำอาหารเอง
ในนิยายก็เขียนกันไว้แบบนี้ทั้งนั้นแหละ!
สรุปว่าช่วงนี้นักรบอย่างคุณซูจะดูละครนิยายดราม่าน้ำเน่าล้างสมองไปกี่เรื่องกันแน่
“คุณโง่ขนาดนี้ ซูหว่านของคุณจะรู้บ้างไหม”