ตอนที่ 18 ตัวแทนคนรัก (18)
ตอนที่ได้รับสายจากสำนักงานใหญ่ที่ยุโรป ซูหว่านรถติดอยู่บนถนนที่กำลังขับไปที่บริษัท
“เมย์เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คุณต้องให้คำตอบที่เหมาะสมกับสื่อและบริษัท ไม่อย่างนั้น คณะกรรมการจะสงสัยกับความสามารถในการทำงานของคุณเป็นอย่างมาก เมย์ที่ผ่านมา ในสายตาของผมคุณเป็นคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างชัดเจน แต่ครั้งนี้ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ละ”
ในสายยังคงมีเสียงที่บ่นไม่หยุดของเคนดังมาอย่างต่อเนื่อง ซูหว่านฟังไปได้สักพักก็ดึงสติของตัวเองกลับคืนมา ใช้โอกาสตอนที่รถยังติดอยู่หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาค้นหาข่าวเกี่ยวกับเซียงเฉิง แล้วก็เป็นไปดั่งคาด ในขณะที่มีข่าว EVFA จะยกเลิกสัญญากับทางเฮ่าเย่ว์ ก็ยังมีภาพข่าวของเธอกับซูรุ่ยที่ยืนกอดกันอยู่หน้าโรงแรมขึ้นเทรนการค้นหาอันดับต้นๆ ด้วย
“เคนมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันขอเวลาสามวัน ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ถ้าฉันจัดการไม่เรียบร้อย ฉันจะเป็นฝ่ายลาออกเอง”
ได้ยินคำพูดหนักแน่นของซูหว่าน ทำให้เคนที่อยู่ในสายอึ้งไปสักพัก “เมย์ เห็นแก่ที่เรารู้จักกันมานาน ผมเชื่อคุณนะ คุณก็ไม่ต้องร้อนรนไป ช่วงนี้ผมจะคอยช่วยพูดให้ทางคณะกรรมการเข้าใจเอง คุณก็รีบจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยละกัน”
“อืม ได้ ฉันรู้แล้วว่าต้องจัดการยังไง”
หลังจากที่วางสายทางไกลจากสำนักงานใหญ่ไปแล้ว ซูหว่านก็นวดคลึงหว่างคิ้วอย่างเคร่งเครียด
และก็จริงดังคาด ซูรุ่ยไม่ใช่คนที่นั่งนิ่งๆ ให้เรื่องมันเงียบลงไปเอง ช่างเป็นคนที่ทำให้คนอื่นปวดหัวได้ตลอดเลยจริงๆ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ซูหว่านหันไปมองเห็นว่าเป็นสายของสวี่เจี๋ย พอกดรับสายก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของสวี่เจี๋ยดังลอดมา ปกติผู้ชายคนที่คอยวางมาดสงบนิ่งตบตาผู้คนมาตลอด วันนี้กลับมีน้ำเสียงร้อนรน “ผู้จัดการซูครับ คุณเห็นข่าวแล้วหรือยัง”
“ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว”
น้ำเสียงของซูหว่านยังคงเรียบเรื่อยดังปกติ “สถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับเรา สวี่เจี๋ยคุณไปแจ้งฝ่ายพีอาร์ให้เตรียมรับมือกับวิกฤตภาพลักษณ์ของบริษัท เรื่องอื่นคุณไม่ต้องยุ่งอะไร รอฉันถึงบริษัทก่อนเดียวฉันไปจัดการเอง!”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ยังไม่ทันได้วางสายจากสวี่เจี๋ย ก็มีสายใหม่แทรกเข้ามา ซูหว่านเลยจัดการปิดโทรศัพท์มือถือไปเลย ใช้โอกาสที่รถค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ตั้งใจขับรถต่อไป
ตอนเช้าเพิ่งจะเริ่มงาน ทั้งบริษัทก็ยุ่งวุ่นวายกันไปหมด ซูหว่านขับรถมาถึงหน้าบริษัทก็เห็นนักข่าวสายธุรกิจที่คุ้นเคยยืนรอกันอยู่หน้าบริษัทแล้ว ซูหว่านจึงตัดสินใจขับรถวนไปเข้าทางด้านหลังของตัวอาคาร
พอเห็นซูหว่านปรากฏตัวขึ้น พนักงานทุกระดับชั้นในบริษัทก็รุมกันเข้ามา “มารุมทำอะไรกัน ไม่มีงานทำกันหรือไง แยกย้ายกันไปทำงานกันได้แล้ว เก้าโมงตรงมาประชุมกันที่ห้องประชุมด้วย”
หลังจากที่ทิ้งคำพูดเย็นชาไว้แล้ว ซูหว่านก็โดยสารลิฟต์ขึ้นมาที่ห้องทำงานของตนเอง สวี่เจี๋ยมายืนรอที่หน้าห้องทำงานอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นร่างของซูหว่าน ก็รีบยื่นเอกสารจากฝ่ายพีอาร์มาตรงหน้า แต่ซูหว่านแค่ใช้ปรายตามองสองสามครั้ง แล้วก็ยัดเอกสารคืนให้สวี่เจี๋ย “ก็จัดการตามนี้ไปก่อนละกัน นายช่วยยกเลิกนัดช่วงเช้าทั้งหมดให้ฉันที แล้วก็ช่วยนัดเถ้าแก่เซียวของเฮ่าเย่ว์ให้ฉันหน่อย”
เถ้าแก่เซียวเหรอครับ
สวี่เจี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย เพราะเถ้าแก่เซียวไม่ได้มาดูแลเรื่องงานของบริษัทนานมากแล้ว ช่วงนี้เรื่องเล็กใหญ่ของเครือบริษัทเฮ่าเย่ว์ก็มีแค่เซียวจิ่งมั่วที่เป็นคนดูแลจัดการอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจ แต่สวี่เจี๋ยก็พยักหน้ารับอย่างตั้งใจและไปจัดการงานตามที่ซูหว่านมอบหมายให้อย่างรวดเร็ว
ช่วงเช้าวันนี้ซูหว่านงานยุ่งเป็นพิเศษ หลังจากที่จัดการกับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวกับผู้จัดการแต่ละแผนกในบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายยังต้องมาคอยรับสายจากลูกค้าที่โทรเข้ามาจนสายแทบไหม้อีก
จนกระทั่งถึงเวลาที่นัดหมายกับเถ้าแก่เซียวที่ร้านน้ำชา สีหน้าของซูหว่านก็ยังคงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้ากระจายอยู่ทั่วใบหน้า
“เหนื่อยแล้วสิ ลองชิมชาต้าหงเผานี้ดู”
เถ้าแก่เซียวปีนี้อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว แต่ใบหน้ายังคงอ่อนกว่าวัย สีหน้าแดงระเรื่อสุขภาพดี ตอนนี้ท่านแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมแบบสมัยราชวงศ์ถังสีดำทั้งชุด นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พะยูงหอม ดูสุขภาพดีและแข็งแรงมาก
ซูหว่านหันไปยิ้มให้เถ้าแก่เซียว แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม กลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งช่องปาก เป็นชาดีที่หาได้ยากจริงๆ
“ถึงแม้ว่าหนูจะไม่ค่อยรู้เรื่องศาสตร์ของชาเท่าไร แต่รู้สึกได้เลยค่ะว่าเป็นชาดี”
ซูหว่านวางถ้วยชาลง แล้วส่งยิ้มให้เถ้าแก่เซียวอีกครั้งหนึ่ง เถ้าแก่มองดูซูหว่านอย่างแปลกใจ เมื่อกี้ตอนที่จิบชาหรือแม้กระทั่งท่วงท่าในการหยิบจับถ้วยชา แลดูเหมือนคนที่เคยฝึกฝนมาเป็นอย่างดีถูกต้องตามระเบียบทุกอย่าง ตอนแรกเถ้าแก่เซียวคิดว่าซูหว่านจะตั้งใจวางท่าแกล้งทำต่อหน้าเขา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพูดกับตนเองโดยตรงว่าตัวเองไม่รู้เรื่องศาสตร์ของชาแบบนี้ ยัยเด็กคนนี้ ไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี พัฒนาขึ้นเยอะเลยนี่
คิดได้ดังนั้น สายตาที่เถ้าแก่เซียวมองดูซูหว่านก็อ่อนโยนขึ้น “ยัยหนูซู วันนี้ที่นัดฉันออกมาเพราะข่าวของเช้านี้ใช่ไหม ร่างแก่ๆ ของฉันไม่ได้เข้าไปดูงานบริษัทนานมากแล้ว มีเรื่องอะไรก็ไปคุยกับอามั่วนู่นสิ”
เพราะว่าข่าว EVFA จะยกเลิกสัญญากับทางเฮ่าเย่ว์ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก เช้านี้พอตลาดหุ้นเปิด หุ้นของเฮ่าเย่ว์ก็ตกลงไปมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเริ่มมีท่าทีบวกขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ว่าจะไม่มีคนฉวยโอกาสนี้ช้อนซื้อหุ้นของเฮ่าเย่ว์
เบื้องหลังคนบงการเรื่องนี้ เถ้าแก่เซียวให้คนตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ก็พบว่าเป็นฝีมือของเด็กเมื่อวานซืนตระกูลฟังคนนั้น
เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเซียวจิ่งมั่วกับซูหว่านและฟังจื่อมู่ เถ้าแก่เซียวไม่ได้เป็นกังวลแต่อย่างใด แต่อยู่ๆ ซูหว่านก็อยากจะนัดพบตนเองนี่สิ ที่ทำให้เถ้าแก่เซียวรู้สึกแปลกใจ ด้วยความอยากรู้ จึงไม่ลังเลใจเลยที่จะตอบรับนัดในครั้งนี้
“เถ้าแก่เซียวคะ ที่หนูนัดท่านออกมาพบในวันนี้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องส่วนตัวนิดหน่อยค่ะ”
สีหน้าของซูหว่านเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดในทันที “เรื่องเมื่อแปดปีที่แล้ว หนูทราบค่ะ ว่าเป็นฝีมือของท่าน”
“อืม”
เถ้าแก่เซียวหรี่ตามองเล็กน้อย สายตาที่ดูพร่ามัวมีประกายตาเล็กๆ พาดผ่านอย่างรวดเร็ว เขานั่งมองซูหว่านอย่างนิ่งเงียบ เห็นว่าซูหว่านไม่พูดต่อ จึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะมองมาทางซูหว่าน
“ในเมื่อเธอรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของเธอนั้นหรือ”
ตั้งใจร่วมมือกับฟังจื่อมู่ ตั้งใจปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับเฮ่าเย่ว์
“ไม่ใช่ค่ะ”
ซูหว่านยกยิ้มฝืดๆ “ถ้าหากว่าหนูอยากแก้แค้น หลังกลับมาจากต่างประเทศหนูก็แค่รีบวิ่งไปหาเซียวจิ่งมั่ว แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังแล้วค่ะ ถ้าหากเขารู้ความจริงทั้งหมด ท่านคิดว่าเขาจะทำยังไงคะ”
ซูหว่านรู้จักนิสัยของเซียวจิ่งมั่วดี และเถ้าแก่เซียวเองก็ยิ่งกว่ารู้จักนิสัยของหลานชายตัวเองเสียอีก
ในปีนั้นตัวเองพยายามแยกพ่อแม่ของเซียวจิ่งมั่วออกจากกัน ทำให้เขาต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไป ถ้าหากว่าเซียวจิ่งมั่วรู้ความจริงว่า สาเหตุที่ทำให้ซูหว่านต้องจากเขาไป เป็นฝีมือของปู่เขาด้วยอีกครั้ง เถ้าแก่เซียวแน่ใจได้เลย ว่าตนเองกับหลานชายที่ตามหากลับมาอย่างยากลำบากต้องแตกหักกันอย่างแน่นอน
“เธอต้องการอะไรกันแน่”
ณ เวลานี้ สายตาของเถ้าแก่เซียวที่มองมายังซูหว่าน เปลี่ยนเป็นสายตาคมดุไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่คิดปิดบัง เถ้าแก่เซียวมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาด แล้วก็เกิดมาในตระกูลของคนทำธุรกิจด้วย หลานสะใภ้แบบนี้ เถ้าแก่เซียวไม่ชอบ
เขายอมให้หลานชายตัวเองคบกับลั่วชูชูที่ดูไม่ค่อยฉลาด แต่เขาจะไม่ยอมให้สมบัติของตระกูลเซียวไปตกอยู่ในมือของคนนอกเด็ดขาด
“ดูเหมือนว่าเถ้าแก่เซียวจะเกลียดหนูมากเลยนะคะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเถ้าแก่เซียวที่มองมา ซูหว่านรู้สึกอดขำในใจไม่ได้ แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ นิ้วมือเรียวยาวถูวนไปตามขอบถ้วยชาจื่อซาเบาๆ “อันที่จริงเซียวจิ่งมั่วเขาก็รับรู้ความจริงส่วนหนึ่ง ช่วงนี้เพื่อนที่ต่างประเทศของหนูโทรมาบอกว่ามีคนสืบหาเรื่องราวของหนูอยู่ หนูสงสัยว่าคนพวกนั้นจะเป็นคนที่เขาส่งไป”
ในขณะที่พูดไป ซูหว่านก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เถ้าแก่เซียวด้วยดวงตาใสซื่อ “กลับมาครั้งนี้ ได้เห็นว่าเซียวจิ่งมั่วมีความสุข หนูรู้สึกดีใจแทนเขาจริงๆ ค่ะ เรื่องที่ผ่านมา ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว หนูไม่อยากทำให้เขาเดือดร้อนอีก วันนี้ที่หนูนัดท่านออกมาพบ ก็แค่อยากที่จะเรียนแจ้งท่านไว้ก่อน ถ้าหากว่าเรื่องราวในตอนนั้นถูกเปิดเผยออกมา ก็อยากให้ท่านเตรียมการรับมือไว้ให้พร้อม ส่วนตัวหนูเอง…หนูจะคุยกับจิ่งมั่วให้ชัดเจนเองค่ะ การยกเลิกสัญญาในครั้งนี้ อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเราสองคนแล้วค่ะ”
อาจจะเป็นเพราะความแน่วแน่และตั้งใจของซูหว่าน สายตาของเธอไม่มีอย่างอื่นแอบแฝงอยู่เลย หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเธอ ถึงกับทำให้หัวใจของเถ้าแก่เซียวสั่นไหว
ที่จริงแล้วช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ เขาก็เคยให้คนไปตรวจสอบคนตระกูลซู ซูหว่านอยู่ที่เมืองนอกก็มีคนจีบอยู่ตลอด แต่แปดปีมานี้ เธอไม่เคยเปิดรับใครเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เธอมีใจรักมั่นคงต่อเซียวจิ่งมั่วเสมอมา
อยู่ๆ เถ้าแก่เซียวก็รู้สึกว่าตัวเองชราแล้วจริงๆ เรื่องราวความรักของหนุ่มๆ สาวๆ เขาเริ่มไม่เข้าใจแล้วจริงๆ
“เถ้าแก่คะ หนูขอตัวก่อนนะคะ ที่บริษัทยังมีงานที่ต้องเคลียร์อีกเยอะเลยค่ะ”
ในขณะที่พูด ซูหว่านก็ได้เตรียมลุกขึ้นยืน เตรียมตัวกล่าวลา
“เธอไม่โกรธเกลียดฉันหรือ”
ตอนที่ซูหว่านกำลังลุกขึ้นยืน เถ้าแก่เซียวก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาในทันใด ร่างของซูหว่านที่กำลังจะเดินจากไปชะงักลงเล็กน้อย แล้วหันกลับมามองทางเถ้าแก่เซียวพร้อมกล่าวยิ้มๆ “ท่านเป็นคุณปู่ของจิ่งมั่ว หนูจะโกรธเกลียดท่านได้อย่างไรละคะ ที่สำคัญ…สิ่งที่ท่านทำทั้งหมด ก็เพราะหวังดีต่อเขาทั้งนั้น หนูเชื่อค่ะ ว่าต่อให้ในอนาคตเขาจะรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็จะเข้าใจท่านค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ เสมือนเป็นคำพูดแทนใจของเถ้าแก่เซียวทั้งหมด เขาถอนหายใจเบาๆ ใช้สายตาที่อ่อนโยนมองไปที่ซูหว่าน “ยัยหนูซู หนูยังชอบอามั่วอยู่ใช่ไหม”
“ไม่ใช่แค่ชอบค่ะ”
ซูหว่านค่อยๆ หมุนตัวหันหลังให้กับเถ้าแก่เซียว แล้วตอบด้วยน้ำเสียงสับสนเล็กน้อยว่า “เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่หนูรักในชีวิตนี้ค่ะ”
พูดจบ ซูหว่านก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งร่างของซูหว่านเดินหายลับไปทางกรอบประตูของร้านน้ำชา เถ้าแก่เซียวจึงได้ถอนหายใจนั่งพิงไปกับพนักเก้าอี้ แล้วพูดด้วยเสียงหนักขรึม “แกได้ยินหมดแล้วใช่ไหม”
ข้างหลังฉากกั้นไม้ชิงชันด้านหลัง มีชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวค่อยๆ เดินออกมา และชายหนุ่มคนนี้ก็คือเซียวจิ่งมั่วนั่นเอง
ที่จริงเรื่องราวความจริงเมื่อแปดปีก่อน เขารู้ความจริงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว วันนี้ที่บริษัทเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เขายังไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจอะไร แต่กลับรีบกลับไปบ้านใหญ่เพื่อไปคุยกับคุณปู่ให้รู้เรื่อง แต่คาดไม่ถึงว่าคุณปู่จะได้รับแจ้งนัดหมายจากซูหว่านเสียก่อน
เป็นเถ้าแก่เซียวเองที่ลากเซียวจิ่งมั่วมาด้วยกัน เพราะอยากให้เซียวจิ่งมั่วได้มาเห็น “ธาตุแท้” ของซูหว่าน แต่กลับกลายเป็นว่าได้เห็นความรักที่มั่นคงลึกซึ้งแทน
นี่คงจะเป็นบุพเพสันนิวาส อันที่จริงแล้วซูหว่านแค่อยากจะมาสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับเถ้าแก่เซียวเท่านั้นแต่ใครจะไปรู้ละว่าจะได้ผลเกินคาดขนาดนี้ นี่สินะที่เขาบอกกันว่าชีวิตเป็นดั่งละคร อาศัยฝีมือการแสดงกันทั้งนั้น