อาจจะเป็นเพราะการปรากฏตัวของกลุ่มหยวนฮุยทำให้เยี่ยนอวี่รู้สึกได้ถึงภัยอันตราย สุดท้ายเขาจึงติดตามซูหว่านไม่ให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว สำหรับซูหว่านแล้ว แม้จะมีเจ้าหางน้อยคอยติดตามอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธเขา
พื้นที่ที่ถูกยึดครองในเมือง S เต็มไปด้วยซอมบี้ระดับล่างสุด สำหรับเยี่ยนอวี่ในตอนนี้ซอมบี้พวกนี้ไม่สามารถทำอันตรายอะไรเขาได้ แต่ผู้ที่มีอิทธิพลต่อเขาจริงๆ คือกลุ่มคนที่มีพลังพิเศษระดับสูงที่แข็งแกร่งมากๆ เหล่านั้น…
เมืองที่ถูกทำลายล้าง มีซากปรักหักพังเต็มไปหมด
เมื่อซูรุ่ยเหยียบลงบนพื้นดินของเมือง S อีกครั้ง ยากนักที่จะนำภาพที่มีแต่ซอมบี้เดินกันเต็มไปหมดมาเปรียบเทียบกับเมืองที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในอดีตมาทับซ้อนไว้ด้วยกัน
เขาเดินเรื่อยเอื่อยอยู่บนท้องถนน ซอมบี้ที่อยู่รายล้อมตัวเขาสามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายจากตัวของซูรุ่ย ทุกที่ที่ซูรุ่ยเดินผ่านไป ซอมบี้ทั้งหลายต่างก็พร้อมใจกันถอยห่างจากเขาเกินสามก้าว…
อากาศในเขตพื้นที่ที่ถูกยึดครองเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า ซูรุ่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน ล้วงหยิบเครื่องมือเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก บนเครื่องมือเล็กๆ นั้นมีแสงสีฟ้ากะพริบอยู่ไม่ขาด เหมือนว่ากำลังจะนำทางเขาอยู่…
“มีผู้มีพลังวิเศษที่แข็งแกร่งมากปรากฏตัวขึ้น!”
เยี่ยนอวี่ที่สามารถเข้าออกดงซอมบี้ได้อย่างอิสระในแถบชานเมืองทางตะวันตกของเขตพื้นที่ที่ถูกยึดครอง วิ่งมายืนหอบอยู่ตรงหน้าของซูหว่าน “พี่สาวครับ พวกเราต้องหลบซ่อนตัวไหมครับ”
‘พี่สาว’ เป็นคำเรียกที่ซูหว่านให้เยี่ยนอวี่ใช้เรียกเธอ
การที่เยี่ยนอวี่ตามซูหว่านมาในพื้นที่แถบชานเมืองที่ถูกยึดครองไปด้วยซอมบี้เต็มไปหมดแบบนี้ เพราะว่าซูหว่านในขณะนี้เป็นซอมบี้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในหมู่ซอมบี้แถบนี้ จึงทำให้ซอมบี้ระดับล่างไม่กล้าที่จะแย่งเหยื่อของซูหว่านอย่าง ‘เยี่ยนอวี่’ จากผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
เยี่ยนอวี่ก็เลยมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าอาหารการกินในเขตพื้นที่ยึดครองจะมีน้อย แต่ให้เขาได้กินดื่มเพียงคนเดียว ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร แล้วในช่วงนี้ เยี่ยนอวี่ก็เริ่มฝึกการใช้พลังวิญญาณของตัวเองภายใต้การแนะนำซูหว่าน ทำให้เขาสามารถสื่อสารกับเหล่าซอมบี้รอบข้างได้มากขึ้น
วันนี้ ในขณะที่เยี่ยนอวี่กำลังฝึกการใช้พลังทางจิตของตนอยู่นั้น ก็เริ่มสังเกตได้ถึงอาการกระสับกระส่ายหวาดกลัวของเหล่าซอมบี้ทั้งหลาย
อากาศของเขตพื้นที่ยึดครอง วันนี้รู้สึกว่าจะมีความอึมครึมและกดดันมากเป็นพิเศษ
เป็นเพราะว่ามีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นในบริเวณนี้ และคนคนนั้นมีความแข็งแกร่งมากๆ และอันตรายมากด้วยเช่นกัน!
อันที่จริงแล้ว ไม่เพียงแต่เยี่ยนอวี่ ซูหว่านเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอากาศในวันนี้
เพียงแต่ว่า…
ถ้าจะหลบ จะหลบไปที่ไหนได้ล่ะ
ตอนนี้เธอกำลังพยายามเลื่อนระดับจากซอมบี้ระดับสองขึ้นเป็นระดับสาม และวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุด
หรือว่าครั้งนี้ตัวเองจะถึงคราวซวยเข้าแล้วจริงๆ
เวลานี้ จู่ๆ ซอมบี้ทั้งเขตตะวันออกต่างส่งเสียงด้วยความกระสับกระส่ายกันเต็มไปหมด เสียงพวกนั้นทำให้แสบแก้วหูอย่างบ้าคลั่งและรุนแรง
ร่างกายของซูหว่านแข็งทื่อ ในอากาศมีพลังกดดันที่ทำให้ใจของเธอรู้สึกกระวนกระวายค่อยๆ ลอยมาทางเธอ
แรงกดดันนี้เหมือนว่าจะเป็นแรงกดดันที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดสำหรับซอมบี้ กลิ่นอายของคนคนนั้นมีความบ้าคลั่งและเย็นชาดุจน้ำแข็ง
คือใครกัน
หรือว่าจะเป็น…
ซูหว่านนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาในทันที…หลิงจิ่ง!
บิดาแห่งซอมบี้ ดอกเตอร์แอล
ถ้าหากว่าในโลกนี้จะมีใครสักคนที่ไม่ต้องใช้พลังพิเศษอะไรก็สามารถควบคุมเหล่าซอมบี้ได้ขนาดนี้ คนคนนั้นก็ต้องเป็นดอกเตอร์แอลเพียงคนเดียวแล้วล่ะ
เขา มาได้ยังไง
ในขณะที่ซูหว่านกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ก็มีร่างสูงโปรงค่อยๆ เดินผ่านเหล่าซอมบี้มาทีละชั้น!
ท่วงท่าการเดินของเขานั้นดูสบายๆ และมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ท่าทางไม่แยแส เป็นตัวของตัวเอง อยู่ในชุดสูทสีดำภูมิฐานสะอาดเรียบร้อยและสวมถุงมือสีขาวบริสุทธิ์
เขาเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
พลังแรงกดดันที่มีอยู่เต็มไปหมด เริ่มทำให้เยี่ยนอวี่หายใจไม่ค่อยออก สีหน้าขาวซีดลงไปเรื่อยๆ
เยี่ยนอวี่ตาเบิกโพลง มองไปทางชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่เคยพบใครมีพลังที่แข็งแกร่งรุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย แค่พลังที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเขาอย่างบางเบา ก็สามารถทำให้เขารู้สึกอึดอัดทรมานถึงขนาดนี้
ซูรุ่ยมองเห็นเยี่ยนอวี่มาแต่ไกล และมองเห็นซอมบี้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ของเยี่ยนอวี่ด้วย
ทั้งสองคน (จริงๆ แล้วคือหนึ่งคนกับหนึ่งซอมบี้) หันมาสบตากันแวบหนึ่ง
พอมองเห็นซูรุ่ย ซูหว่านก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะภารกิจบนโลกแห่งนี้ ทางสำนักงานใหญ่ได้มอบหมายให้กับแผนกของเธอรับผิดชอบ ตามหลักการแล้ว ซูรุ่ยจะไม่มีทางเข้ามาได้
แต่ว่า เขาไม่เพียงแต่มาถึงที่โลกภารกิจแห่งนี้ แต่จู่ๆ ก็มายืนอยู่ตรงหน้าของซูหว่านอีกด้วย
ในสายตาของซูรุ่ยในขณะนี้มีร่างของซูหว่านอยู่เต็มดวง
ในดวงตาสีดำขลับลุ่มลึกของเขานั้น สะท้อนเงาร่างของตัวเองอยู่…
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้น แต่มันก็ดูไม่ได้เอามากๆ เลยล่ะ
ซูหว่านจึงหันหน้าหนีไปอีกทางในทันที…
น้องสาวนายสิ! จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากเจอผู้คน ทำไงดี
“แหะ”
ซูรุ่ยเห็นท่าทางของซูหว่าน ก็ยิ้มขำออกมาทันที “คุณจะหลบหน้าไปทำไม ผมไม่ได้รังเกียจคุณสักหน่อย”
ในขณะที่พูด ซูรุ่ยก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าของซูหว่านละเยี่ยนอวี่แล้ว
ในตอนนั้นสีหน้าของเยี่ยนอวี่ยังคงย่ำแย่มาก แต่ว่าร่างกายที่สั่นเทาอยู่เมื่อครู่นี้สงบลงบ้างแล้ว เขามองดูซูรุ่ยอย่างสงสัย แล้วหันมาถามทางซูหว่าน “พี่สาว รู้จักเขาเหรอครับ”
“เด็กดี”
ซูรุ่ยยกมือขึ้น ฝ่ามือใหญ่ที่สวมใส่ถุงมือคู่สีขาวอยู่ลูบไปมาบนหัวของเยี่ยนอวี่เบาๆ “นายต้องเรียกฉันว่าพี่เขย!”
พี่เขย…
เยี่ยนอวี่กะพริบตาปริบๆ แล้วหันหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมาทางซูหว่าน
ที่แท้ต่อให้เผ่าพันธุ์ต่างกัน (?) ก็สามารถรักกันได้เหรอเนี่ย
เด็กน้อยเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าประตูบานใหม่ของโลกกว้างได้เปิดให้ตัวเองอีกบานหนึ่งแล้ว~
ซูหว่าน “…”
เห็นซูหว่านหันหน้าไปด้านข้างไม่สนใจตน ซูรุ่ยก็ก้มลงกระซิบข้างหูเยี่ยนอวี่หลายประโยค เยี่ยนอวี่พยักหน้าน้อยๆ พลันวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเยี่ยนอวี่วิ่งไปไกลแล้ว ซูรุ่ยถึงก้าวเข้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว อ้าแขนโอบกอดซูหว่านอย่างฉับพลัน
ร่างกายซูหว่านแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปเป็นอะไร คุณก็คือเสี่ยวหว่านของผม”
ซูรุ่ยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา แนบใบหน้าลงกับไหล่ของเสี่ยวหว่าน “อืม จู่ๆ คุณก็สูงขึ้นขนาดนี้ ผมเหมือนจะรู้สึกไม่ค่อยชินแหะ”
ซูหว่าน “…”
รอให้ฉันเลื่อนขึ้นไปถึงระดับสี่แล้ว ฉันก็จะสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นรูปร่างหน้าตาอย่างเดิมได้แล้ว โอเคไหม
ซูหว่านแอบบ่นแล้วลอบกลองตาอยู่ภายในใจ ซูรุ่ยที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหว ยกยิ้มตรงมุมปากขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ที่จริง แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คุณยังสามารถปกป้องผมได้ด้วย ไม่ต้องรีบเลื่อนถึงระดับสี่เพื่อกลายร่างกลับไปเป็นมนุษย์หรอก!”
แม่ทัพซู นายใช้พลังของตัวเองในการแอบฟังความคิดของคนอื่นแบบนี้มันจะดีเหรอ
แล้วไอ้การที่ไม่อยากให้กลับไปอยู่ในร่างคนปกติเนี่ย รสนิยมของนายนี่ก็ออกจะดูแปลกไปมากหน่อยนะ!
ดังคาด พอได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหว่านจึงรีบหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับซูรุ่ย มองตาเขาตรงๆ ‘นี่นายสื่อจิตกับฉันได้เหรอ’
“อื้ม”
ซูรุ่ยพยักหน้า “คุณก็น่าก็เดาได้แล้วว่าผมอยู่บนโลกนี้ในฐานะดอกเตอร์แอล คิดว่าคงไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ผมทำไม่ได้ จริงไหม”
ซูหว่าน “…”
เป็นคนมันต้องรู้จักถ่อมตัวบ้างนะ! คุณดอกเตอร์!
หลังจากที่เลิกสนใจความอวดเก่งของใครบางคนแล้ว ซูหว่านก็ใช้จิตคุยกับซูรุ่ยต่อ ‘นายเข้ามาที่โลกนี้ได้ยังไง นายมีภารกิจที่โลกนี้ด้วยเหรอ’
แน่นอนว่าที่ซูรุ่ยมาโผล่มาอยู่ที่นี่ได้เพราะตามซูหว่านมา และเพราะความพิเศษของโลกนี้ ทำให้เขาต้องลงทุนลงแรงไปไม่ใช่ย่อยเลยละ ต่อมาถึงได้มารับภารกิจที่โลกนี้ได้อย่างราบรื่น
“ผมมีภารกิจหนึ่ง ครั้งนี้น่าจะไม่ขัดแย้งกับงานของคุณแล้ว”
ซูรุ่ยพูดมาถึงตรงนี้ อดไม่ได้จึงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะโลกนี้ถูกระบบจากภายนอกแทรกแซง ตัวเอกของเรื่องพระนางคนเดิมถูกกำจัดไปแล้ว เรื่องราวบนโลกนี้จึงถูกดำเนินไปอย่างวุ่นวาย หน้าที่รับผิดชอบของแผนกคุณ คือทำลายผู้นำระบบ และหน้าที่รับผิดชอบของแผนกผมคือจัดการแก้ไขกฎเกณฑ์ของโลกที่ใกล้จะล่มสลายเต็มทนแล้วใบนี้ อืม หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือการกู้โลก ปกป้องจักรวาลและสันติสุข”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของซูรุ่ยก็เริ่มแวววาวขึ้น “เสี่ยวหว่าน คุณว่า เราเปลี่ยนโลกใบนี้ให้เป็นโลกของซอมบี้ดีไหม เธอคิดว่าไง”
นั่นไง ไม่เสียชื่อบอสใหญ่ผู้ทำลายล้างเลยจริงๆ วิธีการกู้โลกของเขา คือการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ซะ แล้วสร้างกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ขึ้นมางั้นเหรอ
แต่จะว่าไป…มันเป็นวิธีที่สุดยอดไปเลย
ซูหว่านพยักหน้าเห็นด้วยไม่หยุด ไอเดียนี้ดี ฉันก็คิดอย่างนี้อยู่เหมือนกัน!
เหล่ามนุษย์ (ที่กำลังเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์) หากได้ยินคงพูดขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกคุณสองคนพอได้แล้วน่า!”