ฐานหลงเสียง เขตคฤหาสน์ใจกลางฐาน คฤหาสน์หมายเลขสอง…
ขณะที่หยางอู่เดินเข้ามาในคฤหาสน์ หยวนฮุยและคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“พี่หยวน เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
หยางอู่มองหยวนฮุยด้วยความสงสัย จึงถามออกไปเสียงเบาหนึ่งประโยค
“ไม่ ไม่มีอะไร”
สายตาของหยวนฮุยเป็นประกาย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่อยากคุยอะไรกับหยางอู่มากนัก แต่กลับเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กัน พอเห็นเงาของหยางอู่ก็อ้าปากแสดงอาการตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นแววตาของหยวนฮุยที่อยู่ข้างกัน เด็กวัยรุ่นคนนั้นก็ก้มหน้าและถอยกลับไปทันที
อันที่จริงคนในฐานหลงเสียงต่างรู้กันดีว่าหยางอู่เป็นคนสนิทของหยางจื่อซี และเขาก็ทำตามคำสั่งของหยางจื่อซีมาโดยตลอด
พอหยางอู่เห็นหยวนฮุยมีท่าทีไม่อยากพูดอะไรมาก ก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงต่อ จากนั้นเขาก็เดินขึ้นชั้นสองของคฤหาสน์ไปอย่างรู้หน้าที่ของตัวเอง ห้องของหยางจื่อซีอยู่ที่คฤหาสน์ชั้นสอง ห้องในสุด
เหมือนอย่างเคย หยางอู่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วเคาะประตูห้องด้วยความเคารพ
“เข้ามา!”
เสียงของหยางจื่อซีที่ดังมาจากด้านในค่อนข้างทุ้มต่ำ
หยางอู่ผลักประตูเข้าไป พอคนในห้องเห็นเงาของเขาก็ผงะเล็กน้อย หลังจากนั้นใบหน้าของหยางจื่อซีก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความปีติยินดีขึ้นมาทันที “อาอู่ นายกลับมาแล้ว!”
ตั้งแต่หยางจื่อซีเกิดใหม่อีกครั้งพร้อมระบบติดตัว ไม่ว่าจะพบเจอใครก็รู้สึกน่าสงสัยไปหมด ในตอนนี้มีคนเพียงคนเดียวที่เธอพอจะเชื่อได้สนิทใจก็คือ หยางอู่
“ครับ ผมกลับมาแล้วครับ”
หยางอู่ล้วงแผนที่ที่วาดเองกับมือออกมาจากอกเสื้อของเขา “นี่คือแผนที่ด้านนอกศูนย์วิจัยลี่ว์เยี่ยที่ผมวาดเองกับมือครับ ที่นั่นมีการป้องกันเข้มงวดรัดกุมมาก ผมไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ อีกอย่าง ผมยังหาข้อมูลที่เกี่ยวกับดอกเตอร์แอลจากที่นั่นไม่เจอเช่นกันครับ!”
“ลำบากนายแล้ว”
หยางจื่อซีส่งยิ้มให้หยางอู่ แต่พอมองดูแผนที่ที่หยางอู่วาดเองกับมือ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ศูนย์วิจัยลี่ว์เยี่ยเป็นฐานปฏิบัติการของดอกเตอร์แอล ถ้าอิงจากที่ระบบกล่าวเอาไว้ ดอกเตอร์แอลเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ไม่รู้จักโลกภายนอกคนหนึ่ง น้อยครั้งนักที่เขาจะปรากฏตัวให้ใครพบเห็น แต่ละวันเขาจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในห้องทดลอง
ก็คนสติเฟื่องคนนี้นี่แหละที่เป็นผู้สร้างยุคโลกาวินาศในทุกวันนี้ด้วยตัวเอง! และภารกิจในตอนนี้ของเธอก็คือการจู่โจม บดแห่งซอมบี้ ดอกเตอร์แอลนั่น!
นี่มันเหลวไหลทั้งเพ!
#ทำไมบทนางรองเกิดใหม่ทุกคนจะต้องมีระบบที่เฮงซวยแบบนี้ด้วย รอคำตอบอยู่ ด่วนมาก!#
จะจู่โจมดอกเตอร์แอลยังไงนั้น ระบบไม่ได้บอกเส้นทางที่แน่ชัดเอาไว้ให้ ข้อแนะนำเดียวในภารกิจนี้ก็คือ ทุกครั้งที่ดอกเตอร์แอลปรากฏตัวขึ้นในระยะสิบกิโลเมตรรอบตัวเธอ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนอัตโนมัติมาให้!
ทำไมต้องตั้งค่าอะไรให้ชวนยุ่งเหยิงแบบนี้ด้วย
ยังดีที่ภารกิจในครั้งนี้มีระยะเวลานาน สิบปีเต็มๆ เห็นจะได้ หยางจื่อซีเองก็ไม่ได้มีเรื่องที่ต้องเร่งทำให้เสร็จเป็นพิเศษในเวลานี้ด้วย
“คุณหนูครับ!”
จู่ๆ หยางอู่ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขัดจังหวะความคิดของหยางจื่อซีขึ้นมา “พวกหยวนฮุย…ทำอะไรผิดมาหรือครับ”
แม้ว่าหยางอู่จะไม่ใช่คนฉลาดเป็นพิเศษอะไร แต่เขาก็รู้สึกได้มาตั้งแต่แรกแล้วว่า หลังจากที่กลุ่มเล็กของหยวนฮุยไปปฏิบัติภารกิจลับที่เมือง S แล้วล้มเหลวกลับมา ท่าทีของคุณหนูที่มีต่อพวกเขาก็เปลี่ยนไป
“พวกเขา…”
สายตาของหยางจื่อซีมีแววเย็นชาเล็กน้อย ทีแรกที่เรียกให้หยวนฮุยพาคนไปตามหาเยี่ยนอวี่ เป็นเพราะตอนนั้นหยวนฮุยเป็นผู้ช่วยข้างตัวอีกคนที่ทำประโยชน์ได้มากสุดนอกจากหยางอู่ แต่น่าเสียดายหยวนฮุยกลับทำให้เธอผิดหวัง เขาไม่เพียงนำตัวเยี่ยนยวี่มาให้ไม่ได้ ยังบอกกับเธอว่าเยี่ยนยวี่ถูกซอมบี้ฆ่าตายเสียแล้วอีกด้วย!
แต่ว่า ระบบกลับบอกหยางจื่อซีอย่างชัดเจนว่า เยียนยวี่ยังมีชีวิตอยู่ดี!
เห็นได้ชัดว่า หยวนฮุยและคนอื่นๆ ล้วนไม่น่าเชื่อถือ
ชาติก่อนตอนที่พวกเขายังอยู่ภายใต้การดูแลของฉู่เฟยหยาง พวกเขาก็ดูถูกตัวเธอมาโดยตลอด ฉะนั้นจึงไม่ควรให้โอกาสพวกเขาอีก!
“อาอู่ ฉันเชื่อในตัวนายเพียงคนเดียว มีเพียงนายเท่านั้นที่จะไม่มีวันหักหลังฉันตลอดไป”
หยางจื่อซีกระซิบเสียงแผ่วเบา สีหน้าซับซ้อนเกินจะอธิบายได้
ตลอดไปเหรอ
หยางอู่ลดสายตาลงเล็กน้อยเขารู้ว่าที่เธอพูดว่าตลอดไป นั้นหมายถึงให้เขาอยู่เคียงข้างเธอเพื่อเป็นเงาที่มีตำแหน่งหน้าที่ตลอดไป
ตลอดไปในที่นี้ จึงไม่เกี่ยวกับความรักตลอดไป
อันที่จริง หยางอู่เข้าใจท่าทีที่หยางจื่อซีมีต่อตนเองดี ไม่ว่าก่อนยุคโลกาวินาศเธอจะสนใจในความรักของเขาหรือไม่ หรือจู่ๆ เธอก็เกิดความไว้วางใจในตัวเขามากขึ้นภายหลังจากยุคนั้นก็ตาม สิ่งเหล่านี้…ก็ล้วนแต่ทำให้หยางอู่เข้าใจในจุดยืนของตัวเองชัดเจนขึ้น
หยางจื่อซีไม่มีทางรักเขา ไม่มีทางตลอดไป
แต่ว่า เขารักเธอ
เขารักเธอ มานานมากแล้ว ดังนั้นแม้จะทำได้เพียงปกป้องเธออย่างเงียบๆ เขาก็ยินยอมพร้อมใจ…
“ใช่แล้ว”
กลับมาที่ความคิดของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง หยางอู่เห็นหยางจื่อซีไม่ค่อยอยากคุยอะไรเกี่ยวกับพวกหยวนฮุยมากนัก เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “ตอนผมกลับมา ได้ยินคนของกลุ่มสองพูดกันว่า ฐานชังหยานั่นเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นครับ พวกเขาส่งคนไปขอความช่วยเหลือแล้ว คนที่ถูกส่งตัวไปดูเหมือนจะเป็นคนคุ้นเคยของพวกเรานะครับ”
“อ้อ”
พอหยางจื่อซีได้ยินสิ่งที่หยางอู่พูดก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ‘คนคุ้นเคย’ ของเธอในยุคโลกาวินาศนี้มีไม่มาก แต่หยางอู่ถึงขนาดใช้คำว่าคนคุ้นเคยหยางจื่อซีนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ในพริบตา
“ฉู่เฟยหยางเหรอ ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในฐานชังหยาได้ไม่เลวทีเดียว!”
ฉู่เฟยหยางในยุคนี้ยังเป็นผู้มีพลังพิเศษสายคู่ แต่ไม่มีซูหว่านผู้มีพลังรักษาคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้าง ไม่มีความช่วยเหลือจากพี่น้องคนสนิทกลุ่มนั้นอีกแล้ว เขาจะยังยิ้มเย้ยความชุลมุนวุ่นวายเหมือนอย่างเคยได้อยู่เหรอ
อันที่จริง คนที่หยางจื่อซีแค้นที่สุดก็คือฉู่เฟยหยาง แต่เธอจงใจไม่ฆ่าเขา
ในมุมมองของหยางจื่อซี เธอต้องการให้ฉู่เฟยหยางมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานจากการถูกคนรักทอดทิ้ง ไม่มีมิตรสหาย ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
จากนั้น เธอก็จะให้เขาได้เห็นคนที่ถูกเขาทิ้งขว้างอย่างไร้ค่าค่อยๆ ก้าวขึ้นไป ขึ้นไปยังจุดสูงสุดที่เขาปรารถนาแต่ไม่อาจจะเอื้อมถึงไปชั่วชีวิตด้วยตาของเขาเอง!
เมื่อได้เห็นประกายแห่งความเกลียดชังที่แฝงอยู่ในแววตาของหยางจื่อซียามที่เอ่ยชื่อฉู่เฟยหยางขึ้นมา หยางอู่ที่อยู่ข้างๆ จึงปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไร…
ครั้งนี้ฉู่เฟยหยางพาซูเหยียนมาที่ฐานหลงเสียงด้วย ในตอนที่เขาเข้าสู่ฐานหลงเสียง เขากลับรู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว
เป็นเพราะหยางจื่อซีมีชื่อเสียงโด่งดังมากในหลงเสียง!
ผู้มีพลังพิเศษสายรักษาอันดับหนึ่ง! หัวหน้ากลุ่มกลุ่มหนึ่ง!
ว่ากันว่าเธอยังเป็นสาวในดวงใจของหลัวเสียง…ผู้นำฐานหลงเสียงอีกด้วย
หยางจื่อซีในความรู้สึกของฉู่เฟยหยางค่อนข้างซับซ้อนอยู่ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาจงเกลียดจงชัง ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาหวาดกลัวเช่นกัน
จวบจนทุกวันนี้เพียงแค่ฉู่เฟยหยางหลับตาก็จะเห็นภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน นั่นคือภาพหยางจื่อซีแสยะยิ้มอย่างเย็นชา กำลังผลักซูหว่านเข้าไปในฝูงซอมบี้นั่นเอง
ช่วงเวลานั้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นที่ฝังลึกเข้ากระดูกและความบ้าคลั่ง…
ฉู่เฟยหยาง คุณก็จะมีจุดจบไม่ต่างกัน!
วันนั้นเขาลังเลใจในชั่วพริบตา แต่วินาทีที่ลังเลนั่นกลับนำมาซึ่งผลที่เขาไม่ต้องการจะแบกรับ
ซูหว่านตายแล้ว ในขณะที่เขาทำได้เพียงหลบหนีไปอย่างน่าอับอาย และมีชีวิตอยู่ด้วยการหลอกตัวเองและผู้อื่น…
ในครั้งนี้ฐานชังหยาได้ถูกปิดล้อมด้วยฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลอย่างกะทันหัน ฉู่เฟยหยางได้รับบัญชาจากผู้นำฐานให้ออกหากำลังสนับสนุน
ก่อนจากไป ฉู่เฟยหยางก็พาซูเหยียนไปด้วย ในความคิดของเขาฐานชังหยาคงต้านไว้ไม่อยู่แล้ว และเขาก็ไม่อาจจะทอดทิ้งน้องสาวของซูหว่านได้อีก
เดิมทีคิดจะให้ซูเหยียนพำนักอยู่ที่ฐานหลงเสียง แต่ว่า…
ฉู่เฟยหยางไม่คิดว่าหยางจื่อซีและหยางอู่จะอยู่ที่นี่ แถมยังอยู่ในฐานะอันสูงส่งอีกด้วย
สถานการณ์แบบนี้ทำให้ฉู่เฟยหยางรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก…
เนื่องจากตลอดทางที่ซูเหยียนตามฉู่เฟยหยางมาล้วนขรุขระทุรกันดาร พอเข้ามายังจุดต้อนรับของฐานหลงเสียงได้ เธอก็หลับไปอย่างเป็นสุข
แม้กำลังอยู่ในความฝันหัวคิ้วของซูเหยียนก็ขมวดอยู่ตลอด ราวกับถูกฝันร้ายอะไรซักอย่างรบกวนเธออยู่
จนกระทั่งฉู่เฟยหยางเดินเข้ามาจากข้างนอก ซูเหยียนจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ทำให้เธอตื่นหรือ” ฉู่เฟยหยางมองซูเหยียนอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย
“ไม่ค่ะ”
ซูเหยียนขยี้ตาแล้วพบว่าสีหน้าของฉู่เฟยหยางย่ำแย่มาก เธออดไม่ได้ที่จะถามเขาซักคำ “พี่เขย คนที่หลงเสียงไม่ให้ความช่วยเหลือพวกเราหรือคะ”
“อืม”
ฉู่เฟยหยางถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ “พวกเขาจะไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์ ส่วนพวกเราชาวชังหยาก็ไม่มีอะไรจะไปต่อรองเพื่อให้พวกเขายอมยื่นมือเข้าไปเสี่ยงภยันตรายได้เลย”
พอพูดมาถึงตรงนี้ฉู่เฟยหยางก็มองซูเหยียนเงียบๆ “ซูเหยียน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราออกเดินทางกัน พี่เขยจะพาเธอไปเมือง B เราจะไปขอหลบภัยกับเหยียนจื้อ!”
ฐานเหยียนจื้อเป็นฐานทัพทางการทหารของเมือง B และยังเป็นฐานสำหรับผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้อีกด้วย
“เราจะไม่กลับฐานชังหยาแล้วหรือคะ”
ซูเหยียนผงะไป จากนั้นก็มองฉู่เฟยหยางด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น พวกพี่เสี่ยวหลินจะทำยังไง แล้วยังคุณลุงเถี่ย พวกเขากำลังรอพวกเราอยู่นะคะ!”
“ซูเหยียน ชังหยาต้านไว้ไม่อยู่แล้ว พวกเรากลับไปก็มีแต่จะตาย ฉันไม่อาจ…ไม่อาจทิ้งเธอไปอีกได้ ไม่อยากให้เธอต้องเป็นอันตราย เธอเข้าใจใช่ไหม” ฉู่เฟยหยางมีสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวใจ แต่แววตาของเขามีความมุ่งมั่นมาก
“ไม่อาจ…ทิ้งหนูไปอีกได้หรือคะ”
ซูเหยียนมองสายตาของฉู่เฟยหยางที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ดังนั้น พี่ก็เลยจะทิ้งพวกลุงเถี่ยหรือคะ เหมือนที่พี่…ทิ้งพี่สาวหนูไปในตอนแรกใช่ไหมคะ”
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงเด็กอายุเก้าขวบ แต่แววตาของซูเยียนในครั้งนี้กลับดูเหน็บหนาวและกดดันผู้คนเหลือเกิน!