“ดังนั้น พี่ก็เลยจะทิ้งพวกลุงเถี่ยหรือคะ เหมือนที่พี่…ทิ้งพี่สาวหนูไปในตอนแรกใช่ไหมคะ”
คำพูดของซูเหยียนราวกับสายฟ้าฟาดผ่าใส่หัวของฉู่เฟยหยางเสียงดังครืนครัน สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป และเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ใคร ใครกันที่บอกเธอ
อย่าบอกนะว่าเป็น หยางจื่อซีหรือไม่ก็หยางอู่
“ซูเหยียนฉันเปล่านะ จริงๆ แล้วเรื่องมัน…”
ฉู่เฟยหยางอยากจะอธิบาย แต่กลับเห็นเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขาหน้าซีดและตาแดงก่ำแล้ว “ที่แท้ก็เป็นความจริงทั้งหมด ฉู่เฟยหยาง คุณทิ้งพี่สาวฉันจริงๆ เหรอ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง คุณยังไม่ละอายใจอีกเหรอที่ให้ฉันเรียกคุณว่าพี่เขย! ฉันไม่มีพี่เขยอย่างคุณ! คุณไม่สมควรเป็นพี่เขยของฉัน! ฉันเกลียดคุณ! ฉู่เฟยหยางคุณอย่าคิดนะว่าการที่คุณดีกับฉัน แล้วฉันจะรู้สึกขอบคุณคุณ สักวันฉันจะต้องล้างแค้นให้พี่สาวฉันให้ได้!”
ซูเหยียนใช้แรงผลักฉู่เฟยหยางและรีบออกไปจากห้อง
“ซูเหยียน!”
ฉู่เฟยหยางหันกาย พยายามจะไล่ตามเธอ แต่ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่กำยำก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“หยางอู่!”
เพียงแค่พริบตาเดียวฉู่เฟยหยางก็จำบุคคลที่อยู่ตรงหน้าได้ ผู้มีพลังพิเศษใส่เสื้อสีดำคนนั้นคือหยางอู่
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
หยางอู่พูดกับฉู่เฟยหยางเบาๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและใบหน้าไม่แยแส
“นายจะทำอะไร”
ฉู่เฟยหยางเห็นร่างของซูเหยียนที่ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา ก็อดไม่ได้ที่จะรีบพูด “เธอเป็นแค่เด็ก! แม้แต่เธอ พวกนายก็จะไม่เว้นงั้นเหรอ”
“ถ้าชนะฉัน ฉันก็จะปล่อยนายไป”
ในระหว่างที่พูด หยางอู่ก็ไม่ลังเลที่จะลงมือ…
ในตอนที่ซูเหยียนวิ่งออกไปจากห้อง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว
ว่าแล้ว…
คืนวันนั้นเธอเดินผ่านประตูห้องของฉู่เฟยหยางโดยบังเอิญ ได้ยินเสียงเขาละเมอออกมาเบาๆ ว่า ‘เสียวหว่าน ฉันขอโทษ!’ นั่นทำให้ซูเหยียนเริ่มสงสัย ในตอนนั้นเธอไม่เชื่อ และมักจะรู้สึกว่าพี่เขยรักพี่สาวของเธอมากขนาดนี้ จะอยากให้เธอตายได้ยังไง
แต่ว่า…
ความจริงที่โหดร้ายบอกกับเธอว่า ในโลกใบนี้ไม่มีใครเชื่อได้ นอกจากญาติสนิทของตัวเอง
พ่อ แม่ พี่สาว ฉันคิดถึงพวกเขาจัง
ซูเหยียนเดินไปอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปที่ไหน จนกระทั่งเธอฟื้นสติขึ้นมา ก็ได้เห็นหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีดำยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยรอยยิ้ม…
….
ฐานชังหยา
ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท ซอมบี้ฝูงใหญ่ที่อยู่นอกฐานชังหยาต่างพากันตะเกียกตะกาย ร้องตะโกนใส่ป้อมปราการของฐานทัพ
เมื่อสิบกว่าวันก่อน จู่ๆ ซอมบี้กลุ่มนี้ก็มารวมตัวกันจากระยะไกลเป็นหมื่นลี้ เป็นครั้งแรกที่ฐานชังหยาเปิดระบบการป้องกันความปลอดภัยระดับสูงสุด ทั้งฐานทัพต่างพากันตื่นตระหนก แม้ว่าหลูฉินผู้นำฐานได้ส่งฉู่เฟยหยางไปขอความช่วยเหลือ แต่อันที่จริงหลูฉินรู้ดีว่า ในเวลานี้ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้
ฐานชังหยาเป็นเพียงหนึ่งในฐานเล็กๆ ที่มีอยู่นับไม่ถ้วนในยุคโลกาวินาศ ถึงแม้ว่าคนในฐานของพวกเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า แต่หากเทียบกับพวกฐานขนาดใหญ่ๆ แล้ว ในส่วนของทรัพยากร พูดได้ตามตรงว่าไม่เพียงพอ
เดิมทีหลูฉินเตรียมใจพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว ในตอนแรกสุดเขาสร้างฐานทัพนี้ด้วยมือเพียงข้างเดียว สร้างไว้เพื่อเป็นสถานที่ให้ความมั่นคงสำหรับผู้พลัดถิ่น ในตอนนี้ซอมบี้ได้เข้ามาล้อมปิดเมืองไว้แล้ว ก็แค่ต้องสู้กับทุกคนจนตัวตาย!
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ ซอมบี้ฝูงใหญ่ได้เข้ามาในชั้นล่างของเมืองแล้ว ทว่าพวกมันกลับไม่ได้โจมตีเข้ามา เพียงแค่ล้อมรอบฐานชังหยาไว้เท่านั้น พวกมันคำรามทั้งกลางวันและกลางคืน ราวกับกำลังร้องเรียกอะไรบางอย่าง…
….
ในฐานชังหยา ใบหน้าของหลี่เทาไม่สู้ดีนัก
เดิมทีเขาสามารถแอบไปพบภรรยาและลูกชายของเขาอย่างลับๆ ได้ทุกๆ สองวัน แต่หลังจากที่ถูกซอมบี้ปิดล้อมไว้ เขาก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกนานเป็นเวลากว่าสิบวันแล้ว
แกรก
ในคืนมืดมิด จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก หลี่เทาหยิบมีดดาบสั้นที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา “ใคร”
“ฉันเอง”
เสียงที่ตอบเขากลับเป็นเสียงของเด็กน้อยน่ารักผู้หนึ่ง
“นายน้อย!”
น้ำเสียงของหลี่เทาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นายน้อย ท่านคิดวิธีออกจากเมืองนี้ได้แล้วใช่ไหมครับ”
“แน่นอนว่ามีวิธี”
น้ำเสียงของเยี่ยนอวี่จริงจังมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เขาพยายามใช้พลังวิญญาณเพื่อสื่อสารกับพวกซอมบี้เหล่านี้ เดิมทีเขาคิดว่าพวกซอมบี้เหล่านี้เป็นซอมบี้กลายพันธุ์ระดับสูงสักประเภทหนึ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมเขา แต่ผลจากการสื่อสารทางจิตแสดงผลออกมาว่า ซอมบี้เหล่านี้ถูกคนจงใจขับไล่พวกมันมาที่นี่ และผู้ที่ขับไล่พวกมันดูเหมือนจะต้องการหาอะไรบางอย่างที่นี่
เมื่อยืนยันแล้วว่าพวกมันไม่ได้มีความอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างใด เยี่ยนอวี่จึงตั้งใจจะออกไปหาซูหว่านคืนนี้เพื่อศึกษาเกี่ยวกับซอมบี้เหล่านี้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เยี่ยนอวี่และหลี่เทาออกจากฐานไปอย่างไม่มีใครพบเห็น ภายใต้พลังวิญญาณของเยี่ยนอวี่ซอมบี้จึงไม่โจมตีพวกเขา ระหว่างทางพวกเขาสองคนเดินไปอย่างราบรื่นท่ามกลางฝูงซอมบี้ แต่เพียงแค่เดินออกไปได้สักพัก ทางก็ถูกปิดกั้นโดยร่างสองร่าง
“ปีศาจน้อยสายวิญญาณเหรอ”
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีขาวมองไปที่เยี่ยนอวี่ด้วยความสนใจ ดวงตาเรียวของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “มั่วอิ่นจับตัวเขากลับไป แล้วส่งให้ดอกเตอร์วิจัยดีไหม”
ชายในชุดสีดำที่ถูกเรียกว่ามั่วอิ่นอดไม่ได้ที่จะเผยอปาก “นายไปหาดอกเตอร์ให้เจอก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาพูด!”
“ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของดอกเตอร์ เขาต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ”
ชายในชุดสีขาวแสดงสีหน้าอย่างจริงจัง
ในขณะที่สองคนนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ หลี่เทาที่อยู่ด้านข้างก็ลอบใช้พลังพิเศษของตนออกมา ชายที่ถูกเรียกว่ามั่วอิ่นพลันดึงปืนพกรูปร่างแปลกประหลาดออกมาจากเอวของเขา “อย่าขยับ ไม่อย่างนั้น คนที่จะเสียเปรียบก็คือคุณ!”
ปืนพกพลังวิญญาณ ผลิตโดยศูนย์วิจัยลี่ว์เยี่ย ทำมาเพื่อควบคุมพลังพิเศษชนิดต่างๆ โดยเฉพาะงั้นเหรอ
ปืนพกกระบอกนี้…
เยี่ยนอวี่เม้มริมฝีปาก และพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันรู้ว่าคนที่พวกนายกำลังหาอยู่ที่ไหน”
“หือ”
ทั้งสองคนมองไปที่เยี่ยนอวี่อย่างสงสัย ชายในชุดสีขาวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ปีศาจน้อย อย่าโกหกฉันเด็ดขาด! ไม่งั้นพี่ชายจะโกรธมากเลยนะ!”
“ทำไมฉันต้องโกหกพวกนายด้วยล่ะ ฉันก็กำลังจะไปหาเขาอยู่พอดี เชื่อที่ฉันพูด พวกนายตามฉันมาเถอะ!”
“ดี งั้นก็นำทางไป!”
มั่วอิ่นเก็บปืนลง สายตาจ้องเขม่นไปที่เยี่ยนอวี่
เมื่อถูกพวกเขาจับตามอง เยี่ยนอวี่ก็รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงพี่สาวและพี่เขยของตน ก็ทำให้เยี่ยนอวี่รู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมทันที…
พี่เขยเคยบอกไว้ว่า ในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัว
สิ่งที่น่ากลัว มีเพียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น
“ตามฉันมา!”
เยี่ยนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พาหลี่เทาและอีกสองคนไปยังสถานที่ที่ซูหว่านและคนอื่นๆ ซ่อนตัวอยู่
ในตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว จางย่าเหมยและลูกชายหลับไปนานแล้ว อีกทั้งซูหว่านและซูรุ่ยเพิ่งจะได้พักผ่อนกัน เมื่อเยี่ยนอวี่พาพวกเขาทั้งสามคนเดินมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเองซูหว่านและซูรุ่ยก็สะดุ้งตื่น
“เยี่ยนอวี่กลับมาแล้ว”
ซูหว่านเหลือบมองไปที่ซูรุ่ย “เขายังพาแขกมาอีกด้วย มาหานายหรือเปล่า”
อันที่จริงแล้วก่อนที่สองคนนั้นจะปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อสิบกว่าวันก่อน ซูหว่านก็สามารถรับรู้ได้แล้ว แต่ซูรุ่ยบอกว่าไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ซูหว่านจึงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนกับพวกเขาไม่มีตัวตน
ในตอนนี้ เยี่ยนอวี่ก็เดินมาถึงซากปรักหักพังที่พวกเขาพักผ่อนอยู่แล้ว
“พี่เขย อยู่ไหม มีคนสองคนอยากเจอพี่น่ะ!”
เยี่ยนอวี่ไม่ได้เข้าไป แต่กลับยืนตะโกนจากข้างนอก
“…” สองคนที่อยู่ด้านหลังพวกเขางงงัน
พี่เขยคือตัวบ้าอะไร
ทั้งสองยังไม่ทันตั้งตัว ก็ได้เห็นซอมบี้ชายและหญิงสองตัวเดินออกมาจากซากปรักหักพังอย่างช้าๆ
นี่คือ…
กลิ่นอายที่คุ้นเคยพุ่งเข้ามา ทำให้ทั้งสองคนต่างพากันตกตะลึงอ้าปากค้าง…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมกลิ่นอายของซอมบี้ชายตัวนี้มันเหมือนกับดอกเตอร์ของฉันนักล่ะ
แค่กๆ! ไม่สิ ดอกเตอร์จะเป็นซอมบี้ได้ยังไงกัน
ต่อให้ดอกเตอร์จะกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องเป็นซอมบี้ที่หล่อที่สุดในโลกสิ! จริงไหมล่ะ! เพราะฉะนั้นแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์ตรงหน้านี่มันอะไรกัน!
“ฉืออี้ ฉันรู้ว่านายกำลังบ่นอยู่ในใจ”
จู่ๆ ซูรุ่ยก็เปิดปากเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“ดอก…ดอกเตอร์!”
ชายในชุดสีขาวกลืนน้ำลาย สายตาจ้องมองไปยังซูรุ่ยที่อยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ดอกเตอร์ ท่านคือดอกเตอร์จริงๆ เหรอ ดอกเตอร์กลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน ท่านกำลังทดลองการใช้ชีวิตอยู่เหรอ เอ๊ะ! ดอกเตอร์อย่าบอกนะว่ากำลังทดลองยาพิษกับตัวเองอยู่ ฮือออ ดอกเตอร์ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ เลย ผม…”
“มั่วอิ่น บอกให้เขาหุบปากซะ!”
ซูรุ่ยออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“รับทราบ!”
มั่วอิ่นที่อยู่ด้านข้างรีบใช้มือข้างเดียวที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี รัดคอของฉืออี้ทันที และปิดปากเขาด้วยฝ่ามือ
“อือ อือ…อือ อือ…” เสียงของฉืออี้ยังคงอู้อี้
แต่โลกใบนี้ก็นับว่าได้เงียบสงบลงบ้างแล้ว!
“พี่เขย!”
ในที่สุดเยี่ยนอวี่ก็สบโอกาสรีบวิ่งไปอยู่ข้างตัวของซูหว่านและซูรุ่ย “พี่เขย คนที่ใส่เสื้อขาวคนนั้น เขาไม่ใช่คนดี!”
“อือ อือ…อือ อือ…” ฉืออี้ตอบกลับมาแค่เสียงอู้อี้
แล้วฉันไปทำผิดอะไรเอาไว้กันแน่เนี่ย
เมื่อเห็นว่าซูรุ่ยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เยี่ยนอวี่จึงเลื่อนสายตา และหันไปมองซูหว่านที่อยู่ข้างๆ “พี่สาว พี่ต้องช่วยฉันสั่งสอนพวกนี้นะ เมื่อกี้พวกเขาจ่อปืนไปที่หลี่เทา”
“…” ฉืออี้และมั่วอิ่นถึงกับพูดไม่ออก
ซอมบี้สาวตัวนั้นกลายเป็นพี่สาวของนายได้ยังไงกัน!!! เครื่องหมายอัศเจรีย์สามตัวก็ไม่สามารถอธิบายความตกใจของสองคนนี้ได้…
เพื่อที่จะได้สัมผัสชีวิตของซอมบี้ คิดไม่ถึงว่าดอกเตอร์ของพวกเราถึงกับหาซอมบี้ตัวหนึ่งมาเป็นภรรยาด้วย!
ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวจากด้านนอกก็ปลุกให้หลีเสี่ยงน้อยตื่นขึ้น เขาเดินโซซัดโซเซออกมาจากซากปรักหักพัง และก็ได้เห็นคนแปลกหน้าอันตรายสองคน เขาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังของซูหว่านกับซูรุ่ยโดยไม่รู้ตัว มือเล็กๆ ทั้งสองข้างจับกางเกงของพวกเขาไว้แน่น
ฉืออี้และมั่วอิ่นลอบคิดในใจว่า ซอมบี้ตัวเล็กนี้นี่มันอะไรกัน อย่าบอกนะว่านี่คือลูกชายของดอกเตอร์พวกเรา
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที มุมทั้งสามของทั้งสองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า!
เมื่อเห็นสีหน้าเหม่อลอยและพูดไม่ออกของทั้งสองคน ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เธอยกมือลูบหัวของเยี่ยนอวี่แล้วกระซิบว่า “เจ้าตัวแสบ พวกเขาเป็น…ลูกน้องของพี่เขยนายเอง อืม ต่อไปก็จะเป็นลูกน้องของนายด้วย ถ้านายอยากจะสั่งสอนพวกเขาจริงๆ หลังจากนี้ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง!”
ฉืออี้เอ่ย “ซอมบี้สาวตัวนี้พูดได้? เดี๋ยวนะ! เหมือนเมื่อกี้เธอจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เธออยากให้เราเป็นลูกน้องให้ปีศาจน้อยคนนั้นงั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรอยู่เนี่ย พวกเราเป็นถึงคนยอดเยี่ยมในหมู่คนยอดเยี่ยมเชียวนะ!”
มั่วอิ่นตะลึงงัน “…”
มั่วอิ่นและฉืออี้ หันไปมองซูรุ่ยเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับเห็นซูรุ่ยเดินไปยังข้างตัวของเยี่ยนอวี่และยิ้มพร้อมกับพูดว่า “พี่สาวนายพูดถูกแล้วละ ต่อไปพวกเขาจะอยู่ภายใต้คำสั่งของนาย!”
มั่วอิ่นพูดอะไรไม่ออก “…”
ฉืออี้เอ่ย “ดอกเตอร์! ไหนเราคุยกันไว้ว่าท่านจะเป็นเจ้านายที่แสนดีของเราไปตลอดชีวิตไง”
ซูรุ่ยเอ่ย “หือ”
ฉืออี้เอ่ย “โอเค งั้นไม่ต้องตลอดชีวิตก็ได้”
มั่วอิ่นคิดในใจ ‘มีคู่หูที่โง่ขนาดนี้ ฉันก็หมดคำจะพูดเหมือนกัน’