“เจ้าก็คือปัจจุบันของข้า และข้าก็คืออนาคตของเจ้า”
คำพูดที่หวานหูใครก็พูดเป็น แต่ซูหว่านรู้ดีว่าซูรุ่ยเป็นคนที่ชอบพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาแบบง่ายๆ
ก็เหมือนกับการที่เขาเคยชินกับการตามใจนาง ยอมนาง ไม่สนใจว่าจะขายหน้าต่อหน้านาง และไม่สนใจว่าจะเผลอทำตัวงี่เง่าต่อหน้านาง ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะว่าเขาชอบ เขาชอบนาง เขาชอบที่จะตามใจนาง อยู่เคียงข้างนาง
อนาคต…
แต่ก่อนคำๆ นี้สำหรับซูหว่านฟังดูห่างไกลเหลือเกิน แต่ตอนนี้นางกลับเริ่มคิดถึงอนาคตข้างหน้าแล้ว…
ผู้ปฏิบัติภารกิจทุกคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในภารกิจหรือใช้ชีวิตอยู่ในโลกของคนอื่นตลอดไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดได้
อันที่จริงแล้วตั้งแต่ที่ซูหว่านเปิดใจยอมรับซูรุ่ยอย่างจริงจัง นางก็คิดถึงอนาคตของพวกเขามาโดยตลอด เพราะมีความรักและความหวัง จึงทำให้เริ่มเฝ้ารอคอยอนาคตที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ขึ้นมา
ซูรุ่ยยื่นสองแขนมาโอบซูหว่านไว้ในอ้อมกอดไว้แน่นๆ “เสี่ยวหว่าน ช่วงนี้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
เขาก้มหน้าลงมากระซิบเบาๆ ชิดข้างหูของซูหว่าน ลมร้อนที่ถูกเปาเข้ามาในหู ทำให้ซูหว่านรู้สึกจั๊กจี้
ซูหว่านไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่กลับขยับใบหน้าไปแนบชิดตรงอกของซูรุ่ยมากขึ้น
หิมะสีขาวโปรยปรายลงมาปกคลุมไปบนเส้นผมของทั้งคู่ ซูหว่านอดที่จะเริ่มคิดไม่ได้ ถ้าหากสามารถอยู่อย่างนี้ไปตลอดทั้งชีวิต อยู่ด้วยกันจนถึงยามแก่เฒ่า มันคงจะดีมากๆ
ดั่งที่ซูรุ่ยได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ฝีมือของพ่อครัวที่จวนจิ้นชินอ๋องนั้นไม่เป็นสองรองใครเลย หลังจากที่ซูหว่านและซูรุ่ยกลับมาจากการเดินชมสวนนั้น ในห้องอาหารก็มีอาหารน่าตาน่ารับประทานจัดวางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด
ซูหว่านเป็นคนที่มีฝีมือในการทำอาหารอยู่แล้ว เรื่องการกิน นางจึงไม่เลือกมากแต่ก็ใช่ว่าจะอย่างไรก็ได้ เพราะทำภารกิจด้วยกันมาหลายโลก ซูรุ่ยจึงรู้ว่าซูหว่านชอบกินอะไรบ้าง ดังนั้นบนโต๊ะอาหารในวันนี้ไม่มีจานไหนที่ซูหว่านไม่ชอบกินเลย
เหวินเย่ว์ยืนอยู่ด้านหลังของซูหว่านตลอดเวลา มองดูซูหว่านและซูรุ่ยทานอาหารกันอย่างเงียบๆ ที่จวนจิ้งนิ่งโหวซูหว่านมักจะทานอาหารพร้อมกับหลิวซื่อเสมอ บนโต๊ะอาหารทุกครั้งซูหว่านมักจะไม่พูดขณะทานอาหารและทานได้น้อยมาก แต่วันนี้ นางกับท่านจิ้นอ๋องกลับพูดคุยหัวเราะกันตลอดมื้ออาหารกว่าหนึ่งชั่วยาม และที่น่าแปลกใจก็คือเหวินเย่ว์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของทั้งคู่กลับไม่ได้มีความรู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยหน่ายใจเลยแม้แต่น้อย
อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดเวลามื้ออาหารของทั้งคู่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นและสงบสุข หรืออาจจะเป็นเพราะตอนที่ทั้งคู่สบตาแล้วยิ้มให้กัน มันช่างเป็นภาพที่งดงามและน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
เหวินเย่ว์ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตนเองออกมาอย่างไรดี นางแค่รู้สึกว่า…
ทั้งคู่ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน!
คุณหนูของตนเองกับท่านจิ้นอ๋องนั่งอยู่ตรงนั้น มันคือภาพของคู่สามีภรรยาชัดๆ
คุณชายชิ่งชวนโหวอะไรนั้น หรือท่านแม่ทัพเสิ่น ก็ต้องไปยืนหลบชิดข้างทางทั้งหมด
ในตอนที่ซูหว่านออกมาจวนจิ้นอ๋อง พระอาทิตย์เพิ่งจะลาลับขอบฟ้าไป หิมะสีขาวที่เกาะอยู่บนพื้นถนนถูกสีแดงจากขอบฟ้าย้อมให้เป็นสีสันที่สวยงามต้องตา ซูรุ่ยที่มีผ้าคลุมคลุมอยู่เดินมาส่งซูหว่านจนถึงหน้าประตูจวนอ๋องและยืนมองซูหว่านขึ้นไปบนรถม้าของตระกูลซู จนกระทั่งรถม้าลับหายไปทางแสงสีแดงของขอบฟ้า ซูรุ่ยจึงค่อยเก็บสายตากลับมาอย่างแสนเสียดาย
“นายท่านครับ ด้านนอกลมแรง กลับเข้าไปกันเถอะขอรับ”
พ่อบ้านใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองซูรุ่ยด้วยความเป็นห่วง พร้อมกันนั้นมือทั้งสองข้างของเขาก็ยกขึ้นมาประคองแขนของซูรุ่ยด้วยความเคยชิน
เอาเถอะ สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาเคยชินกับการดูแลเจ้านายที่ร่างกายอ่อนแอมาแบบนี้ แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เจ้านายก็หายป่วยกะทันหัน แต่ความเคยชินหลายปีมานี้ มันก็ยากที่จะแก้ อีกอย่างคนแก่ไหวพริบมาก พ่อบ้านใหญ่ชราผู้นี้รู้ดีว่าที่นี้เป็นหน้าประตูจวนอ๋อง ด้านนอกไม่รู้ว่ามีสายตาของใครจับจ้องอยู่หรือไม่ เขาจึงทำทุกอย่างให้รอบคอบไว้ก่อน
“แค่กๆ”
ซูรุ่ยยกมือขึ้นป้องปากไว้ไออกมาเบาๆ จากนั้นจึงค่อยๆ หมุนตัวเดินช้าๆ กลับเข้าไปในจวน พอพ้นประตูใหญ่เข้ามาในจวน สีหน้าของซุรุ่ยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
พ่อบ้านใหญ่ก็รีบก้าวถอยออกมาสามก้าวทันใดอย่างรู้หน้าที่ ขยับพื้นที่ให้องครักษ์เงาที่โผล่ออกมาอย่างวิญญาณไร้ตัวตน
ตั้งแต่สมัยโบราณนานมาเหล่าเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ต้าฉินมีการสืบทอดทำเนียมการเลี้ยงเหล่าองครักษ์เงาไว้ข้างกาย เพื่อเป็นการการันตีความซื่อสัตย์และภักดีต่อนายเหนือหัวของตนเอง องครักษ์เงาเหล่านี้จึงถูกเลี้ยงดูไว้ข้างกายนายน้อยของตนมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะฉินมู่เหยียนร่ายกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก และเป็นองค์ชายองค์เล็กของฮองเฮา องค์ชายคนอื่นๆ จะมีองครักษ์เงาข้างกายแค่สองคน แต่ข้างกายของเขากลับมีมากถึงสี่คน และชื่อรหัสของสี่คนนี้คือ
จุยเฟิง จุยเย่ว์ จุยเสวี่ย และจุยอู้
จุยเสวี่ยเป็นองครักษ์เงาหญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม ถนัดวิชาตัวเบาและการแปลงโฉม จุยเฟิงเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงที่สุดในบรรดาองครักษ์เงาสี่คน และเป็นคนที่ซูรุ่ยมอบหมายให้ไปดูแลความปลอดภัยของซูหว่าน
ส่วนจุยเย่ว์นั้น เพราะว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นช่วงไม่กี่ปีมานี้จึงเป็นคนที่คอยดูแลอยู่ข้างกายของซูรุ่ย รับบทเป็นทั้งองครักษ์ คนบังคับรถม้า คนรับใช้และอื่นๆ อีกมากมายหลายตำแหน่ง ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว
วันนั้นเสียงดังนอกรถม้าที่ซูหว่านได้ยิน ที่จริงแล้วก็คือเสียงของจุยเย่ว์นั่นเอง
องครักษ์เงาคนสุดท้ายจุยอู้ เขาถนัดการลอบฆ่าและการใช้ยาพิษ เพราะเจ้าของร่างเดิมเป็นคนหนุ่มที่รักความสงบ ดังนั้นจุยอู้ของเราอยู่ในจวน จึงถือได้ว่าเป็นคนว่างงานคนหนึ่งเลยทีเดียว
โชคดีที่ตอนนี้ซูรุ่ยมาอยู่ในร่างนี้จึงทำให้จุยอู้ที่อยู่อย่างหดหู่ได้รับการฝึกฝนและได้รับงานที่สำคัญในทันที ตอนนี้เขาถูกซูรุ่ยมอบหมายงานให้ออกนอกเมืองหลวงไปลอบฆ่าคนผู้หนึ่งแล้ว
“นายท่าน”
จุยเย่ว์เดินตามฝีเท้าของซูรุ่ยเข้ามาให้ห้องหนังสือ พ้นประตูห้องเข้ามา ก็เจอร่างอรชรของจุยเสวี่ยยืนอยู่
“กลับมาแล้วหรือ”
ซูรุ่ยช้อนตามองจุยเสวี่ยแวบหนึ่ง อารมณ์ของจุยเสวี่ยตึงเครียดขึ้นมาทันที คำพูดที่เปล่งออกมามีความหวาดหวั่นอย่างไม่รู้ตัว “นายท่าน จุยเสวี่ยไร้ความสามารถ ครั้งนี้จึงไม่ได้พบองค์ชายรองดั่งที่คาดหวังไว้ บ่าว…”
“เหอะ”
ซูรุ่ยยิ้มเย็น ก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจุยเสวี่ย ใช้สายตาเย็นเหยียบจ้องมองไปที่นาง “ยังดีที่เจ้าไม่พบเขา ถ้าเจ้าพบเขาเข้าจริงๆ ก็คงทำให้งานใหญ่ของข้าพังไม่เป็นท่า!”
“ท่านอ๋อง? ”
จุยเสวี่ยวนิ่งอึ้งไป พอเหลือบสายตาขึ้นมามองก็สบเข้ากับสายตาไร้ความรู้สึกของซูรุ่ย
เพียงสบตานั้น ก็เหมือนดั่งมันสามารถมองทะลุหัวใจของนางไปได้
จุยเสวี่ยรู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งร่าง สีหน้าซีดเผือด ไม่สามารถพูดแก้ตัวใดๆ ได้เลย
เมื่อเห็นว่าจุยเสวี่ยตื่นตระหนกเพราะตัวเอง แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน ซูรุ่ยจึงอดไม่ได้ที่กล่าวด้วยเสียงเย็น “การแปลงโฉมของเจ้าเป็นหนึ่งใต้หล้าก็จริง แต่เจ้าคิดว่าฉินเย่ว์เป็นคนธรรมดาทั่วไปหรือ ไอสังหารในตัวเจ้า ต่อให้ข้ายืนห่างจากเจ้าเป็นสิบเมตร ข้าก็รับรู้ถึงมันได้ เจ้าคิดว่าฉินเย่ว์ตาบอดหรืออย่างไร”
รูปลักษณ์ของคนๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ท่าทางการพูดการจาสามารถเลียนแบบกันได้ แต่กลิ่นอายเล่า
ผู้ปลอมตัวที่ไม่รู้จักควบคุมกลิ่นอายของตนเอง ก็คือผู้ปลอมตัวที่ล้มเหลวเป็นอย่างยิ่ง
ได้ฟังคำพูดของซูรุ่ย สีหน้าของจุยเสวี่ยก็เปลี่ยนไปราวคนละคน จากนั้นก็รีบคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วย”
ลงโทษ?
ถ้าเป็นเมื่อก่อนซูรุ่ยคงจับคนที่ทำให้ตัวเองอารมณ์เสียสับเป็นชิ้นๆ โยนให้สุนัขกินไปแล้ว
แต่ตอนนี้ในจวนจิ้นอ๋องมีคนให้เรียกใช้ได้ไม่มากนัก เขาจึงได้แต่อะลุ่มอล่วยให้องครักษ์เงาเหล่านี้แล้วใช้งานต่อไป
“นี่เป็นครั้งแรก ข้าจะให้โอกาสเจ้า เจ้ากลับไปฝึกฝนให้มากขึ้น ถ้าหากว่ายังจัดการควบคุมกลิ่นอายของตัวเองให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดไม่ได้ ก็ไม่ต้องออกไปไหนอีก! ”
สั่งความเสร็จ ซูรุ่ยก็ยกมือขึ้นมาโบกให้จุยเสวี่ยออกไปได้อย่างหงุดหงิดใจ จุยเสวี่ยรู้สึกเหมือนได้รับการพ้นโทษรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวลาออกไปทันที
พอจุยเสวี่ยออกไปแล้ว ซูรุ่ยก็นั่งลงที่โต๊ะหนังสือพลิกดูบันทึกในม้วนไม้ไผ่ไปเรื่อยๆ แต่เขากลับไม่สามารถรวบรวมสมาธิในการอ่านได้ ในใจครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของซูหว่าน
“จุยเย่ว์ จุยเฟิงยังไม่กลับมาอีกหรือ”
ถ้าซูหว่านกลับถึงจวนจิ้งนิ่งโหวแล้ว จุยเฟิงควรจะกลับมารายงานได้แล้วสิ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาก็แสดงว่าซูหว่านยังอยู่ระหว่างทางกลับสินะ
ทว่าจวนจิ้นชินอ๋องกับจวนจิ้งนิ่งโหวต่างก็อยู่ในกลางเมืองหลวงเหมือนกัน ระยะทางก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง?
อย่างเช่นบังเอิญไปเจอเสิ่นอี้ซูระหว่างทางอะไรอย่างนั้น…
พอนึกมาถึงตรงนี้ สายตาของซูรุ่ยก็เย็นลงกว่าเดิมหลายส่วน “จุยเย่ว์ ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ถ้าหากเจ้าไม่มีอะไรทำก็ออกไปเดินดูที่จวนชิ่งชวนโหวบ้าง ช่วยข้าจับตาดูเสิ่นอวี้ซูไว้!”
จุยเย่ว์ “…”
สำหรับความขี้หึงของนายตนเอง จุยเย่ว์ก็หมดคำที่จะพูดแล้ว…