บ้านของตระกูลซูอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเฟิงเหิงเท่าไหร่นัก ตอนที่ซูหว่านออกจากประตูก็ได้ส่งข้อความไปลาเวินเหวินเฮ่าหนึ่งคาบ หลังจากนั้นเธอก็โบกรถกลับมายังตระกูลซู
ซูไห่เฉิงออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนที่ซูหว่านเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ป้าจางก็กำลังทำความสะอาดภายในบ้าน
“คุณหนู คุณหนูกลับมาแล้ว!”
พอเห็นเงาของซูหว่าน ป้าจางรีบวางเศษผ้าที่อยู่ในมือลงทันที สีหน้าประหม่ามองเธอด้วยความเคารพ ป้าจางทำงานอยู่ในตระกูลซูมาหลายปีแล้ว อารมณ์ของคุณหนูใหญ่คนนี้เป็นเช่นไรเธอย่อมรู้ดี โดยเฉพาะหลังจากที่คุณหนูเจี่ยงโยวปรากฏตัว อารมณ์ของซูหว่านก็ยิ่งแย่ลงทุกวัน
เด็กน้อยในวัยนี้ เป็นเด็กที่ดื้อรั้นแถมยังมีพฤติกรรมก้าวร้าวอีกด้วย ก็เหมือนกับเจ้าของร่างเดิมที่ไม่ทันไร จากเจ้าหญิงก็กลายเป็น “ซินเดอร์เรลล่า” ไปซะแล้ว ช่องว่างในหัวใจจะลึกแค่ไหน เพียงแค่คิดก็รู้
เช่นเดียวกันกับลูกหมีที่ซนและดื้อรั้นทุกตัวนั่นแหละ พวกเขาไม่ได้พยายาม เพื่อที่จะให้ถูกเรียกว่า “ราชาหรือคนป่าเถื่อน” พวกเขาแค่หวังว่าจะได้รับความใส่ใจจากผู้อื่นมากขึ้นอีกนิดเท่านั้นเอง
เดิมทีซูหว่านเป็นองค์หญิงในตระกูลนี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารแถมยังมีความรักจากคุณพ่อคุณแม่ที่เปี่ยมล้น แต่หลังจากที่เจี่ยงโยวปรากฏตัว เพราะว่าซูซื่อสองสามีภรรยารู้สึกว่าพวกเขาเป็นหนี้ลูกสาวของตัวเอง พวกเขาอยากดูแลเจี่ยงโยวให้ดีเป็นหลายเท่า แถมเจี่ยงโยวยังว่านอนสอนง่าย ดังนั้นความสัมพันธ์ในครอบครัวของทั้งสามคนจึงแน่นแฟ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าของร่างเดิมรู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้ามและถูกทอดทิ้ง นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้…
ความจริงแล้ว พ่อแม่ก็คือผู้ที่ให้ชีวิตเรา ซูไห่เฉิงสองสามีภรรยาเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจ พูดจากใจจริง พวกเขาปฏิบัติต่อเจี่ยงโยวดีมาก
แต่ในพล็อตนิยายเรื่องเดิม เพราะว่าซูหว่านอิจฉาเจี่ยงโยวที่เธอค่อยๆ แย่งคนที่เธอรักไปทีละคน และเธอยังโกรธแค้นที่เจี่ยงโยวแย่งพ่อแม่ของเธอไป ดังนั้นเธอจึงต่อต้านเจี่ยงโยวทุกหนทุกแห่ง สุดท้ายถึงได้ถูกเลือกให้เดินทางทหารปลายแถว
“ซูหว่านเหรอ? ”
น้ำเสียงอบอุ่นของผู้ชายดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของซูหว่าน เธอยืนอยู่ในห้องรับแขกแค่เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นร่างบางที่อยู่บนบันได
ชายที่อยู่บนบันไดสวมเสื้อกันหนาวสีเบจสะอาดตา เขายืนพิงบันไดอยู่ นิ้วเรียวของเขา วางอยู่บนราวจับของบันไดเบาๆ
ซูหว่านมองไปที่มือของเขาอีกครั้ง มือคู่นี้เอาไว้ช่วยชีวิตผู้คน ในเวลาเดียวกันก็ยังใช้เป็นอาวุธในการฆ่าคนอีกด้วย
“เธอกลับมาแล้ว”
ซูหว่านกลับมาจ้องมอง และทักทายชายคนนั้นอย่างอ่อนโยนตามน้ำเสียงของเจ้าของร่างเดิมในความทรงจำ
“เป็นอะไรไป ตอนนี้เห็นฉันแม้แต่คำว่าพี่ชายก็ไม่เรียกแล้วเหรอ? ”
ชายที่อยู่บนบันไดยิ้มให้ซูหว่านอย่างอ่อนโยน จากนั้นค่อยๆ เดินลงบันไดทีละก้าวทีละก้าว หน้าตาของชายคนนี้หล่อเหลา คิ้วของเขาดูสง่างามอบอุ่นและยังหาได้ยาก คนเช่นนี้ยิ้มเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ มันยากที่จะทำให้คนอื่นเกลียดเขาลง
แต่ว่า…
ซูหว่านมีความแข็งแกร่งในการปกป้องความรู้สึกของตัวเอง ต่อคุณชายประเภทนี้สูง
เป็นไปไม่ได้หรอก เงามืดที่สวีเช่อทิ้งไว้ให้เธอในปีนั้นมันช่างหนักเสียเหลือเกิน แค่ซูหว่านเห็นคุณชายที่สุภาพอ่อนโยนเช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมา
ซูอวี้เดินอย่างสง่างามมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูหว่าน จ้องมอง “ลูกพี่ลูกน้อง” ของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เป็นใบหน้าเดียวกันแท้ๆ แต่ว่า……สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้ซูอวี้ รู้สึกแปลกไป แววตาของเขาเป็นประกาย แต่ยังรักษารอยยิ้มอบอุ่นบนหน้าเหมือนเดิม “นับวันสุขภาพของคุณป้ายิ่งแย่ลง เมื่อกี้ฉันเพิ่งตรวจร่างกายให้เธอเสร็จ ตอนนี้เธอหลับอยู่ ซูหว่าน ถ้ามีเวลาก็ให้เวลาเธอเยอะๆ หน่อยนะ”
เวลาของเหวินซูมีไม่มาก ความจริงเรื่องนี้ซูหว่านเองรู้ดี
ได้ยินคำพูดของซูอวี้ ซูหว่านพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ “ฉันรู้แล้ว ฉันจะให้เวลาเธอเยอะๆ ค่ะ”
ซูหว่านพูดไปพร้อมกับกำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไป ตอนที่กำลังขยับตัว จู่ๆ ซูอวี้ก็จับไหล่ซูหว่านเอาไว้
ซูหว่านเจ็บจนขมวดคิ้ว เธอหันหน้ากลับไปมองซูอวี้ด้วยความประหลาดใจ “พี่ทำอะไรน่ะ? ”
“บนไหล่เธอมีอะไรติดอยู่น่ะ”
ซูอวี้ยิ้มเล็กๆ ให้ซูหว่าน พร้อมยกมือที่ไร้ร่องรอยทั้งสองข้างขึ้น สีหน้าดูไม่รู้สึกไม่รู้สาอะไร
ซูหว่านไม่ได้พูดอะไร เธอถือกระเป๋านักเรียนเดินกลับไปที่ห้องนอนบนชั้นสองของตัวเอง
แค่เข้ามาในประตู ซูหว่านก็หน้าซีดและพิงเข้าที่ประตูทันที เธอฉีกชุดนักเรียนของเธอออก เอียงหน้าไปตรวจสอบไหล่ของตัวเอง ในเวลานี้บนไหล่ขาวของเธอมีรอยนิ้วมือเล็กๆ อยู่รอยสีแดงมองอย่างเห็นได้ชัด
ซูอวี้
ซูหว่านหรี่ตาลง ชายผู้นี้ช่างไม่เป็นมิตรเสียจริง
ตามพล็อตภารกิจที่ซูหว่านได้รับ ซูอวี้คนนี้ข้างนอกเป็นหมอ แท้จริงแล้วเขาเป็นนักฆ่าระดับ S ที่ถูกอินเตอร์โพลต้องการตัวมานานหลายปี
การดำรงอยู่ของเขาคล้ายกับสิ่งผิดกฎหมายที่มองไม่เห็น เวลาตระกูลซูลำบากเขาก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ตอนที่เจี่ยงโยวกับผู้ชายของเธอถูกตระกูลโฉว ลอบทำร้าย เขาก็ยื่นมือมาช่วย
เมื่อกี้ทั้งสองคนเพิ่งพบหน้ากัน แต่มันชัดเจนมากๆ ว่า ซูอวี้ผู้มีสัญชาตญาณนักฆ่าอันเฉียบแหลมได้สงสัยในตัวเธอ และเขายังไม่ลังเล ที่จะลงมือทันที
นี่คือการสอบสวน และนี่ก็คือการแจ้งเตือน
ซูหว่านจัดเสื้อผ้าตัวเองใหม่อีกรอบ ไม่คิดถึงเรื่องของซูอวี้อีก และอาศัยความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมหาเครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียนรู้อื่นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะจนเจอ หลังจากที่เก็บของทุกอย่างเสร็จแล้ว ซูหว่านถึงเดินลงมาข้างล่าง
นอกประตูบ้าน รถเลกซัสสีดำคันหนึ่งจอดนิ่งๆ อยู่ที่ด้านนอกประตู เห็นซูหว่านสะพายกระเป๋าออกมา ซูอวี้ที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับก็ยิ้มและลดกระจกลง “ไปโรงเรียนเหรอ? ฉันไปส่ง”
ซูหว่านไม่ได้ตอบกลับ แต่ว่าเดินไปข้างรถอย่างเงียบๆ เปิดประตูรถเบาๆ พร้อมกับนั่งลงบนเบาะหลัง
ระหว่างทาง ซูหว่านเอนหลังหลับตาพักผ่อน ส่วนซูอวี้ก็ตั้งอกตั้งใจขับรถ ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งรถมาจอดที่หน้าประตูโรงเรียน ซูหว่านยังคงเปิดประตูรถลงไปอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรเลยแล้วเดินจากไป ในที่สุดซูอวี้ก็พูดออกมา “ซูหว่าน คุณลุงคุณป้ามองว่าเธอเป็นลูกสาวแท้ๆ มาโดยตลอด เธอ……อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังเด็ดขาด”
ร่างของซูหว่านหยุดชะงัก เธอเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย และจ้องมองซูอวี้ที่อยู่ในรถ
“ฉันรู้ค่ะ”
ทิ้งไว้เพียงสามคำ ซูหว่านก็สะบัดหน้ากลับ สะพายกระเป๋ารีบสาวเท้ายาวเดินจากไป
ซูอวี้นั่งมองเงาของเด็กตัวเล็กคนนั้นยิ่งไกลออกไป จนกระทั่งมองไม่เห็น เขาถึงได้ละสายตากลับมา เขายกมือเรียวคู่นั้นขึ้นมา สองมือประสานกันและยิ้มออกมาเบาๆ
เด็กที่ว่านอนสอนง่ายคือเด็กดี
เด็กที่ไม่ฟัง ก็ต้องหายไป…
แววตาเป็นประกาย ซูอวี้ถึงได้สตาร์ทรถ และเคลื่อนตัวออกไป…
เมื่อซูหว่านกลับมาที่ห้องเรียน คาบที่สองเรียนไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เธอเคาะประตูห้อง ยังไม่ทันได้ดูสีหน้าของอาจารย์ ก็ตรงกลับไปนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง หลังจากนั้นก็หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋า ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลักสูตรมัธยมปลายในโลกนี้ไม่ได้ยาก ในฐานะคนที่เคยได้รับการสอนจากสุดยอดติวเตอร์ ซูหว่านจึงไม่มีความกดดันในระหว่างเรียนเลยสักนิด
เวลาในตอนเช้าผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเสียงระฆังพักเที่ยงดังขึ้น ก็เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้นในห้องเรียนทันที ทุกคนแย่งกันออกจากห้องเป็นคนแรก ในตอนนี้ร่างสูงยังปรากฏตัวที่ประตูของชั้นมัธยมปลายปีสองห้องสามตรงเวลา
เมื่อก่อนตอนซูหว่านและหลัวอวี่อยู่ด้วยกัน ในช่วงพักกลางวันเป็นเธอที่ไปหาหลัวอวี่ แต่ตอนนี้ หลัวอวี่กลับมารายงานตัวที่นี่ทุกวัน และแน่นอนคนที่เขาอยากเจอ คือเจี่ยงโยว
แน่นอนว่าคนที่ถูกรักอย่างลำเอียง ก็ต้องถูกปฏิบัติอย่างลำเอียงเช่นนี้
เมื่อเห็นเงาของรุ่นพี่หลัวอวี่ เด็กผู้ชายในชั้นเรียนล้วนมีอาการบ้าคลั่ง
เมื่อใครสักคนยอดเยี่ยมจนเกินไป ยอดเยี่ยมจนทำให้คุณไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะอิจฉา และเกลียดชัง คุณทำได้แค่บูชาเขาอย่างคลั่งไคล้
และเด็กเทพหลัวก็คือคนที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษคนนั้น คนทั้งเฟิงเหิง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงต่างก็ต้องก้มหัวให้เขา
ซูหว่านนั่งลงเก็บของบนที่นั่งของเธออย่างช้าๆ สำหรับเธอคาบเรียนในโรงเรียนนี้ทำให้เธอเสียเวลาเปล่าๆ
เธอรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมมีบัตรเครดิตนักษัตรอยู่หนึ่งใบ ในบัตรมีเงินปีใหม่และเงินค่าขนมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ก็สะสมถึงแสนหยวนเรียบร้อยแล้ว เงินพวกนี้เพียงพอที่ซูหว่านจะหาที่พักข้างนอกได้ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาธุรกิจของตัวเอง
ซูหว่านไม่ได้ออกจากที่นั่ง เจี่ยงโยวก็ยังไม่ออกจากห้องเรียน รอคนอื่นออกจากห้องไปแล้ว เหลือหลัวอวี่ที่ยืนอยู่หน้าประตู
หลัวอวี่ตัวสูง หุ่นก็ดี เกิดมาเพื่อยืนแพรวพราวอยู่ตรงนั้น ถูกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาตรงระเบียงเฝ้าดูอยู่สักพัก หลัวอวี่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินตรงดิ่งเข้ามาในห้องเรียน มองเจี่ยงโยวไกลๆ “เจี่ยงโยว ไปกันเถอะ!”
ได้ยินเสียงหลัวอวี่ เจี่ยงโยวมองไปรอบๆ ยิ้มและมาหยุดที่ข้างโต๊ะของซูหว่าน มองไปข้างๆ และยิ้มให้เธอ “เสี่ยวหว่าน ไปทานข้าวด้วยกันเถอะ! ”
เจี่ยงโยวรู้ว่าซูหว่านชอบหลัวอวี่ ดังนั้น…ถึงแม้หลัวอวี่จะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่นั่นคือคนที่น้องสาวตัวเองชอบ ฉันจะทำผิดศีลธรรมไม่ได้
มันชัดมาก ที่ตอนนี้เจี่ยงโยวยังคงคิดที่จะให้หลัวอวี่และซูหว่านวกกลับมาคบกัน เพียงแต่เธอคล้ายจะลืมไปแล้วว่าบนโลกนี้มีคำว่า “ยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง”
เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อหลัวอวี่ได้ยินคำพูดของเจี่ยงโยว ดวงตาคู่นั้นก็เหลียวมองหน้าเสี่ยวหว่านอย่างไม่รู้ตัว สายตาคู่นั้นไม่ปกปิดความเย็นชาที่แสดงออกมาเลยสักนิด
ในหัวใจของหลัวอวี่ เจี่ยงโยวจิตใจดีมีน้ำใจมาโดยตลอด แต่ว่า…
เธอจิตใจดีมากเกินไปแล้ว เธอมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าซูหว่านมีเจตนาที่ไม่ดีกับเธอ
“ฉันนัดคนอื่นไว้แล้ว”
ในที่สุดซูหว่านก็เก็บของเสร็จแล้ว ค่อยๆ เงยหน้ามองเจี่ยงโยวและหลัวอวี่ เห็นว่าเจี่ยงโยวจะพูดอะไรออกมาอีก ซูหว่านก็ชิงพูดออกมาอีกหนึ่งประโยคอย่างไม่แยแส “และหลังจากนี้อย่าให้ฉันกับผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยกันอีก ฉันและเขา ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น หลีกทางหน่อย! ”
หลังจากพูด ซูหว่านก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมด้านหน้าหลัวอวี่ไปอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวหว่าน! ”
เจี่ยงโยวตะโกนร้องเรียกเสียงดังอยู่ด้านหลังเขา เห็นเธอเดินไปไม่หยุดฝีเท้าเลยสักนิด สีหน้าของเจี่ยงโยวก็ยิ่งรีบร้อน ยกเท้าจะรีบตามออกไป สุดท้าย เมื่อเธอจะออกก้าวเดินก็ถูกหลัวอวี่ที่อยู่ด้านข้างดึงเอาไว้
“คุณดึงฉันไว้ทำไม? ” เจี่ยงโยวสีหน้ากระวนกระวายพยายามหลุดพ้นจากการขัดขวางของหลัวอวี่
“เธอไม่ได้อยากรับน้ำใจของคุณเลยสักนิด ทำไมคุณต้องหาเรื่องใส่ตัวเองด้วย? ”
หลัวอวี่มองสายตาดื้อรั้นของเจี่ยงโยวที่อยู่ตรงหน้า ในใจรู้สึกเจ็บปวดแทนเธอ เธอพยายามอย่างมากที่จะได้รับการยอมรับจากซูหว่าน แต่ว่าอีกฝ่ายล่ะ?
ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี
เมื่อเห็นหลัวอวี่พูดถึงซูหว่านด้วยสีหน้าเย็นชา เจี่ยงโยวก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากของตัวเองไว้ “เสี่ยวหว่านก็จิตใจดีมากเหมือนกัน เธอเพียงแค่เข้าใจฉันผิด หากเธอไม่เข้าใจผิด ทุกอย่างก็คงดีขึ้น หลัวอวี่คุณไม่ต้องต่อต้านเธอแล้ว ความจริงเธอ…เสี่ยวหว่านชอบคุณมากจริงๆ ”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเจี่ยงโยวก็เปลี่ยนเป็นสับสน ที่จริงเธอเองก็ชื่นชมผู้ชายที่ยอดเยี่ยมและสง่างามแบบหลัวอวี่ แต่ทว่า เมื่อใดก็ตามที่เจี่ยงโยวนึกถึงท่าทางที่ไร้วิญญาณของซูหว่านตอนอกหัก เธอก็บังคับตัวเองไม่ให้ “คิดเพ้อฝัน” อะไรกับหลัวอวี่
“เธอชอบผม? แล้วคุณล่ะ? คุณไม่ชอบผมเลยเหรอ?”
หลัวอวี่ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยงโยว จึงรีบพุ่งออกไปด้านหน้าทันที ชั่วพริบตาเดียวร่างสูงก็กดร่างบางของเจี่ยงโยวติดโต๊ะด้านข้าง
มองใบหน้าหล่อนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจของเจี่ยงโยวเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
“ฉัน…….ฉัน…….”
หน้าของเจี่ยงโยวแดงก่ำ น้ำเสียงนั้นอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “ฉัน……ฉันไม่ได้”
“ไม่ได้เหรอ? งั้นคุณจะหน้าแดงทำไม? ”
หลัวอวี่มองใบหน้าของเจี่ยงโยวที่แดงก่ำด้วยความเขินอาย อดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้าใกล้อีกนิด ขนตายาวๆ ของเขากำลังจะแตะเข้าที่แก้มของเจี่ยงโยว และในตอนนี้ เสียงอ่อนแอของหญิงสาวก็ดังจากนอกห้องเรียน “เจี่ยง เจี่ยงโยว หน้าประตูโรงเรียนมีคนตามหาคุณอยู่ พวกเขาบอกว่า……พวกเขาเป็นเพื่อนของคุณ! ”
สวี่นั่วยืนทำหน้าลำบากใจอยู่นอกห้อง เธอคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้เห็นฉากแบบนี้
หรือว่ารุ่นพี่หลัวอวี่กับเจี่ยงโยวจะคบกันแล้วงั้นเหรอ?