ตอนที่หลัวอวี่พาหมอประจำตระกูลหลัวรีบมาที่บ้านตระกูลซูนั้น หมอกัวยังไม่ได้ออกมา เพราะก่อนหน้านี้ที่หลัวอวี่กับซูหว่านเคยคบหากันนั้น เขาเคยมาที่บ้านตระกูลซูหลายครั้ง ดังนั้นคนรับใช้ในบ้านตระกูลซูจึงไม่ได้ขัดขวางหลัวอวี่และคนที่เขาพามา
ขึ้นมาบนชั้นสองคุ้นเคยเส้นทางอย่างดี หลัวอวี่พยักหน้าให้เจี่ยงโยว ก่อนส่งสัญญาณให้เธอไม่ต้องกังวล จากนั้นหันไปมองซูไห่เฉิงที่อยู่ด้านข้าง “คุณอาซู คุณน้าเหวินเป็นยังไงบ้างครับ”
เมื่อได้ยินคำถามของหลัวอวี่ ซูไห่เฉิงก็ส่ายหัวเล็กน้อย “คุณหมอกัวยังไม่ออกมา ยังไม่รู้แน่ชัดถึงสถานการณ์ข้างใน”
พูดมาถึงตรงนี้ ซูไห่เฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง
“คุณอาซูอย่าร้อนใจไปเลยนะครับ คุณหมอกัวเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศ น่าจะช่วยคุณน้าเหวินได้ อีกทั้งครั้งนี้ผมพาหมอประจำตัวของคุณปู่มาด้วย หากมีอะไรที่สามารถช่วยได้ คุณอาซูก็ไม่ต้องเกรงใจ”
สามชั่วอายุคนของตระกูลหลัวเป็นขุนนาง แม้ว่าปู่ของหลัวอวี่จะเกษียณอายุแล้ว แต่เขาก็เป็นบุคคลที่มีอำนาจในเมือง D ที่แค่กระทืบเท้า ก็สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และหมอประจำตัวของเขาก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ คนทั่วไป ถึงจะมีเงินก็หาไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวอวี่ในเวลานี้ ดวงตาของซูไห่เฉิงก็สว่างวาบขึ้นทันที เขาก็หันไปมองชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทาที่ตามมาด้านหลังหลัวอวี่ มองตามสายของซู่ไห่เฉิง ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยให้เขา “คุณชายหลัว … ”
ซู่ไห่เฉิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกหลัวอวี่ยิ้มอ่อนๆ พลางขัดจังหวะว่า “คุณน้าเหวินเป็นแม่ของเสี่ยวโยว และก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของผม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผมควรทำ”
“หลัวอวี่ ขอบคุณนะ! ”
เจี่ยงโยวที่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของหลัวอวี่ประโยคนี้ มองเขาด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
“ยัยเด็กโง่ คุณน้าจะต้องไม่เป็นไร คุณวางใจเถอะ! ”
หลัวอวี่ยิ้มให้เจี่ยงโยว ยกมือขึ้นลูบผมของเธอเบาๆ เจี่ยงโยวหลุบสายตาลงทันทีด้วยความเขินอายเล็กน้อย
สำหรับหลัวอวี่ ความคิดของซูไห่เฉิงก็ซับซ้อน ตอนแรกที่ซูหว่านและหลัวอวี่คบหากัน ซูไห่เฉิงหวังว่าหลัวอวี่จะมาเป็นลูกเขยของตนเอง แบบนี้เขาจะได้มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังในเมืองเพิ่มอีกหนึ่งคน แต่นับตั้งแต่หลัวอวี่เลิกกับซูหว่าน เขาก็เริ่มตามจีบเจี่ยงโยวอีก นี่ซึ่งทำให้ซูไห่เฉิงปวดหัวจริงๆ
เด็กทั้งสองคนนี้ต่างเป็นลูกสาวของเขา แม้ว่าซูหว่านจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ตนเองก็เลี้ยงดูมาสิบปี ทะนุถนอมมาสิบกว่าปี ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกสาวไม่มีทางตัดขาดได้ และตอนนี้สองพี่น้องก็ต้องมาผิดใจ เป็นศัตรูต่อกันเพราะผู้ชายคนเดียว สิ่งนี้ทำให้ความปรารถนาที่จะพึ่งพาตระกูลหลัวของซูไห่เฉิงจางหายไปไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เหวินซูป่วยหนัก และซูอวี้ประสบอุบัติเหตุ จู่ๆ ซูไห่เฉิงก็รู้สึกว่าไม่ว่าโลกนี้จะมีอำนาจและความมั่งคั่งมากแค่ไหน ก็ไม่อาจซื้อชีวิตของญาติพี่น้องสุขภาพของคนที่รักกลับมาคืนได้
ความมั่งคั่งร่ำรวย ก็เป็นแค่เมฆหมอกเท่านั้น
ตอนนี้ซูไห่เฉิงไม่ได้มีความคิดอยากจะพึ่งพาตระกูลหลัวอย่างนั้นในตอนแรก แต่เมื่อเห็นหลัวอวี่ปฏิบัติต่อเจี่ยงโยวอย่างจริงใจ ทั้งยังพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อตระกูล ซูไห่เฉิงก็เบาใจแล้ว แต่ซูหว่าน …
ซูไห่เฉิงชำเลืองมองซูหว่านที่ยืนพิงประตูด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเธอในขณะนี้ แต่ …
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูขัดจังหวะความคิดของซูไห่เฉิง และทำให้ทุกคนที่ประตูเงยหน้าขึ้น และมองไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว ชายชราในชุดชาวเขาสีดำได้รับการประคองจากชายหนุ่ม ค่อยๆ เดินออกมาอย่างช้าๆ สีหน้าของชายชราขาวซีดเล็กน้อย หน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยหยดเหงื่อ
“หมอกัว! ”
ซูไห่เฉิงมองไปยังชายชราที่อยู่ตรงปากประตูด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย “ที่รักของผม ที่รักของผมเธอฟื้นแล้วหรือยัง”
ได้ยินคำถามของซูไห่เฉิง สีหน้าของหมอกัวก็ค่อยๆ สลดลง “คุณซู หมอพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ร่างกายของคุณผู้หญิง…เฮ้อ”
หมอกัวถอนหายใจหนึ่งครั้ง สบตามองที่ใบหน้าของซูไห่เฉิง “ขอโทษที่ผมไร้ความสามารถ”
เป็นไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
ซูไห่เฉิงได้ยินคำพูดของหมอกัว ชั่วพริบตาหน้าก็ขาวซีดด้วยความตกใจ ร่างสูงใหญ่ก็เซถลาไปสองก้าวอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ สะกดกลั้นความผิดหวังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ซูไห่เฉิงสองมือหยิบเช็คออกจากหน้าอกหนึ่งใบ ส่งให้หมอกัวอย่างสั่นเทา “ลำบากคุณหมอแล้ว ผมให้คนขับรถส่งคุณหมอกลับไปนะครับ”
หมอกัวส่ายหน้า ไม่ได้รับเช็คใบนั้นไป “ตอนนั้นผมก็มีการติดต่อกับตระกูลเหวินอยู่ไม่น้อย ค่ารักษาวันนี้ผมขอไม่รับนะครับ”
พูดจบหมอกัวก็ค่อยหันหน้าไปมองคนหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ตนเอง หนุ่มนั้นก็คือลูกศิษย์ของหมอกัว ได้รับคำสั่งของอาจารย์ เขาก็รีบประคองหมอกัวเดินไปที่บันได “ผมจะส่งท่านอาจารย์กลับไปเองไม่ต้องรบกวนคุณซูแล้วครับ”
เห็นลูกศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนค่อยๆ เดินจากไป ซูไห่เฉิงก็รีบหมุนตัวไปเหมือนกับจะคว้าฟางข้าวที่ช่วยชีวิตคนเส้นสุดท้ายเอาไว้แล้ว สายตาเปล่งประกายมองไปยังหลัวอวี่และหมอคนนั้นที่เขาพามา
“คุณหมอสวี รบกวนคุณแล้ว”
หลัวอวี่ฉลาดมีไหวพริบ แน่นอนว่าไม่ต้องรอให้ซูไห่เฉิงเอ่ยปาก เขาก็สั่งนำหน้าก่อนไปแล้วหนึ่งประโยคคุณหมอสวีคนนั้นได้ยินคำพูดของหลัวอวี่ ก็พยักหน้าเดินเข้าไปในห้องนอนของเหวินซูทันที ภายในห้องนอนนี้ได้มีการเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์เอาไว้มากมายแล้ว ส่วนใหญ่คือของที่ซูอวี้เตรียมไว้เมื่อก่อนนี้ ก็นับว่าเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในระดับนานาชาติแล้ว
มองเห็นคนไข้ที่นอนหมดสติไม่ฟื้นอยู่บนเตียง หมอสวีสวมถุงมือทางการแพทย์ที่ตนเองพกติดตัวมา จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์ที่เตรียมเอาไว้ภายในห้องนาน แล้วมาเริ่มทำการตรวจขั้นพื้นฐาน…
เวลาแต่ละวินาที แต่ละนาทีผ่านไป การรอคอยเป็นสิ่งที่ผ่านไปได้ยากที่สุดเสมอ
ซูไห่เฉิงผ่านความผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำ และเจี่ยงโยวก็ถูกหลัวอวี่โอบเบาๆปลอบโยนอยู่ในอ้อมอก
ซูหว่านยังคงพิงอยู่ข้างเตียงเพียงคนเดียว ก้มหน้าก้มตา มองนาฬิกาบนข้อมือ ใกล้แล้ว จากห้องทำงานของซูรุ่ยมาถึงบ้านตระกูลซูในสถานการณ์ปกติต้องใช้เวลาสี่สิบห้านาที แน่นอนว่า ถ้าผ่าไฟแดงมาตลอดทางก็อาจจะประหยัดเวลาไปสิบนาที
ปัง!
ขณะที่ซูหว่านกำลังคำนวณเวลาอยู่นั้น ประตูใหญ่ของคฤหาสน์จู่ๆก็ถูกคนจากด้านนอกเปิดเข้ามาอย่างแรง
“ขอโทษนะครับ มือมันลื่น”
ซูรุ่ยที่ยังคงสวมชุดสีน้ำเงินของที่ทำงาน ยิ้มด้วยสีหน้าใสซื่อให้กับคนในคฤหาสน์ และที่ตามมาข้างหลังเขาคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลซู
“คุณซูครับ ผู้ชายคนนี้พยายามที่จะบุกเข้ามา แม้แต่เวลาที่จะมาแจ้งก็ยังไม่มี พวกเราขวางเขาไม่อยู่”
“ช่างเถอะ ออกไปให้หมด! ”
ซูไห่เฉิงในตอนนี้ ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจประตูคฤหาสน์กับการมาโดยไม่ได้รับเชิญของซูรุ่ย?
บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่นอกประตูได้ยินคำสั่งของเจ้านายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที รีบถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง โอ้ย เงินโบนัสเดือนนี้ยังไม่หลุดลอยไป~
ซูรุ่ยมาที่บ้านตระกูลซูเป็นครั้งแรก มองเห็นสีหน้าแตกตื่นของบรรดาผู้คนที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้นบน ซูรุ่ยรีบหุบยิ้มบนใบหน้ารีบเดินขึ้นมาชั้นสอง ตรงไปที่ซูหว่าน “ที่รัก เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“แม่หมดสติแล้ว ถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้น”
ซูหว่านซุบซิบกับซูรุ่ยหนึ่งประโยคเบาๆ
ได้ยินคำพูดนี้ ซูรุ่ยสายตาก็หรี่เล็กลง แม้ว่าชะตาชีวิตของเหวินซูจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ว่า เธอไม่ควรจะหมดสติไปตอนนี้เด็ดขาด!
ตามเนื้อเรื่องเดิม เหวินซูต้องรอจนกระทั่งซูหว่านถูกส่งไปเป็นทหารปลายแถว ร่างกายจึงแย่ลงทุกวัน สุดท้ายก็ตายไปในขณะที่หมดสติ
สบตากับซูหว่านแวบหนึ่ง ซูรุ่ยก็เข้าใจความคิดของซูหว่านทันที เขาดึงมือของซูหว่านเบาๆ พยักหน้าให้เธอเล็กน้อย
ตัวแปรทั้งหมดล้วนมีเหตุมีผลที่แน่นอน เช่นนั้นเหวินซูที่จู่ๆ ก็หมดสติไป เป็นเพราะซูรุ่ยฆ่าซูอวี้ไปแล้วใช่หรือไม่
วินาทีนี้ทั้งสองคนก็ไม่แน่ใจความเกี่ยวพันกันของทั้งสองเรื่อง ได้แต่รอข่าวดีจากคุณหมอสวีคนนั้น
ไม่นาน ในที่สุดประตูห้องก็เปิดขึ้นอีกครั้ง คุณหมอสวีไม่ได้อ่อนล้าอย่างนั้นเหมือนหมอกัว แต่ว่าสีหน้าของเขาก็ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหมอสวี คุณน้าเหวินเป็นยังไงบ้าง”
หลัวอวี่เอ่ยถามเป็นคนแรก ได้ยินคำถามของเขา คุณหมอสวีลังเลเล็กน้อยพลางส่ายหน้า “อาการของคุณผู้หญิงซูแย่มาก ผมตรวจเธอหลายอย่าง พบว่าในร่างกายของเธอมีสารพิษที่ไม่ทราบชนิดอย่างหนึ่ง สารพิษชนิดนี้ได้แพร่กระจายไปในหลอดเลือด และเส้นลมปราณทั่วร่างของเธอ ผมสงสัยว่าสารพิษที่ไม่รู้จักนี้เป็นตัวการที่ทำให้เธอหมดสติไม่ฟื้นขึ้นมาแต่ตอนนี้ เกี่ยวกับสารพิษชนิดนี้ผมยังอับจนหนทาง วันนี้ผมได้เก็บตัวอย่างแล้ว เตรียมนำกลับไปวิจัย แต่ … ”
หยุดชะงักไปเล็กน้อย สายตาของคุณหมอสวีค่อยๆ มองไปยังซูไห่เฉิง “ต้องวิเคราะห์สารพิษชนิดนี้ให้ออกว่ามีสารอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง จำเป็นต้องใช้เวลาสองเดือนขึ้นไป ผมเกรงว่า…คุณผู้หญิงซูเธอคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหว”
คุณหมอสวีพูดอย่างนุ่มนวล ความจริงแล้วกลับเหมือนกับหมอกัว คือทำอะไรไม่ได้เลย เกี่ยวกับสภาพร่างกายของเหวินซูในตอนนี้
ผิดหวังอีกครั้ง หรืออาจจะสิ้นหวัง
สายตาของซูไห่เฉิงในเวลานี้ว่างเปล่า วินาทีนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดจา ไม่รู้เลยว่าตนเองควรจะแสดงออกทางสีหน้าอย่างไร
และตอนนี้เอง ซูรุ่ยที่อยู่ข้างซูหว่านจู่ๆ ก็แวบเข้าไปในห้องนอน “ผมลองดูหน่อยนะครับ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น พอซูรุ่ยโบกมือ ประตูห้องนอนก็ถูกปิดอย่างแรง
เสียงดัง ปึง เสียงประตูปิดอย่างแรงทำให้ซูไห่เฉิงตั้งสติกลับมาจากห้วงความสิ้นหวัง
“เขา…”
ปฏิกิริยาตอบโต้ของซูไห่เฉิงก็ยังช้าเล็กน้อย ส่วนหลัวอวี่ที่อยู่อีกด้านก้าวมาด้านหน้า อยากจะผลักประตูเปิด
“ใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรบกวนเขา! ”
ตอนนี้จู่ๆ ซูหว่านก็ยกแขนขึ้นมาขวางร่างหลัวอวี่เอาไว้
“ซูหว่าน เธอจะปล่อยให้เขามาวุ่นวายอย่างนี้? ถ้าหากคุณน้าเหวินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เธอรับผิดชอบไหวหรอ”
หลัวอวี่หถูกซูหว่านขวางทางไว้ หลุบสายตาอย่างทนไม่ไหว มองคนที่อยู่ตรงหน้าตนเองด้วยสีหน้าเย็นชา
“เขาเป็นแม่ฉัน ฉันรับผิดชอบไม่ไหวได้ยังไง”
ซูหว่านสายตาเย็นยะเยือก มองหลัวอวี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือบ้านตระกูลซูของพวกเรา ไม่ต้องให้คนนอกอย่างคุณมาคอยชี้นิ้วสั่งการส่งเดช! ”
“คนนอก? ”
มุมปากของหลัวอวี่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เยาะเย้ยดูถูก “ใครกันแน่ที่เป็นคนนอกในใจน่าจะรู้ดี! ”
จู่ๆ หลัวอวี่พูดพลางหันไปมองซูไห่เฉิงที่อยู่ด้านหลัง “คุณอาซู คุณจะปล่อยให้สองคนนี้มาวุ่นวายในบ้านพวกคุณอย่างนี้เหรอครับ”
“คุณพ่อ”
ไม่รอให้ซูไห่เฉิงเอ่ยปากพูด ซูหว่านเอาตัวมาขวางที่ประตูเอาไว้ มองซูไห่เฉิงที่เศร้าเสียใจอย่างแน่วแน่ “ถ้าหากคุณพ่อเชื่อหนู ก็ให้โอกาสนี้กับพวกเรา หากคุณพ่อไม่เชื่อ หนูก็จะพาเซียวฉี่ไปจากที่นี่ทันที ไม่อยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียวเด็ดขาด! ”
การหมดสติของเหวินซูมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร ซูหว่านและซูรุ่ยก็จำเป็นต้องตรวจสอบให้กระจ่างชัด ไม่ว่าภารกิจอะไรในโลกใบนี้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทั้งหมดต่างสามารถนำความยุ่งยากวุ่นวายที่คาดเดาไม่ได้มาสู่ผู้ทำภารกิจ และสิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้ก็คือ กำจัดปัญหาและอันตรายทั้งหมดในแหล่งกำเนิดอารยธรรม …