หลังจากคืนวันคริสต์มาส เฟิงเหิงก็หยุดพักการเป็นเวลาเรียนสามวัน
ในช่วงเที่ยงของวันที่สองซูหว่านถึงค่อยกลับไปบ้านตระกูลซูพร้อมกับซูรุ่ย หลังจากเดินพ้นประตูบ้านเข้ามาก็เห็นซูไห่เฉิงที่นานๆ จะว่างซะทีนั่งทานข้าวอยู่กับเหวินซู
สีหน้าของเหวินซูดูดีขึ้นมาก แต่ว่าซูรุ่ยก็ได้บอกกับเธอไปแล้ว ว่าต่อให้ตอนนี้พิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายจะถูกขับออกไปหมดแล้ว แต่จากสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้ เธอก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่สองปีเท่านั้น
เหวินซูที่รับรู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนั้น ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจมากเท่าที่ควร ตอนนี้เธอจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับญาติๆ กับคนรักให้คุ้มค่ามากที่สุด
“เสี่ยวหว่าน เซียวฉี่ พวกเธอกลับมากันแล้วเหรอ พอดีเลย มากินข้าวด้วยกันมา”
เหวินซูยิ้มน้อยๆ กวักมือเรียกทั้งคู่ ซูหว่านยิ้มให้เธอ “แม่คะ หนูกับเซียวฉี่กินมาจากข้างนอกแล้วค่ะ พ่อกับแม่ค่อยๆ กินกันไปเถอะ จริงสิ” ซูหว่านมองไปตรงที่นั่งว่างเปล่าบนโต๊ะอาหาร “เจี่ยงโยวยังไม่กลับมาเหรอคะ? ”
“นานๆ ลูกจะนึกเป็นห่วงพี่สาวของลูกสักทีนะ”
ซูไห่เฉิงค่อยๆ วางตะเกียบลงมองมาทางซูหว่านแวบหนึ่ง “เมื่อวานนี้อาจารย์ประจำชั้นของลูกโทรมาบอกว่าวันนี้จะพาเสี่ยวโยวไปร่วมกิจกรรมศิลปะการต่อสู้ เสี่ยวหว่าน ลูกจะต้องเอาอย่างพี่เขาบ้างนะ แน่นอนว่าพ่อกับแม่ไม่ขอให้ลูกสอบให้ได้สามอันดับแรก ขอแค่ลูกไม่ไปวนเวียนอยู่แถวอันดับท้ายๆ ก็พอแล้ว”
ซูหว่าน “…”
ต้องขออภัยให้กับเจ้าของร่างเดิมด้วย ถึงแม้ว่าหน้าตาจะเป็นถึงดาวโรงเรียน แต่เกรดเฉลี่ยอยู่หางแถว
ถ้าหากเทียบกันแล้ว เจี่ยงโยวที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ กลับขยันตั้งใจเรียนจนสอบปลายภาคเทอมที่แล้วถึงกับสอบได้ที่หนึ่งของห้อง
เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าสองสามีภรรยาตระกูลซู จึงไม่มีความสงสัยในคำโกหกของหมาป่าเวินเลยแม้แต่น้อย ยังจะมอบลูกสาวให้เขาไปยังวางใจได้อีก
“รู้แล้วค่ะ เทอมนี้หนูจะพยายามสอบให้ได้สามอันดับแรกเลย”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้ว ซูหว่านก็รีบดึงมือของซูรุ่ยวิ่งขึ้นชั้นบนไป อันที่จริงแล้วถ้าเธอคิดจะสอบให้ได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนก็ไม่ใช้ปัญหา แต่ว่าซูหว่านก็แค่ไม่อยากให้มีปัญหาอะไรที่ไม่จำเป็นตามมา รอหลังปีใหม่ คนที่เธอรอมาตลอดก็น่าจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว
จิงเลี่ย
หัวหน้าแก๊งเพลิงผลาญแห่งเมือง D
ในเนื้อเรื่องเดิมจิงเลี่ยเคยถูกเจี่ยงโยวช่วยเอาไว้ ทั้งสองคนก็ถือว่าร้อนแรงกันเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับเวินเหวินเฮ่าที่ค่อนข้างเจ้าชู้แล้ว จิงเลี่ยก็ถือได้ว่าเป็นคนที่รักแบบหัวปักหัวปำกว่าเยอะเลยละ และคนที่หัวปักหัวปำอย่าง…ลูกพี่ใหญ่ ก็เป็นคนที่ขี้เก๊กและอันธพาลเป็นที่สุด ขอแค่คนที่คิดไม่ดีกับเจี่ยงโยว ก็จะถูกเขาเก็บกวาดไปหมด เจ้าของร่างเดิมซูหว่าน ก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกจิงเลี่ยเก็บกวาดไปด้วยเหมือนกัน
ซูรุ่ยก็อยากที่จะหาวันว่างได้พักผ่อนสักวันหนึ่ง เขาก็ต้องตามติดกับที่รักไม่อยากให้ห่างกายเป็นธรรมดา และในเช้าของวันที่สอง เมื่อซูรุ่ยออกไปทำงานด้วยใบหน้าอันสดชื่น ก็ต้องมาเจอเข้ากับเจี่ยงโยวที่มารออยู่หน้าบริษัทของเขาแล้ว
“พี่ใหญ่เซียว”
เมื่อปรายตาไปเห็นร่างของซูรุ่ย เจี่ยงโยวก็รีบลุกขึ้นยืนร้องเรียกเขาเอาไว้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา รอบดวงตาของเธอก็เริ่มแดงก่ำขึ้นมาทันที
เจี่ยงโยวรู้สึกว่าสองวันมานี้ ตัวเองเหมือนอยู่ในความฝันเลย เริ่มแรกเลิกรากับหลัวอวี่ จากนั้นก็กับอาจารย์เวิน…
เธอวิ่งหนีออกมาจากบ้านของเวินเหวินเฮ่า เดินเปล่าเปลี่ยวอยู่บนถนนที่ไม่คุ้นเคย อยู่ๆ เจี่ยงโยวก็เริ่มคิดถึงบ้านเกิดในตำบลเล็กๆ นั้น คิดถึงเพื่อนเล่นในวัยเด็ก เธอจึงอยากที่จะโทรหาเซียวฉี่ แต่น่าเสียดายที่เซียวฉี่ได้ทำการบล็อกเบอร์โทรของเธอไปตั้งนานแล้ว
โชคดีที่เธอยังมีเบอร์โทรของเซียวหยุนอี้อยู่ เธอจึงทำการต่อสายตรงไปหาเขาถึงสถานที่ถ่ายทำ เซียวหยุนอี้ที่กำลังถ่ายทำอยู่ ที่จริงเขาได้มีการติดต่อกับพี่ชายของเขาอยู่ตลอด เขาเป็นที่คิดอะไรง่ายๆ เห็นว่าเจี่ยงโยวโทรมาขอที่อยู่ที่ทำงานของพี่ชาย เขาก็รีบส่งไปให้โดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
ปรากฏว่า ซูรุ่ยก็เลยมาเจอเข้ากับเจี่ยงโยวแบบจังๆ แบบนี้
พอซูรุ่ยเห็นเจี่ยงโยวเข้าก็เริ่มหัวร้อนขึ้นมาทันที คุณนางเอกคนนี้จะฆ่าก็ไม่ได้ จะตีก็ไม่อยากลดตัวลงไปตี แล้วยังจะถูกเธอตามตื๊อไม่ลดราวาศอกอีก
เมื่อก่อนตอนที่แม่ทัพเริ่มดูซีรีส์ที่มีพวกนางเอกที่กำจัดยาก เหมือนแมลงสาบในทีวีและในคอมพิวเตอร์ ก็มีความรู้สึกว่าพวกเธอเหล่านั้นน่ารำคาญมากแล้ว พอมาเจอเข้ากับเจี่ยงโยวจึงทำให้แม่ทัพรู้ซึ้งถึงคำว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า
“พี่ใหญ่เซียว”
เมื่อเห็นว่าซูรุ่ยไม่สนใจตัวเอง เจี่ยงโยวจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันเบาออกไป น้ำตาก็ไหลจากกรอบดวงตามากขึ้น
เมื่อไม่มีความทะนุถนอมเอาใจใส่ของหลัวอวี่แล้ว เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นคนแรกที่เจี่ยงโยวคิดถึงก็คือเซียวฉี่
ความทรงจำในวัยเด็กพวกนั้น เหมือนเป็นเชือกฟางที่คอยช่วยชีวิตของเธอไว้ เธอถึงกับเคยคิดว่าต่อให้คนทั้งโลกต่างก็ทอดทิ้งเธอไป แต่พี่ใหญ่เซียวจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปเด็ดขาด
ในหลักความเป็นจริง ตัวประกอบเซียวฉี่คนนี้เป็นคนเดียวในโลกนี้ที่จะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไปจริงๆ
เขาแอบปกป้องดูแลเธออย่างเงียบๆ มาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่เจี่ยงโยวมองไม่เห็นถึงความรู้สึกนี้ และยิ่งไม่รู้จักรักษาผู้ชายแบบนี้เอาไว้ให้ดี หลังจากที่เธอเข้าเรียนที่เฟิงเหิงแล้ว เธอก็ค่อยๆ ถูกความยิ่งใหญ่ของหลัวอวี่ดึงดูดไป หลังจากที่คบหากับหลัวอวี่ เจี่ยงโยวก็เริ่มใช้ความเป็นห่วงของตัวเอง มีความสัมพันธ์ที่ไม่บริสุทธิ์พัวพันอยู่กับเพื่อนรักของหลัวอวี่อย่างหลิงฉิงไม่เลิก ต่อมาก็ถูกเวินเหวินเฮ่ากินจนไม่เหลือ
ความรักที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
เจี่ยงโยวที่ยังอายุน้อยและใจอ่อน ที่มีเพียงวิชาศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเธออยู่ในสนามรักกลับเป็นคนโลเลที่ไม่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับการดูแลเอาใจใส่ของหนุ่มๆ ทั้งหลาย เธอไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธ ในใจคิดว่าไม่อยากที่จะทำร้ายใคร แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่หยุดที่จะปล่อยสัญญาณกำกวมให้กับคนพวกนั้นไม่เลิก
ความโลเลของผู้หญิงก็เท่ากับความเจ้าชู้ของผู้ชาย
ในโลกเดิมนั้น หลัวอวี่เป็นผู้ชายคนแรกของเจี่ยงโยว และด้วยใจที่อยากจะรับผิดชอบของหลัวอวี่ ทำให้ทนอยู่กับเจี่ยงโยวมาโดยตลอด จนเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของเจี่ยงโยวและเวินเหวินเฮ่า ตอนนั้นเป็นเพราะว่า ความรักที่หลัวอวี่มีต่อเจี่ยงโยวนั้นมีมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะอยากจะเลิกมากแค่ใน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว “รักแท้” ก็เอาชนะทุกสิ่ง…
เรื่องราวความรักแบบที่ว่า เป็นเพราะว่าฉันรักเธอ เพราะฉะนั้นต่อให้ในขณะที่เธอรักฉัน แต่เธอก็รักคนอื่นด้วย ฉันก็ไม่ถือสาหรอก ต้องขออภัยให้แม่ทัพซูด้วยที่ไม่สามารถเข้าใจในความรักแบบนี้ได้จริงๆ
ฉันรักเธอ และเธอเองก็รักฉัน
พวกเราต่างมีความรักที่ลึกซึ้งให้แก่กัน มองว่าเธอคือหนึ่งเดียวของฉัน
ซูรุ่ยรู้สึกว่า ถ้าหากว่าความรักที่แท้จริงมีคำอธิบายออกมาได้ล่ะก็ มันก็คงจะเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้นไอ้พวกเพราะว่ารักแท้ จึงสามารถแบ่งปันคนรักกับผู้ชายคนอื่นๆ ได้ เพราะว่ารักแท้ เลยยอมให้ผู้ชายที่เรารักไปมีผู้หญิงคนอื่นได้มากมาย คนเหล่านี้ซูรุ่ยมองว่าพวกเขาเป็นคนที่พิการทางสมองอย่างรุนแรง และเป็นกลุ่มคนที่ถอดใจ และล้มเลิกที่จะรักษาไปแล้ว
และในตอนนี้ ตรงหน้าของซูรุ่ยก็มีบุคคลลักษณะนี้ยืนอยู่หนึ่งคน
“เธอไม่ได้ออกไปกับอาจารย์เวินหรอกเหรอ? ”
ซูรุ่นเห็นท่าทางจะร้องแหล่มิร้องแหล่ของเจี่ยงโยวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งถามออกไป “เธอกลับมาคนเดียวเหรอ? แล้วทำไมถึงยังไม่กลับบ้านละ? ”
“พี่ใหญ่เซียว! ”
เมื่อได้ยินซูรุ่ยพูดถึงเวินเหวินเฮ่า สีหน้าของเจี่ยงโยวก็เปลี่ยนไปทันที ภาพความทรงจำของเมื่อคืนนี้ยังชัดเจนอยู่ในหัวสมองของเธออยู่เลย
เรื่องมาถึงตอนนี้ เจี่ยงโยวไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดเรื่องนี้กับเซียวฉี่ยังไงดี มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะเอ่ยออกไปจริงๆ แต่ว่า…
ในใจของเธอช่างทรมานเหลือเกิน เธอคิดถึงไหล่ผึ่งผาย และอ้อมกอดที่อบอุ่นของพี่ใหญ่เซียวเมื่อก่อนนี้เหลือเกิน
จริงสิ เมื่อคืนนี้ตอนที่เวินเหวินเฮ่าอุ้มเธอออกไปจากฟลอร์เต้นรำนั้น เธอซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดนั้น อันที่จริง ในใจของเธอกลับคิดถึงแต่เซียวฉี่อยู่ตลอดเวลา
เธอรู้สึกว่าอ้อมกอดนั้นอบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของเซียวฉี่ ทุกครั้งตอนที่เธอรู้สึกแย่ที่สุด ตอนที่ต้องการให้ใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือ เซียวฉี่มักจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอเสมอ
น่าเสียดาย ที่มันกลายเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว…
ในเนื้อเรื่องเดิม เจี่ยงโยวที่มีหลัวอวี่คอยปกป้องดูแล เธอใช้เวลาทั้งชีวิตรักผู้ชายไปมากมาย แต่กลับไม่เคยรับรู้ได้ถึงความดีของเซียวฉี่เลย
แต่ในตอนนี้ เจี่ยงโยวที่เจอเรื่องราวแย่ๆ มาไม่ขาดสาย กลับเพิ่งจะมารู้สึกตัวว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเซียวฉี่นั้นมันไม่เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้ว
ถ้าหากว่านี่เป็นเนื้อเรื่องที่นางเอกตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ ถ้าอย่างนั้นคุณนางเอกคงอยากที่จะตาย แล้วรีบกลับมาเกิดใหม่ซะเดี๋ยวนี้เลย หลังจากนั้นก็ย้อนกลับไปสู่ช่วงวัยเด็ก แล้วไปรักกับเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันของตนเอง ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขต่อไป
แต่น่าเสียดาย ที่พล็อตเรื่องในครั้งนี้ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ