คืนอันหนาวเหน็บของต้นฤดูใบไม้ผลิสายลมยังคงหนาวไปจนถึงกระดูก
ภายในย่านเมืองเก่าทางตอนเหนือของเมือง
D เวลายังไม่ถึงสองทุ่มท้องฟ้าก็มืดตึ๊ดตื๋อ
คนเดินถนนบางตา ร้านค้าสองข้างทางก็ปิดร้านเลิกงานกันไปก่อนแล้ว
โคมไฟส่องถนนที่ดูขมุกขมัวฉายให้เห็นเงายาว ๆ
ที่สะท้อนกลับด้านอยู่ตรงถนนอย่างเดียวดาย
เงาผอมบางเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดที่เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็มีรถส่วนบุคคลแล่นจากมุมถนนเข้ามาอย่างช้า ๆ
พอเห็นรถคันนั้นเงาร่างนั่นก็ดูราวกับจะตกใจกลัวและพุ่งเข้าไปในซอยตันข้าง ๆ
ที่ไม่มีผู้คน
ภายในซอยไม่มีโคมไฟ
ข้างกำแพงกองพูนด้วยขยะที่ทิ้งกันเป็นประจำ และใกล้ ๆ
กองขยะก็เป็นที่พักพิงชั่วคราวของสุนัขจรจัดสองตัว
“โฮ่ง โฮ่ง! โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”
จู่ๆ
ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญพุ่งเข้ามาในซอยอย่างกะทันหัน
สุนัขจรจัดที่อยู่ในซอยตื่นตระหนกตกใจ พวกมันอดไม่ได้ที่จะเห่าตะโกนเสียงดัง
แล้วเงาร่างที่ดูร้อนรนนั่นก็ยกเท้าเตะส่ง ๆ ออกไปในความมืดสองสามที “อย่าเห่า!
อย่าเห่านะ!”
เป็นเสียงแหบต่ำของผู้หญิงที่จงใจกดเสียงให้เบาลง
สุนัขจรจัดสองตัวดูแล้วไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่
พอโดนเตะถูกก็ล้มลงไปกองกับพื้นพลางร้องเอ๋ง ๆ ออกมา
“ก็บอกพวกเธอแล้วไงว่าอย่าเห่า”
เจี่ยงโยวกระชับเสื้อคลุมบาง
ๆ ตัวนั้นให้แน่นหนาขึ้น เธอขมวดคิ้วรู้สึกเหมือนที่ปลายเท้าจะเหยียบถูกอะไรเข้า
นี่คือ…
พอสายตาของเจี่ยงโยวเริ่มคุ้นชินกับความมืดในซอยแล้ว
เธอก็ก้มศีรษะลงไปมองใต้เท้าของตัวเอง ดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้น
เธอ…เหยียบแขนของคนผู้หนึ่งเข้า?
ช่วงที่กำลังสับสนอลหม่าน
เจี่ยงโยวก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งออกไปทันที
การตายของเวินเหวินเฮ่าได้ทิ้งเงามืดที่ไม่อาจลบล้างในใจเธอไปแล้ว
คืนนั้นภายในห้องใต้ดินอันมืดมิดนั่น
เธอถูกเวินเหวินเฮ่าที่กำลังเสียสติทำร้ายสารพัดเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ประจวบกับตอนที่เธอกำลังสิ้นหวังและนึกว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ในนั่นแล้วนั้น จู่ ๆ
เวินเหวินเฮ่าก็ล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าซีดเผือก เขากลิ้งไปมาอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้น
ขณะที่เวินเหวินเฮ่ากำลังดิ้นอยู่กับพื้น
เจี่ยวโยวก็อาศัยจังหวะหยิบมีดที่พื้นขึ้นมาตัดเชือก
เธอในตอนนั้นบาดเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว แต่เพื่อเอาชีวิตรอดเธอจึงดึงพลังที่ซ่อนเร้นของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
เพียงแต่ตอนที่เธอกำลังหลบหนีอยู่นั้น จู่ ๆ
เวินเหวินเฮ่าที่มีเลือดไหลไม่หยุดก็เข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้
ระหว่างที่คนสองคนกำลังยื้อยุดกันอยู่
เจี่ยงโยวก็ใช้มีดบนมือแทงทะลุหัวใจเวินเหวินเฮ่า
เลือดอุ่นร้อนกระเด็นเข้าหน้าเจี่ยงโยว
เวลานั้นราวกับโลกทั้งใบเป็นสีเลือด
เธอเห็นเวินเหวินเฮ่าเบิกตากว้างจากนั้นก็หมดลมหายใจไปทีละนิด ๆ ต่อหน้าเธอ
เขาตายแล้ว? ฉัน…ฆ่าคนลงไปแล้ว?
ฆ่าคน
เจี่ยงโยวไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะลงมือฆ่าคนได้
แต่ว่า…เธอไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉัน”
เจี่ยงโยวลุกลี้ลุกลนโยนมีดทิ้งไป
แล้วเดินโซซัดโซเซออกจากคฤหาสน์ของเวินเหวินเฮ่า
เจี่ยงโยวรู้ว่าตัวเองไม่อาจกลับบ้านได้ เธอจึงกดเงินจำนวนหนึ่งที่ตู้ ATM ของธนาคารเป็นสิ่งแรก จากนั้นค่อยหาทางหลบซ่อนตัว…
ขณะนี้ตำรวจในเมือง
D ได้ออกหมายจับตัวเธอแล้ว
เจี่ยงโยวจึงพยายามใช้เงินก้อนนั้นอย่างประหยัดและเช่าพักอยู่ในห้องใต้ดินที่เก่าโทรมของเมืองเก่า
เธอต้องรอให้เป็นเวลากลางคืนเท่านั้นถึงจะกล้าออกมาเดินรับลม
ซื้อของใช้ประจำวันบางส่วนได้
ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเรื่องทำนองนี้ในซอยที่ไม่มีใครเอ่ยถึงแห่งนี้ได้
คนผู้นั้นตายหรือยังนะ
ถ้าหากตายแล้วล่ะก็พรุ่งนี้จะมีคนมาพบเข้าหรือเปล่า
ตำรวจจะสาวเรื่องมาเจอเธอถึงที่นี่ไหม
เจี่ยงโยวคิดอะไรไปมากมายอยู่ช่วงหนึ่ง
จากนั้นเธอก็รั้งเท้าที่เตรียมจะจากไปเอาไว้ ไม่
ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
เธอเป็นผู้บริสุทธิ์
เธอไม่ได้ฆ่าเวินเหวินเฮ่า เป็นเวินเหวินเฮ่าที่ต้องการจะฆ่าเธอ
เธอป้องกันตัวต่างหาก
เธอไม่อยากติดคุก
เธอไม่อยากถูกจับตัว เธอเป็นผู้บริสุทธิ์นะ
พอคิดได้อย่างนี้เจี่ยงโยวก็กัดฟันหมุนตัวกลับไปยังจุดที่เธอยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้
เธอโค้งตัวออกแรงดึงแขนข้างนั้นของคนที่ดูท่าจะตายแล้วคนนั้นออกมา
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเจี่ยงโยวเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยวและดูลึกล้ำคนหนึ่ง
อาจกล่าวได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อมาก และเวลานี้ร่างกายของเขายังอุ่นอยู่
เขายังมีลมหายใจ!
เขายังมีชีวิตอยู่
ไม่ใช่คนตาย
ในที่สุดเจี่ยงโยวก็ถอนหายใจออกมา
พอเห็นเลือดบนอกชายหนุ่มและเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่เห็นเด่นชัดว่ามีราคานั่นสวมอยู่บนข้อมือเขา
เจี่ยงโยวก็ลังเลไปพักหนึ่ง
หากเอานาฬิกาเรือนนี้ไปขายที่ตลาดมืดคงได้เงินจำนวนไม่น้อย
แต่การหยิบไปโดยไม่ถามไถ่ก็คือการขโมย
ถึงแม้เธอจะถูกหมายจับอยู่
แต่พอคิดไปว่าตัวเองเป็นถึงเจี่ยงโยวผู้ซื่อสัตย์ทั้งคำพูดและการกระทำจึงไม่ยอมให้ตัวเองทำตัวเป็นขโมยในเวลานี้ได้
ลังเลอยู่พักหนึ่งเจี่ยงโยวก็กระพริบตา
สุดท้ายเธอตัดสินใจออกแรงยกชายหนุ่มที่หมดสติอยู่พาดหลังของตัวเอง
จากนั้นก็ขยับเดินพาเขาออกจากซอยไปอย่างยากลำบาก
ในเมื่อคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่
เธอก็จะช่วยชีวิตเขา ถ้าหากตัวเขามีมูลค่าสูงจริง ๆ
เธอในฐานะผู้มีพระคุณช่วยชีวิตก็คงไม่ขาดทุน
เกิดเขาเป็นผู้มีอำนาจไม่แน่เขาอาจจะยังช่วยพลิกคดีให้เธอก็เป็นได้?
เจี่ยงโยวโอบกอดความรู้สึกอันซับซ้อนนี้แล้วแบกชายผู้นั้นไปที่บ้านของตัวเอง
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก
เพื่อช่วยชีวิตเขาเจี่ยงโยวก็เลยต้องหาหมอเถื่อนผู้หนึ่งโดยเอาเงินที่ตนมีอยู่ทั้งหมดมาจ่ายเป็นค่ารักษา
หลังการผ่าตัด
ชายหนุ่มยังคงหมดสติดังเดิม แต่สีหน้าเขาดูดีขึ้นเรื่อย ๆ
พอถึงคืนวันที่สามเจี่ยงโยวที่อยู่ในสภาพหมดตัวก็หิวจนทนไม่ไหว
เธอมองชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงไม้ภายในห้องอันมืดมิดและอับชื้น
โดยมีนาฬิกาข้อมือประดับเพชรเรือนนั้นของเขาที่ยังคงส่องประกายระยิบระยับอยู่ในความมืด
เจี่ยงโยวกลืนน้ำลาย
สายตาลังเลเล็กน้อย
“โครกคราก”
ท้องร้องอย่างกลั้นไม่อยู่อีกแล้ว
เจี่ยงโยวที่หิวจนหัวหมุนไม่มีเรี่ยวแรงไปทั้งตัวในที่สุดก็ค่อย ๆ
ลุกขึ้นเดินทีละก้าว ๆ ไปอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม นิ้วเธอแข็งทื่อแต่สุดท้ายก็แตะไปที่นาฬิกาข้อมือมีราคาเรือนนั้น
“ฉัน…ฉันหิวมากจริง ๆ นะคะ ฉันขอเอามันไปจำนำหน่อยนะ แบบนี้ทุกคนก็จะได้มีอะไรทาน
คุณเปลี่ยนยาทานข้าวก็ต้องใช้เงินใช่ไหมล่ะคะ
ถ้าคุณไม่พูดก็แสดงว่าคุณเห็นด้วยแล้วนะคะ”