ในช่วงเช้ามืดของกลางฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสลัวๆ บนทางเดินข้างกำแพงอิฐสีแดงมีน้ำค้างแข็งสีขาวปกคลุมอยู่บาง ๆ
พี่สาว ตื่นตื่น!
ร่างกายที่แข็งค้างถูกคนเขย่าแรง ๆ อยู่หลายครั้ง สติซูหว่านค่อย ๆ กลับมา เธอลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ มองเห็นนางกำนัลสาววัยแรกแย้มที่สวมใส่ชุดนางกำนัลสีเขียวคนหนึ่ง นี่คือนางกำนัลที่ตื่นมากวาดบริเวณทางเดินในช่วงเช้าตรู่ นางกำนัลเหล่านี้เป็นนางกำนัลที่ไม่มีลำดับขั้น ฐานะก็แค่สูงกว่าเหล่านางกำนัลในกองซักล้างและหอแรงงานอยู่นิดเดียว
นางกำนัลน้อยนางนั้นเมื่อเห็นว่าซูหว่านตื่นขึ้นมาแล้ว สายตาที่มองมาก็เปลี่ยนเป็นดูดีขึ้น พี่สาว ฟ้าสว่างแล้ว พวกท่านเป็นคนจากหกกองงานใช่หรือไม่เจ้าคะ? พี่สาวข้าง ๆ ท่านนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไข้ ข้าเรียกอยู่ตั้งนานแล้วก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย
ซูหว่านลองขยับแขนขาที่แข็งค้างไปแล้วของตัวเอง ได้ยินคำพูดของนางกำนัลน้อย เธอถึงเพิ่งนึกถึงเหยียนอวี่นั่วขึ้นมาได้ ชุดคลุมตัวนอกของเหยียนอวี่นั่วยังคลุมอยู่บนร่างของตัวเอง ตอนนี้บนร่างของเธอสวมใส่อยู่เพียงแค่ชุดตัวในบางๆ ทั้งร่างหนาวจนแข็งค้างไปหมดแล้ว สีหน้ายิ่งเป็นสีแดงกว่าปกติ
แย่แล้ว
ซูหว่านรีบพยายามลุกขึ้นมา เธอนึกถึงเนื้อเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ขึ้นมาได้แล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่เธอและเหยียนอวี่นั่วถูกเหล่านางกำนัลอวุโสในสำหนักพระภูษาเล่นงานอยู่ เมื่อวานนี้ทั้งสองคนนำลายปักผ้ามาให้พระสนมซูเฟยคัดเลือก ปรากฎว่าลายผ้าปักเหล่านั้นถูกคนแอบตัดจนขาดไปหมด พระสนมซูเฟยรู้สึกโกรธมาก จึงลงโทษให้ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักจิ้งอวิ๋นทั้งคืน
เพราะว่าคุกเข่ามาทั้งคืน ตอนที่ซูหว่านลุกขึ้นยืนจึงทำให้ทั้งร่ายกายตอนนี้อ่อนแรงไปหมด และแขนขาก็แข็งค้างไม่สามารถพับงอได้ เธอลองพยายามพยุงร่างของเหยียนอวี่นั่วขึ้นมา ลองอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงได้ช้อนตาขึ้นมามองไปทางนางกำนัลน้อยข้างกาย เจ้าชื่ออะไร?
เรียนพี่สาว ข้าน้อยชื่อปิงเย่ว์เจ้าค่ะ
มองดูปิงเย่ว์มีอายุประมานแค่สิบสามสิบสี่ปี เด็กคนนี้ดูท่าทางจะเป็นคนฉลาดไม่เบา
ดวงตาของซูหว่านเป็นประกาย ปิงเย่ว์ เจ้ารู้จักท่านหมอหลวงลู่แห่งสำนักหมอหลวงหรือไม่?
ท่านหมอหลวงลู่? ดวงตาของปิงเย่ว์หมุนวนไปมา คนที่พี่สาวพูดถึงคือท่านหมอหลวงลู่ลู่มู่สวินใช่ไหมเจ้าคะ?
ลู่มู่สวินเป็นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาฝีมือด้านการรักษาก็สูงส่ง เพราะเขาเข้ามาทำการรักษาให้กับไท่เฮาและเหล่าสนมอยู่บ่อย ๆ จึงทำให้นางกำนัลในวังหลังส่วนใหญ่รู้จักเขาไปด้วย
ใช่ ก็คือท่านหมอหลวงลู่ลู่มู่สวิน ตอนนี้ข้าไม่มีแรงแล้ว ปิงเย่ว์เจ้าช่วยข้าประคองนางไปหาท่านหมอหลวงลู่ พวกเรากับท่านหมอหลวงลู่…สนิทกันมาก
ซูหว่านเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ซูรุ่ยจะเข้ามาเริ่มทำภารกิจแล้วหรือยัง และสถานะของเขาจะเป็นลู่มู่สวินหรือตงฟางเย่ากันแน่นะ?
ตอนนี้เหยียนอวี่นั่วไข้ขึ้นขนาดนี้ ซูหว่านก็ไม่มีเวลาไปคิดอะไรมาก แค่ต้องรีบพานางไปรักษาโดยไว ถ้าหากปล่อยให้คุณนางเอกไข้ขึ้นสูงจนสมองช็อกไปแล้วละก็ แล้วเธอยังจะมีทำภารกิจอะไรให้มาทำอีกเล่า!
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ปิงเย่ว์ก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา เธอที่เป็นนางกำนัลชั้นล่างสุด เธอก็ต้องยินดีที่จะเป็นมิตรกับนางกำนัลระดับสูงของสำนักพระภูษาอยู่แล้ว แต่ว่าสำนักหมอหลวงไม่ใช่ที่ที่ทุกคนจะสามารถเข้าไปได้ ถ้าเกิดว่า…
ปิงเย่ว์ หรือว่าเจ้าอยากที่จะกวาดทางเดินอย่างนี้ต่อไปหรือ?
เมื่อเห็นว่าปิงเย่ว์เริ่มลังเล ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยเสียงเบาๆ ออกไป ขอแค่เจ้ายอมช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากอย่างแน่นอน
ได้ยินคำมั่นสัญญาของซูหว่าน ปิงเย่ว์กัดริมฝีปากเบาๆ ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าซูหว่านอย่างกระทันหัน ก็ได้เจ้าค่ะ! พี่สาว ข้าจะช่วยท่าน
ในระหว่างที่พูดนางก็รีบวิ่งไปด้านหน้า ช่วยพยุงร่างของเหยียนอวี่นั่วที่เริ่มมีสติขึ้นมาบ้างแล้วจากด้านข้าง
ทั้งสองคนเดินไปตามทิศทางที่ตั้งอยู่ของสำนักหมอหลวง ในเวลานี้ฟ้ายังไม่สว่าง ทั้งอุทยานหลวงนอกจากคนที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดทางเดินอยู่ ก็ไม่มีเงาร่างของคนอื่นๆ มาให้เห็นอีก
อันที่จริงแล้วลู่มู่สวินไม่ได้พักอยู่ที่สำนักหมอหลวงตลอดเวลา บางครั้งถ้าว่าเขาต้องเข้ามาทำการรักษากลางดึก เขาก็จะพักค้างคืนอยู่ที่สำนักหมอหลวง แต่บางครั้ง หากในวังหลังไม่มีเรื่องอะไรละก็ เขาก็จะออกจากวังกลับไปพักอยู่ที่จวนของตัวเอง
ซูหว่านก็ครุ่นคิดมาตลอดทางว่าความเป็นไปได้ที่ซูรุ่ยจะเป็นลู่มู่สวินมีมากน้อยแค่ไหน จนกระทั่งเธอและปิงเย่ว์มาถึงด้านหน้าของสำนักหมอหลวง ทั้งสองคนก็ถูกขันทีบ่าวชายขวางเอาไว้อยู่ตรงหน้าประตู
สำนักหมอหลวงเป็นเขตหวงห้าม ไม่สามารถเข้าไปได้ตามอำเภอใจ พี่สาวทั้งสอง มีป้ายหยกจากตำหนักอื่นหรือไม่ขอรับ? หลังจากที่ถูกขวางเอาไว้ บ่าวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็สอบถามทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม เขาเฝ้าอยู่ที่สำนักหมอหลวงมาหลายเดือนแล้ว นางกำนัลขั้นหนึ่งข้างกายพระสนมจากตำหนักอื่นและหัวหน้านางกำนัลเขาก็รู้จักจนเกือบจะหมดแล้ว แต่วันนี้คนที่ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้านี้ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย เขาก็ต้องสอบถามเป็นธรรมดา
พวกเรามาหาท่านหมอหลวงลู่ ท่านหมอหลวงลู่อยู่หรือไม่?
ซูหว่านมองดูบ่าวชายหน้าประตูแวบหนึ่ง แล้วจึงถามออกไปเบาๆ
ท่านหมอหลวงลู่ยังไม่ตื่นเลยขอรับ
บ่าวชายพูดขณะมองดูซูหว่านไปด้วย แล้วมองดูเหยียนอวี่นั่วที่ถูกซูหว่านและปิงเย่ว์พยุงตัวไว้ พี่สาวท่านดูท่าไข้จะขึ้นสูงมาก ถ้าหากพวกท่านไม่มีป้ายหยกจากตำหนัก พวกท่านก็ไปที่ฝ่ายกรมวังเถอะ
ฝ่ายกรมวังในวังหลวง หลัก ๆ จะดูแลเรื่องการกินอยู่ของขันทีนางกำนัล แล้วก็เรื่องการจ่ายเงินเดือนและของใช้ในชีวิตประจำวัน หากนางกำนัลและขันทีป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ ก็สามารถไปเสียตังหาหมอรักษาที่ฝ่ายกรมวังได้
พี่ชายท่านนี้ พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกันกับท่านหมอหลวงลู่
ซูหว่านได้ยินคำพูดของบ่าวชาย ก็รีบยกข้อมือของตัวเองขึ้นมาล้วงเข้าไปหยิบถุงใส่เงินของตัวเองในแขนเสื้อ ยิ้มอ่อน ๆ แล้วยื่นส่งออกไป ขอให้ท่านเข้าไปแจ้งแก่ท่านหมอหลวงลู่สักคำเถอะ รบกวนท่านแล้ว
เออ…
บ่าวชายเห็นถุงเงินที่ซูหว่านยื่นมาให้แล้วเกิดลังเลขึ้นมา พอนึกขึ้นมาได้ว่าท่านหมอหลวงลู่เป็นคนนิสัยดีจนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว สายตาของเขามีประกายผ่านวูบหนึ่งแล้วรีบรับถุงเงินมาจากซูหว่านทันที แท้ที่จริงแล้วพี่สาวเป็นคนบ้านเดียวกับท่านหมอหลวงลู่เองหรอกหรือ! ท่านไม่บอกตั้งแต่แรกละ ข้าน้อยจะเข้าไปเรียนแจ้งให้เดี๋ยวนี้เลย
พูดจบ บ่าวชายคนนั้นก็รีบหมุนตัววิ่งเข้าทางประตูอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน เขาก็รีบวิ่งกลับมาอีกครั้ง พี่สาวทั้งหลาย ท่านหมอหลวงลู่เพิ่งจะตื่นนอน พวกท่านเชิญเข้ามาก่อนเถอะ!
ซูหว่านและปิงเย่ว์หันมาสบตากันหนึ่งทีแล้วจึงรีบพยุงเหยียนอวี่นั่วผ่านประตูใหญ่ของสำนักหมอหลวงเข้าไป ทั่วทั้งเรือนยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาลอยอบอวนอยู่เบาๆ
อื้ม~
ในตอนนี้ เหยียนอวี่นั่วก็เริ่มมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว เธอทำเสียงพึมพำแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเห็นสถานที่ที่ไม่คุ้นตา เหยียนอวี่นั่วขมวดคิ้วสายตาสอดส่ายไปมา จนกระทั่งหันไปพบกับดวงหน้าของซูหว่านเข้า สายตาของเธอก็ได้สว่างวาบขึ้นมา เสี่ยวหว่าน นี่…พวกเราอยู่ที่ไหนกัน?
พี่อวี่นั่ว ท่านเป็นไข้ ข้าก็เลยพาท่านมาหาหมอหลวงลู่!
ซูหว่านเห็นว่าเหยียนอวี่นั่วตื่นขึ้นมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบเบาๆ อยู่ข้างหู
ท่านหมอหลวงลู่?
คือท่านหมอที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวังหลังขณะนี้คนนั้น…
ไม่ ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่เป็นอะไร วันนี้เป็นวันหยุดของข้าพอดี ข้ากลับไปนอนพักผ่อนก็หายแล้ว เสี่ยวหว่าน…มาหาหมอหลวง ต้อง…ต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะ!
หนึ่งปีที่เหยียนอวี่นั่วเข้าวังมานี้ ไม่เคยมาที่สำนักหมอหลวงมาก่อน แต่จะมากจะน้อยก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักหมอหลวงมาบ้าง สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ให้เจ้านายทั้งหลายมารักษาตัว เธอเป็นแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น จะไปเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายได้?
ในขณะที่เหนียนอวี่นั่งกำลังพยายามจะหันหลังกลับ ซูหว่านและปิงเย่ว์ก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องแล้ว และในห้องตอนนี้ก็มีเสียงทุ่มไพเราะของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมา
พวกท่านเป็นคนบ้านเดียวกันกับข้าหรือ?
โทนเสียงของชายหนุ่มถามเสียงสูง แต่ว่าน้ำเสียงของเขากลับอ่อนโยนไม่ได้แสดงความเย็นชาแต่อย่างใด
ได้ยินเสียงนั้น ซูหว่านรีบเงยหน้าขึ้นมา ปรากฎว่าสายตาสบเข้าใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลา
ไม่ใช่ซูรุ่ย
สีหน้าของซูหว่านมืดครึ้มลงทันที เพราะฉะนั้นก็แสดงว่า สถานะของซูรุ่ยในโลกนี้ก็คือ…ฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ตงฟางเย่า?
พระราชวังชั้นกลวง ตำหนักเฉียนคุน…
ซูรุ่ยลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่มองเห็นคือเสาเตียงไม้จินซือหนานที่แกะสลักลวดลายมังกรและหงษ์เอาไว้
ภายในตำหนักที่ก้วางขวางและหรูหรามีกลิ่นที่คุ้นเคยของอำพันทะเลลอยอบอวนไปทั่ว ร่างกายที่อ่อนนุ่มเหมือนงูที่ไร้กระดูกพันอยู่บนตัวของเขา
เมื่อรู้สึกได้ว่าบนเตียงยังมีร่างของใครอีกคนหนึ่งอยู่ แล้วยังเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว สีหน้าของซูรุ่ยก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน เหมือนว่ากำลังนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ เขาก็รีบถีบผู้หญิงที่อยู่ข้างกายลงจากเตียงไปอย่างรวดเร็ว
โอ้ย!
ปิงเฟยที่ยังคงนอนสลืมสลืออยู่ถูกถีบตกลงไปบนพื้นอย่างจัง ทำให้ตื่นขึ้นมาในทันที
ได้ยินเสียงดังจากภายในห้อง หัวหน้าขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องมาตลอดก็รีบเร่งบุกเข้ามาในห้องอย่างเร็ว
ฝ่าบาท?
ฝ่าบาท?
หญิงสาวที่อยู่บนพื้นเส้นผมรกรุงรัง ดวงตาหรี่มองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของคนที่อยู่บนเตียงมังกร และหัวหน้าขีนทีที่ยืนค้อมหลังอยู่ด้านข้าง ช้อนตาขึ้นมองเบา ๆ สายตามองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงมังกรอย่างลังเล
ออกไปเดี๋ยวนี้!
ซูรุ่ยตะโกนออกมาหนึ่งคำอย่างเสียงดังพร้อมกับสายตาที่เย็นชา
สีหน้าของหญิงสาวที่อยู่บนพื้นขาวซี้ด ดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตามองไปที่เขา ฝ่าบาท หม่อมฉัน หม่อมฉัน…
หม่อนฉันยังไม่ได้สวมใส่อะไรเลยนะ~
ได้ยินเสียงของหญิงสาวคนนั้น สายตาของซูรุ่ยก็ดำมืดลงไปอีกส่วน เจ้าไม่อยากออกไป? ถ้าอย่างนั้นก็…อยู่ที่นี่ไปแล้วกัน
ฝ่าบาท~
ได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ดวงตาของปิงเฟยคนนั้นเป็นประกายขึ้นมา กำลังเตรียมจะส่งยิ้มอย่างออดอ้อนให้กับฝ่าบาท ปรากฎว่าเธอมองเห็นชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงมังกรยกแขนขึ้นดึงพระแสงที่แขวนเอาไว้อยู่ด้านซ้ายของเตียงออกมา คมดาบที่คมกริบตะหวาดไปกลางอากาศเกิดเป็นแสงเย็นเหยียบออกมา เพียงแค่ชั่วครู่คมดาบก็ทะลุร่างอรชรของเธอไป
หนึ่งคมดาบทะลุหัวใจ ไม่มีหยดเลือดแม้แต่หยดเดียว!
ดั่งคำกล่าวที่ว่าอยู่ข้างกายราชันดั่งอยู่ข้างเสือ หัวหน้าขันทีที่อยู่ด้านข้างไม่เสียแรงที่เป็นถึงผู้มีความสามารถสูงสุดในวังหลัง เรื่องฆ่ารันฟันแทงของคนข้างกายนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่ตื่นตระหนก แต่ยังคงมีสีหน้าที่ปกติยืนค้อมกายอยู่ได้อย่างสงบ ค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านหน้าของสนมนางนั้น ยกมือขึ้นมาอางเบา ๆ ที่จมูก ทูลฝ่าบาท อวี้กุ้ยเหรินได้กระทำการล่วงเกินต่อหน้าพระพักตร์ ได้รับโทษถึงชีวิตแล้ว
ตายไปคนหนึ่งจะมีประโยนช์อะไร?
แม่ทัพซูรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง เขาสาบานต่อฟ้า เขาไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แต่คนที่มีอะไรกับเธอเมื่อคืนนี้คือเจ้าของร่างเดิมตงฟางเย่า ร่ายกายและใจของตัวเองนั้นยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่
แต่ว่า ปัญหาคือ แล้วตัวเองจะไปอธิบายให้ที่รักของตัวเองฟังยังไงดีละ? หืม?