ประตูสำนักพระภูษาปิดตายมาโดยตลอด เกิดเรื่องใด ๆ ภายในสำนักนั้นไม่มีใครรู้ได้เลย ตั้งแต่เหยียนอวี่นั่วโดนซูรุ่ยใช้กำลังภายในกวาดออกไปจากท้องพระโรง เธออยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย ในเวลานี้ ภายในจิตใจของหล่อนเต็มไปด้วยความคิดเรื่องความปลอดภัยของซูหว่าน
ตั้งแต่เข้าวังมาหนึ่งปีกว่า จริง ๆ แล้วเหยียนอวี่นั่วก็เริ่มคุ้นชินไม่ว่าการโดนแกล้งและพบเจอเรื่องใดก็พร้อมปกป้องเหยียนอวี่ชิงในทุกเมื่อ ในจิตใจของเหยียนอวี่นั่วนั้น ตอนนี้เหยียนอวี่ชิงไม่ใช่เป็นแค่นายหญิง แต่ทว่ารู้สึกเป็นเหมือนน้องสาวของนาง นางจะปกป้องหล่อน แม้กระทั่งออกตัวรับหน้าแทนก็ล้วนเป็นเรื่องที่ฟ้าได้ลิขิตไว้
หลังจากที่เหยียนอวี่นั่วได้แยกกับเหยียนอวี่ชิง เมื่อได้เข้าไปสำนักพระภูษาแล้ว เธอก็ได้พบกับซูหว่าน ซึ่งตั้งแต่รู้จักกันครั้งแรกซูหว่านก็คอยช่วยเธอมาโดยตลอด ทั้งสองต่างช่วยเหลือและปกป้องซึ่งกันและกัน
เหยียนอวี่นั่วโตกว่าซูหว่านเพียงไม่กี่เดือน นางคิดว่าตัวเองควรปกป้องซูหว่าน เหมือนที่ดูแลเหยียนอวี่ชิง ต้องปกป้องหล่อนทุกอย่าง แต่ทว่าวันนี้…..
อวี่นั่ว
เหลียวซืออี๋ สวมชุดผ้าฝ้ายจีนโบราณและมายืนอยู่ด้านหลังของเหยียนอวี่นั่วเวลาใดก็ไม่รู้ เมื่อมองเห็นสีหน้าความกังวลของนาง เหลียวซืออี๋อดไม่ได้ที่จะตบบ่า
อวี่นั่ว อย่ากังวลใจไปเลย ซูหว่านจะต้องไม่เป็นอะไร
สายตาของเหลียวซืออี๋ที่กำลังปลอบอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะมองดูประตูวังซึ่งปิดตายอยู่ นางจำได้อย่างชัดเจน ฝ่าบาทเข้าไปในสำนักพระภูษาอยู่สักครู่ ไม่ได้เอ่ยปากออกสักคำก็ฆ่าคนได้หลายชีวิต และตอนนี้ภายในวังกลับไม่มีเสียงใด ๆ ฝ่าบาทเองก็ไม่เรียกคนเข้าไปด้านใน จึงพูดได้ว่า อย่างน้อยซูหว่าน…น่าจะยังมีชีวิตอยู่
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลังจากคนอื่น ๆ ในสำนักพระภูษาต่างวุ่นวายที่จะออกไป เหยียนอวี่นั่วยังคงรออยู่ด้านในอุทยานหลวง ร้อนรนใจดั่งไฟเพลิง ในเวลานี้ ที่ท้องพระโรงก็มีเสียงผู้ชายทุ้มต่ำและเยือกเย็นดังออกมา วังอี้!
วังอี้ที่ตั้งใจคุ้มกันหน้าประตูของท้องพระโรงได้ยินคำสั่งเรียกหาของพระองค์ก็รีบผลักประตูท้องพระโรงเข้าไปข้างใน และเงาของวังอี้เองก็หายไป เหยียนอวี่นั่วมองดูประตูท้องพระโรงที่พึ่งปิดตายใหม่อีกครั้งภายในจิตใจยิ่งกังวลใจหนักขึ้น
ฝ่าบาท
ในเวลานี้วังอี้ก็รีบก้าวเดินไปส่วนกลางของท้องพระโรงขนาดใหญ่ โค้งตัวรอรับคำสั่งของเจ้านาย
วังอี้ นางกำนัลซูหว่านได้ทำผิดกฎในวัง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปปล่อยนางอยู่ในหอแรงงานทำงาน 1 เดือน เรื่องนี้เจ้ารีบไปจัดการซะ
วังอี้ที่กำลังก้มหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งของซูรุ่ย เขาก็รีบพงกหัวน้อมรับ ใช้สายตาตั้งมั่นมองหาเงาของนางกำนัลคนนั้นในรอบกายของตนที่กำลังเสาะหา อืม ไม่อยู่?
วังอี้สับสนอยู่ชั่วขณะ เขาจำได้ว่าตอนที่ตนเองออกไปหน้าประตูนางกำนัลที่ชื่อว่าซูหว่าน ก็คุกเข่าอยู่ที่ตำแหน่งนั้น นางหายไปได้อย่างไร
หัวหน้าขันทีวัง ท่านกำลังหาข้าน้อยอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ
น้ำเสียงอันแจ่มชัดทันใดก็ดังขึ้นไม่ไกลจากเบื้องหน้าของวังอี้ เขาเงยหัวอย่างรับรู้สักครู่ ทันใดนั้นนางก็รีบหยุดอยู่ที่เดิม คลี่ยิ้มเล็กน้อย
ฮ่องเต้สวมผ้าฝ้ายนั่งเอนกายอยู่บนตั่ง ณ เบื้องหน้าของวังอี้ ด้วยใบหน้าพึงพอใจและใบหน้านางข้าหลวงที่ดูแสนไร้เดียงสาเหมือนแมวภายใต้อ้อมกอดของฝ่าบาทอันแสนสบาย ในเวลานี้นางกำลังเงยหน้าอย่างขี้เกียจด้วยสายตาอันเย็นชามองแล้วยิ้มตาหยีให้วังอี้ที่อยู่ด้านหน้า
หัวหน้าขันทีวัง ‘ข้าเงยหน้าขึ้นผิดท่าจริง ๆ ! อืม’
วังอี้กำลังตกใจอยู่รีบก้มหัวต่ำลงทันที เมื่อได้เห็นวังอี้รีบก้มหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ซูรุ่ยก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ วังอี้ ข้าไว้ใจเจ้า เรื่องนี้เจ้ารีบไปจัดการซะ
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ซูรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะก้มมองดูซูหว่านในอ้อมกอด ใบหน้าที่ดูฝืน ๆ มองดูว่าซูรุ่ยกำลังพูดอะไร ซูหว่านเงยหน้ายกนิ้วมือแตะปากของเขาอย่างเบา ๆ ต่อมาเธอก็นั่งข้างกายซูรุ่ยแล้วกระซิบความลับข้างหูของเขา
ฝ่าบาท คืนนี้หม่อมฉันอยู่หอแรงงานรอท่านนะเพคะ
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน สีหน้าของฮ่องเต้มีความสุขเล็กน้อย หรือว่าที่รักของข้ารู้ความตั้งใจของข้าแล้ว (แม่ทัพซู ท่านแน่ใจหรือ)
ซูหว่าน ‘หึหึ’
หัวหน้าขันทีวัง พวกเราไปกันเถอะ
เวลานี้ซูหว่านลงมาจากตั่งแล้วเดินยืนด้านหน้าวังอี้
นี่…
แม่นางซูเชิญ
วังอี้กดเสียงต่ำลง พูดกับซูหว่านด้วยน้ำเสียงเคารพนับถืออย่างเป็นพิเศษ
ในเวลานี้เขาไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทรีบมาสำนักพระภูษาเพื่อทำอะไรกันแน่ สามสิบกว่าปีนี้เขาใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขรับใช้ที่คอยติดตามตัวพระองค์จริง ๆ
ขันทีวังช่างมีมารยาทเหลือเกิน ตอนนี้ข้าน้อยเองนั้นเป็นนักโทษ จะกล้าเดินนำท่านได้อย่างไร
ซูหว่านได้ยินคำพูดของวังอี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยกมือทำท่าผลักวังอี้ หัวหน้าขันทีวัง ท่านไปก่อน!
โอ ออ ๆ
วังอี้ได้ยินคำพูดของซูหว่าน หันไปมองแล้วรีบหันตัวเดินไปข้างหน้าโดยซูหว่านก็ก้มหัวอยู่ด้านหลังเขา ในตอนที่ออกจากประตู รู้สึกได้ว่าข้างหลังนั้นมีสายตาอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยกำลังจ้องมองตนอยู่โดยตลอด ซูหว่านอดไม่ได้ที่หันหน้าไปยิ้มให้ซูรุ่ย
ประตูท้องพระโรงก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นเงาของวังอี้และซูหว่าน เหยียนอวี่นั่วที่รอคอยอย่างกังวลใจโดยตลอดก็รีบกระโจนเข้าไปหา เสียวหว่าน เจ้า…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม
ทำอะไรตามอำเภอใจนัก!
เมื่อได้เห็นเหยียนอวี่นั่วกำลังเข้าไปเพื่อจับมือซูหว่าน วังอี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาแล้วปัดเหยียนอวี่นั่ว ทำให้นางกระเด็นออกไป
มือของแม่นางซู เจ้าจะมีสิทธิ์จับได้หรือ? ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นอยู่กับฝ่าบาทต่างหากล่ะ
หัวหน้าขันทีวัง!
เฉินจี๋ที่รออยู่ในลานมาโดนตลอด ในเวลานี้ก็รีบวิ่งเข้ามาใกล้ ก่อนที่มองบนอย่างเหยียด ๆ ใส่เหยียนอวี่นั่ว จากนั้นร่างเตี้ย ๆของเฉินจี๋ก็ยิ้มตาหยีให้วังอี้ หัวหน้าขันทีวัง เด็กรับใช้คนนี้ตกใจไร้สติมากเสียแล้ว ท่านอย่าไปรู้จักกับนางเลย ซูหว่านคนนี้…ฝ่าบาทหมายถึง คือ…
เนรเทศไปอยู่หอแรงงาน หนึ่งเดือน
ได้ยินคำพูดของเฉินจี๋ คำพูดของวังอี้ก็เยือกเย็นลง
หอแรงงาน!
สีหน้าของเฉินจี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หน้าของเหยียนอวี่นั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูซีดเผือดไปแล้ว หอแรงงานคือสถานที่ใดกัน นั่นคือสถานที่ในวังหลังที่ยังต่ำกว่าวังเย็นอีก ที่แห่งนั้นเดิมทีไม่ใช่สถานที่ที่คนอยู่!
หัวหน้าขันทีวัง!
เหยียนอวี่นั่วรีบคุกเข่าต่อหน้าของเขา สองมือคว้าจับรองเท้าของวังอี้ หัวหน้าขันทีวัง ข้าน้อยอยากพบฝ่าบาท ข้าน้อยเต็มใจที่จะรับโทษแทนซูหว่าน หนึ่งเดือน ไม่สิ สองเดือนก็ได้! ขอร้องหัวหน้าขันทีวังให้ข้าได้พบเถิด!
ขันทีวัง ‘…………’
เจ้าคิดว่าแม่นางซูไปที่นั่นเพื่อรับโทษงั้นรึ ไม่ดีหรอกหรือที่นางจะไปที่นั่นเพื่อไปเป็นคุณนาย?
หัวหน้าขันทีวัง
เฉินจี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ในเวลานี้ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ากังวลออกมาเช่นกัน ซูหว่านผู้นี้ ในทุกวันที่สำนักพระภูษาถือว่าตั้งใจทำงาน หัวหน้าขันทีวัง ท่านสามารถขอร้องฝ่าบาทให้….
เจ้าไม่จำเป็นต้องขอร้องให้นางหรอก มิเช่นนั้นระวังหัวจะหลุดออกจากบ่าเอา!
วังอี้ไม่ยั่วโมโหอีกแล้ว รีบมองด้วยสีหน้าอย่างอำมหิต เรียกคนมาลากตัวนางข้าหลวงคนนี้ออกไปจากข้าที!
ระหว่างพูดนั้นก็มีขันทีสองคนรีบก้าวเท้าเข้ามานำตัวเหยียนอวี่นั่วที่กำลังดึงรั้งรองเท้าของวังอี้อยู่และลากตัวนางไปยังบริเวณด้านข้าง
ไปซะ!
วังอี้ยืดตัวตรงแล้วก้าวเท้าออกไป ซูหว่านที่อยู่ด้านหลังของเขาเห็นเหยียนอวี่นั่วโดนคนลากออกไปด้านข้าง ใบหน้าซีดเผือดของนางอดไม่ได้ที่จะยิ้มปลอบประโลมให้เหยียนอวี่นั่ว พี่อวี่นั่ว พี่อย่างกังวลไปเลย ข้าทนไหว
กำลังพูดอยู่ นางก็หันตัวรีบบินตามหลังของวังอี้
รอให้คนไม่กี่คนได้เดินห่างออกไปไกล เหยียนอวี่นั่วถูกปล่อยออกมาอย่างช้า ๆ
เสียวหว่าน เสียวหว่าน!
ใบหน้าของเหยียนอวี่นั่วเต็มไปด้วยน้ำตา มองเห็นเฉินจี๋ซึ่งยังหยุดอยู่ในลาน เหยียนอวี่นั่วรีบคว้าแขนเสื้อของเฉินจี๋ซึ่งดูเหมือนเหมือนพบยุ้งข้าวที่ช่วยชีวิตแล้วกำอย่างแน่น เฉินกงกงช่วยด้วย! ช่วยด้วย!
พบอวี่นั่วที่กำลังร้องไห้อย่างน่าเวทนา ตาหงส์ของเฉินจี๋ก็กรอกไปมา ก็ได้ก็ได้ เจ้าทำเสื้อผ้าของข้าสกปรกหมดแล้ว
เฉินเสี่ยวจี๋ผู้รักสวยรักงามที่น่าสงสารในตอนเช้าก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียแล้ว
ข้าสามารถไปหอแรงงานได้ยามหนึ่ง ยามสอง อืม เงินนี่ เจ้าต้องออกเองนะ!
เมื่อได้พูดถึงเรื่องนี้เฉินจี๋อดไม่ได้ที่จะโอบกอดถุงเงินใบน้อยของตนอย่างแน่น เขาผู้นี้เป็นคนจิตใจอ่อนโยน ทนไม่ได้ที่จะมองเด็กรับใช้เหล่านี้ที่ร้องไห้ปาดน้ำตาอยู่ข้างหน้า เพียงแต่ว่าคนเราจะต้องมีกฎเกณฑ์ ดังเช่นว่ากฎของเฉินเสี่ยวจี๋ก็คือ….
เจ้าอาจทำทรงผมของข้ายุ่งเหยิงได้ ข้าทนได้ แต่เจ้ามิอาจย้ายกระเป๋าเงินของข้าได้ ข้าจะสู้สุดกำลังชีวิตกับเจ้า
ความขี้เหนียวที่ขึ้นชื่อของเฉินกงกงโด่งดังในสำนักพระภูษาเช่นกัน ความจริงแล้วโดยตำแหน่งของเขา เงินเดือนทุกเดือนนั้นสูงมากอีกทั้งยังมีขันทีและข้าหลวงที่เคารพอยู่เสมอ พูดด้วยหลักเหตุผลเขาก็คือเศรษฐีบ้านนอกตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่ว่าเขากลับเป็นคนตระหนี่มากที่สุดในสำนักพระภูษา ไม่ว่าพบเจอเรื่องอะไรก็ตาม ต่อให้ตายก็จะไม่จ่ายอย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินว่าเฉินจี๋เต็มใจไปหอแรงงานเพื่อจัดการให้ เหยียนอวี่นั่วรีบเช็ดน้ำตานำถุงเงินของตนส่งให้ถึงมือของเฉินจี๋
แม้ว่าเขาจะขี้เหนียวก็ตามแต่เขาก็ไม่ได้โลภมาก ดังนั้นเหยียนอวี่นั่วไม่กลัวเฉินจี๋หลอกตน
เหยียนอวี่นั่วส่งถุงเงินของตนเองให้อย่างมีความสุข คิ้วของเฉินจี๋เกิดรอยย่นขึ้น เจ้ามีเงินเพียงเท่านี้หรือ
ไม่พอหรือ
สีหน้าของเหยียนอวี่นั่วได้เปลี่ยนไป จากนั้นก็คิดอะไรบางอย่าง เฉินกงกง ฉันสามารถหาเงินเพิ่มได้แล้ว
ในช่วงเวลานี้ เหยียนอวี่นั่วคิดถึงเหยียนอวี่ชิงที่ซึ่งเป็นข้ารับใช้อยู่ภายในวังของหลิวกุ้ยเหริน
เฉินกงกงต้องรอฉันนะ ฉันแค่ไปหาเงินเพิ่มเท่านั้น
ขณะที่พูดคุยอยู่นั้น เหยียนอวี่นั่วก็ยกกระโปรงขึ้นแล้วเหาะออกไป