บทที่ 113 การซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม
จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปอย่างนั้น เฉินห้าวกวาดมือ ก็เลือกของที่แพง ชุดโต๊ะทำงานคุณภาพดีทั้งหมด ยังมีผ้าม่านและของที่คู่ด้วยกัน ซื้อไปพร้อมกันหมด
โดยที่เขาไม่ใช่คนขาดแคลนเงิน เฉินห้าวเลยไม่ได้ถามราคาของแต่ละสินค้า ให้พนักงานที่ร้านรวมยอดคิดด้วยกัน และก็เลือกรูปแบบที่ดีที่สุด ระดับเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่มีคุณภาพที่สุด นั่นมันราคาชุดละห้าหกหมื่นเลยทำให้เฉารุ่ยตกใจจนเนื้อเต้น และความต้องการของพวกเขานั้นคือสิบกว่าชุดขึ้นไป
“ไม่เป็นไรครับ เพราะจะมีส่วนลดหลังจากนี้” เซลล์ขายได้อธิบายให้เฉารุ่ยไม่หยุด เพื่อให้เธอสบายใจ
“เชิญเถ้าแก่เซ็นชื่อตรงนี้ด้วยค่ะ พวกเราก็จะได้จัดการส่งของ” เซลล์ขายมีความกระตือรือร้นไม่น้อย ยังไม่ทันได้ชำระเงิน ก็เตรียมการจัดส่งของแล้ว
ตอนนี้คนในร้านเฟอร์นิเจอร์นี้ได้ให้คนไปที่โกดังหารถใหญ่ไปส่งของแล้ว และเซลล์ขายที่เป็นผู้แนะนำขายนั้นจู่ๆก็จากไป ผู้หญิงวัยกลางคนที่ย้อมผมสีเหลืองได้เข้ามาทำเรื่องชำระเงินต่อ
ผู้หญิงวัยกลางคนนี้ได้แต่งหน้าเข้มที่ไม่เหมาะกับอายุเลย และยังใส่กระโปรงลายดอกอีก ไม่เหมือนกับชุดสูทของเซลล์ขายเลย ฟังที่เธอกล่าว ที่แท้คือเถ้าแก่เนี้ยของร้านนี้
“เถ้าแก่ ของกำลังจัดส่ง เชิญชำระเงินเลยค่ะ”
รอยยิ้มบนหน้าเถ้าแก่เนี้ยที่จอมปลอม ด้านหนึ่งแคชเชียร์ได้หยิบเครื่องรูดการ์ดออกมา ให้เฉินห้าวรูดการ์ด
เฉินห้าวได้หยิบบัตรธนาคารออกมาเตรียมจ่ายเงิน ระหว่างที่ชำระนั้นได้จ้องไปที่จำนวนเงินที่ต้องจ่าย ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น เพราะจำนวนเงินที่แสดงขึ้นต้องจ่ายคือ 1.24 ล้านกว่าหยวน
แค่ซื้อเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้สำนักงานต้องใช้ถึงหนึ่งล้านกว่าเลยเหรอ เยอะกว่าการลงทุนบริษัทขนาดเล็กอีก ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ
“ราคานี้ไม่ถูกหรือเปล่า?”เฉินห้าวได้ถามไปหนึ่งคำ แม้เขาไม่ได้ขาดเงิน แต่ก็ไม่อยากจ่ายเงินที่ไม่สมราคา
“ไม่มีข้อผิดพลาด อันนี้เป็นบิล ข้างบนเขียนไว้ชัดเจนมาก ชุดโต๊ะทำงานระดับสูงจากไม้จันทน์แดงสี่สิบชุดที่คุณต้องการ พวกนี้รวมกันก็มีแปดแสนกว่าแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยนั่นได้ยื่นบิลมาให้ เฉินห้าวรับมาดู ฝ่ายตรงข้ามคิดตามราคาจริงที่ติดไว้ ชุดโต๊ะละหลายหมื่นไม่ได้มีส่วนลดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ตรงตามที่เซลล์นั้นพูดไว้
“เถ้าแก่เนี้ย ราคานี้คุณไม่ได้ทำการลดให้เลย เมื่อกี้มีเซลล์ขายคนหนึ่งบอกว่าส่วนลดสูงสุด40%เลยนะ” เฉารุ่ยก็มาเตือน
“เป็นไปไม่ได้ ราคานำเข้าของเรายังไม่ต่ำเท่านี้เลย พวกคุณฟังผิดแน่ๆ 6% ยังคงเป็นไปได้หน่อย งั้นก็ลดราคาให้6%ละกัน” เถ้าแก่เนี้ยก็พูดไปแล้วให้เซลล์ที่อยู่ข้างๆไปคีย์บิลใหม่มา
“เมื่อกี้เป็นเซลล์ผู้หญิงใส่แว่นคนหนึ่งบอกเอง”
เฉารุ่ยยังยึดเท้ามอบไปรอบๆร้านเพื่อหาเงาของเซลล์ผู้หญิงคนนั้น แต่กลับไม่เจออะไรเลย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปไหนแล้ว
“ที่นี่เราไม่มีพนักงานที่ใส่แว่น พวกคุณจำผิดแน่ๆเลย” ตอนนี้สีหน้าเถ้าแก่เนี้ยได้เปลี่ยนไป เพราะถูกสงสัย สีหน้าเย็นชามาก อย่างกับใครเป็นหนี้หลายล้านอย่างนั้น
“เฮ้ ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ราคาของพวกคุณแพงเกินจริง ยังอยากค้าขายอีกไหม?” เฉินห้าวถามเธอ
“เปิดร้านก็ต้องค้าขายสิ แต่จะให้ฉันขาดทุนไม่ได้ พอละพอละ มากสุดลดให้10% ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว” น้ำเสียงของเถ้าแก่เนี้ยบ่งบอกถึงไม่สบอารมณ์และน่ารำคาญ ดั่งเหมือนเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว
แต่ว่าพวกเฟอร์นิเจอร์นี้ราคาเกินจริง อย่างน้อยต้องลดอย่างน้อย40% ถึงจะสมราคา 10%ก็เท่ากับว่าถูกเสียเงินอย่างคนโง่คนหนึ่ง
“เถ้าแก่เนี้ย พวกคุณพูดแล้วไม่ทำตามคำพูด ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราไม่ซื้อละ”
เฉารุ่ยก็เชี่ยวชาญวิธีการต่อรองราคา ปกติมักบอกว่าไม่ซื้อ โดยทั่วไปผู้ขายก็จะยอม และที่สำคัญราคาเฟอร์นิเจอร์ร้านนี้ก็แพงเกินงาม ไปซื้อของที่เหมือนจากร้านอื่น คงไม่ต้องใช้เงินมากเท่านี้
“คุณบอกว่าไม่ซื้อก็ไม่ซื้องั้นเหรอ?ของฉันใส่ขึ้นรถหมดแล้ว ถ้าเอาของลงตอนนี้ ค่าเช่ารถและค่าแรงงานคนคิดยังไง?”
เถ้าแก่เนี้ยเอามือเท้าใส่เอวอย่างกับแม่ค้าปากตลาด ได้เอ่ยปากขอราคาที่สูง: “จะไม่ซื้อก็ได้ คิดค่าแรงงานและค่ารถให้ก่อน รวมแปดพัน”
“มันใช่เหตุไหมที่ไม่ซื้อของยังต้องจ่ายเงินอีก พวกคุณที่ตัดสินใจกันเอง ยังไม่ได้จ่ายเงินก็เอาของไปขึ้นรถ” เฉารุ่ยได้เถียงกับเถ้าแก่เนี้ยด้วยเหตุผล
“อะไร?ไม่มีปัญญาซื้อเฟอร์นิเจอร์ยังบังคับให้ลดราคาอีก เป็นคนจนที่มาจากไหนกัน จะบอกให้ คือจ่ายเงินมาดีๆเพื่อซื้อของ ไม่ของจ่ายค่าเสียเวลามาแปดพัน ไม่นั้นพวกคุณอย่าคิดที่จะออกจากร้านไป”
เถ้าแก่เนี้ยพูดเสร็จ มีชายร่างใหญ่สี่ห้าคนไม่รู้โผล่มาจากไหน ขวางประตูทางออกไว้
การกระทำของฝ่ายตรงข้ามคล่องแคล่วมาก ดูแล้วโดยปกติคงทำเป็นประจำ
“พวกคุณเป็นผู้หลอกลวง การซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม!” เฉารุ่ยรู้สึกโกรธมาก เธอได้หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อแจ้งความ
“ฮึ่ม แจ้งความแล้วนึกว่ากลัวคุณหรือไง? ฉันน่ะมีเหตุผล ตำรวจมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ” เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างโอ้อวด
เฉินห้าวดูออกเลย ก็ว่าล่ะทำไมร้านนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า รู้สึกเหมือนเล่นชุดแสดงบทหลอกลวง เริ่มแรกใช้เด็กพาร์ทไทม์มาล่อลวงลูกค้าสั่งซื้อ พอสั่งซื้อเสร็จไม่บอกกล่าวอะไรก็นำของขึ้นรถ ในขณะเดียวกันใช้ราคาเต็มในการเก็บเงิน หากลูกค้าจ่ายเงินก็จะกลายเป็นคนโง่ที่เสียเงิน หากไม่ซื้อ ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายพี่พัน นี่คงยังเป็นผลกำไรเห็นๆ
หากเป็นอย่างนี้วันละสองครั้ง ผลกำไรก็จะสูงกว่าร้านเฟอร์นิเจอร์อื่นมาก การตลาดที่ใหญ่ขึ้น คนอะไรก็มีไปหมด
“ประธาน เดี๋ยวตำรวจก็มาละ ต้องเป็นตัวแทนให้เราแน่” เฉารุ่ยหันกลับมาปลอบเฉินห้าว
แต่เฉินห้าวไม่ได้คิดเช่นนี้ ในเมื่อร้านขยะแบบนี้ยังกล้าทำขนาดนี้ ต้องมีผู้คุ้มหัวแน่ หากตำรวจมาแล้วก็ได้แค่จัดการไกล่เกลี่ยตามเรื่องของประชาชนเท่านั้น ไม่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาโดยตรงได้