แผ่นพลาสติกซึ่งแต่เดิมเหมือนเสื้อกันฝนแต่กลับพองตัวในเสี้ยววินาที โดยมีกระแสลมอยู่ภายในจึงพองตัวเป็นห้องน้ำแบบเป่าลมขนาดเล็กที่คนคนหนึ่งสามารถใช้ได้อย่างรวดเร็ว
เฉินห้าวนำโถส้วมพลาสติกที่ซื้อแยกจากกันใส่เข้าไปด้านใน แล้วทำท่าทาง “เชิญทางนี้ครับ” ให้เธอ
จูหมิ่นไม่มีเวลาที่จะประหลาดใจแล้ว เธอวิ่งเข้าไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าและปิดประตูในทันที
เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดเฉินห้าวจึงเดินไปรอที่ไกล เข้าเดินไปเตะนักเลงที่หมดสติทั้งสองเพื่อปลุกพวกเขา และบอกให้พวกเขาออกไปจากที่นี่และอย่ามาขวางทางที่นี่
เฉินห้าวสร้างความหวาดกลัวทางจิตใจให้กับนักเลงทั้งสองนี้ เมื่อพวกเขาเห็นเขาพวกเขาก็ลุกขึ้นและวิ่งหนีไปโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดทางร่างกายเลย
หลังจากนั้นไม่นานจูหมิ่นก็ออกมาจากห้องน้ำแบบเป่าลมด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย และจ้องมองไปที่ห้องน้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินห้าวพกพาของแบบนี้ออกมาด้านนอก ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีแต่พวกรักในการผจญภัยถึงจะมีเท่านั้น มูลค่าหลายพันหยวนเลยแหละ
เมื่อจูหมิ่นถามคำถามนี้เฉินห้าวจึงกล่าวว่า: “อย่างที่คุณรู้ ฉันเป็นเจ้าของบริษัทการค้าห้าวหรานที่ขายสินค้าแปลกๆ ทุกชนิด ดังนั้นการนำห้องน้ำแบบเป่าลมขึ้นรถก็ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม? ”
“ใช่ค่ะ ไม่มีอะไรผิดปกติเลย”
พอมาคิดดูแล้วจูหมิ่นก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขนาดพู่กันจีนของร้านพู่กันจีนชิวเหวินเฉิงซึ่งปิดไปหลายปีแล้วยังมีเลย ดังนั้นการที่เขามีผลิตภัณฑ์ที่มีขายในร้านอุปกรณ์กลางแจ้งจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจนะ แต่ของแบบนี้จะเสื่อมราคาหลังจากที่ใช้งานไปแล้ว หรือไม่ก็ฉันจ่ายเงินให้คุณแล้วกัน ถือว่าฉันซื้อกับคุณ” จูหมิ่นกล่าว
“ไม่เป็นไร ถือว่ามันเป็นสิ่งของที่ฉันสนับสนุนให้กับถนนเมี่ยวเจียแล้วกัน ที่นี่จะได้มีห้องน้ำสาธารณะ และยังสามารถอำนวยความสะดวกให้กับคนที่เดินทางมาที่นี่ด้วย”
“คุณเป็นคนดีจริงๆ ” จูหมิ่นหัวเราะเบาๆ
“เปล่าหรอก ของแบบนี้ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่อยู่แล้ว เลยคิดว่าบริจาคให้คนอื่นดีกว่า” เฉินห้าวพูดอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม วันนี้ทั้งคู่รู้สึกมีความสุขมาก
หัวใจของจูหมิ่นซับซ้อนยิ่งขึ้น และสายตาที่มองเฉินห้าวก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกคนในโลกชอบไอซิ่งบนเค้ก แต่เฉินห้าวเป็นคนเดียวที่มอบถ่านไม้กลางหิมะแก่เธอในยามที่เธอตกทุกข์
หลังจากแก้ปัญหาเร่งด่วนภายในแล้ว เฉินห้าวถามจูหมิ่นว่าทำไมเขาถึงถูกกักขัง จูหมิ่นจึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด
ปรากฏว่าถนนเมี่ยวเจียที่อยู่ในเมืองเก่าเป็นปัญหาที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นดินแดนแทรก
ความหมายของดินแดนแทรกก็คือที่ดินแห่งนี้ไม่ได้บริหารงานภายใต้เขตอำนาจของเมืองไป๋เหอ แต่เป็นอาณาเขตของอำเภอลี่ทงที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนแยกที่มีเขตอำนาจศาลอยู่ในอำเภอลี่ทง
นี่ไม่ใช่ข้อยกเว้นมีดินแดนแทรกมากมายทั่วประเทศ และถนนเมี่ยวเจียก็เป็นหนึ่งในนั้น
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลหลายประการทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจ รัฐบาลท้องถิ่นไม่มีสิทธิ์ส่วนรัฐบาลนอกเขตก็ไม่อยากจะมาสนใจ ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ที่ดูทรุดโทรมแบบนี้
นี่เป็นเหตุผลที่จูหมิ่นตัดสินใจที่จะไม่แจ้งตำรวจ เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ถนนเมี่ยวเจียซึ่งเป็นดินแดนแทรก ถ้าหากเธอโทรแจ้งตำรวจศูนย์110 ก็จะโอนสายไปยังศูนย์บัญชาการ110 ในอำเภอลี่ทงอีกที ซึ่งอำเภอลี่ทงห่างจากที่นี่หลายสิบกิโลเมตร และเมื่อตำรวจมาถึงที่นี่มันก็คงสายเกินไปแล้ว
เนื่องจากเขตอำนาจศาลไม่เพียงพอทำให้เกิดการดำรงอยู่พิเศษอย่างถนนเมี่ยวเจีย ผู้ชายที่ชื่อเหลียงเฉิงฟากลายเป็นเจ้านายที่นี่ เขาใช้กองกำลังต่างๆ เพื่อประพฤติผิดกฎหมาย และทำสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ เพื่อหารายได้ เขาเคยถูกผู้คนรายงานความผิดอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผลใดเพราะปัญหาเขตอำนาจศาลไม่เพียงพอ
คราวนี้จูหมิ่นมาเพื่อสัมภาษณ์ปัญหาเรื่องน้ำมันและสุขอนามัยอาหารของถนนเมี่ยวเจีย ก่อนหน้านี้มีคน 5 คนมีอาการอาหารเป็นพิษโดยรวมหลังจากที่พวกเขาไปทานอาหารในร้านแห่งหนึ่ง และเหลียงเฉิงฟาก็คือเจ้าของร้านอาหารของร้านนั้น และพวกเขาไม่ได้เงินชดเชยจากเขาแม้แต่บาทเดียว
ครอบครัวของผู้เสียหายมาขอคำอธิบายจากเขา แต่กลับโดนพวกอันธพาลขู่และทำร้ายร่างกายระหว่างทะเลาะกัน ทั้งๆ ที่ฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บคือครอบครัวของผู้เสียหาย แต่พวกเขากลับถูกแบล็กเมล์ค่ารักษาพยาบาล และเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายเหมือนกับเหตุการณ์อื่นๆ ในอดีต
เพื่อนร่วมงานของจูหมิ่นไม่มีใครกล้ามาสัมภาษณ์ที่นี่เลยสักคน เพราะพวกเขาไม่สามารถจัดการกับเหลียงเฉิงฟาที่ไม่มีเหตุผลได้ แต่จูหมิ่นเป็นเหมือนลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ เธอรับงานนี้ไว้อย่างไม่กลัวความเดือดร้อน เธอมาที่นี่คนเดียวโดยที่ไม่มีช่างภาพคนไหนกล้ามากับเธอ แต่กลับโดนเหลียงเฉิงฟาจับได้ซะก่อนและสั่งให้ลูกน้องของเขานำตัวเธอไปกักขังไว้ในโกดัง และเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง หากเฉินห้าวไม่มาช่วยเธอไว้ในตอนนั้น
“ไอ้แซ่เหลียงนั้นครอบงำมากเลยเหรอ”
เฉินห้าวหรี่ตาลง อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องจูหมิ่นโดนหมอนั่นกลั่นแกล้งเลย แม้ว่าคนที่ถูกกลั่นแกล้งในวันนี้จะเป็นผู้คนธรรมดาในท้องถิ่นนี้ เฉินห้าวก็จะจัดการกับหมอนั่นเช่นกัน เพราะเฉินห้าวไม่ชอบนิสัยอันธพาลของพวกเขา
“เหลียงเฉิงฟาเป็นเหมือนจักรพรรดิแห่งถนนเมี่ยวเจียนี้ มีกำลังพลจำนวนมากคุณช่วยฉันรับศึกได้ไหม ฉันต้องลอบเข้าไปเพื่อแอบถ่ายภาพนะ?”
เฉินห้าวหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินจูหมิ่นพูดเช่นนี้: “คุณพูดว่ารับศึกงั้นเหรอ พูดซะเหมือนเป็นสงครามในสมัยโบราณเลย”
จูหมิ่นรู้สึกหน้าแตกเล็กน้อย เธอแค่เป็นห่วงเฉินห้าวและไม่ต้องการให้เขาเกิดความขัดแย้งกับอีกฝ่าย และความขัดแย้งก็ไม่ดีต่อการสัมภาษณ์ของนักข่าวด้วย
“ฉันจะไปพบปะกับคนที่ชื่อเหลียงเฉิงฟาสักหน่อย ส่วนคุณก็วางใจและถ่ายภาพตามปกติได้เลย”
เฉินห้าวขอให้จูหมิ่นเป็นผู้นำทาง จูหมิ่นรู้สึกปลอดภัยในใจที่มีเฉินห้าวอยู่รอบข้างเธอ เธอจึงไปที่ร้านอาหารที่อยู่ในถนนเมี่ยวเจียพร้อมกับเฉินห้าว
ปรากฏว่าประตูของร้านอาหารถนนเมี่ยวเจียปิดอยู่เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน และจูหมิ่นเดาว่าเหลียงเฉิงฟาน่าจะอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตถนนเมี่ยวเจีย
“อุตสาหกรรมของเหลียงเฉิงฟานี้ใหญ่ไม่เบาเลยนะ ไม่เพียงแต่มีร้านอาหารอย่างเดียวแถมยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย” เฉินห้าวถาม
“ใช่ค่ะ เขามีพื้นฐานที่มั่นคงมากเพราะเขาทำงานที่นี่มาหกเจ็ดปีแล้ว และเขาก็ไม่ยอมออกไปพัฒนาข้างนอกด้วย คนส่วนใหญ่แตะต้องเขาไม่ได้ ส่วนคนรวยบางคนก็ดูถูกสถานที่ทรุดโทรมนี้ มันจึงกลายเป็นพื้นที่เสื่อมอย่างทุกวันนี้” จูหมิ่นอธิบาย
เฉินห้าวพยักหน้าและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับจักรพรรดิอย่างเหลียงเฉิงฟามาบ้างแล้ว ของมักจะใช้วิธีการที่ต่ำช้ากับคนอืน และแม้ว่าเขาไม่ใช้ความรุนแรงแต่กลับทำให้คนอื่นทรมานมากกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างกับนักเลงอย่างเฮียสือที่เฉินห้าวเคยปะทะมาก่อนอย่างสิ้นเชิง