วิชาท่ากวางคือการหลบและป้องกันตัวเองเป็นหลัก แต่ว่ามีกระบวนท่าหนึ่งที่คิดค้นขึ้นเพื่อเป็นการโจมตี นั่นคือ “จื่อลู่เหวยหม่า”
จื่อลู่เหวยหม่าก็เป็นสำนวนเช่นกัน และยังมีเรื่องราวประวัติอยู่ด้วย ในช่วงจักรพรรดิฉันที่ 2 อัครมหาเสนาบดีที่ชื่อจ้าวเกา ชี้กวางตัวหนึ่งแล้วบอกว่าคือม้า ก็เพื่อคัดคนที่ไม่เชื่อฟังเขาทิ้ง และกระบวนท่านี้ก็ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างในวิชาท่าห้าสัตว์
อยู่ๆเฉินห้าวก็ใช้หมัดซ้ายต่อยเข้าใส่อีกฝ่าย บอดี้การ์ดซูบผอมใช้วิธีการที่เห็นได้บ่อยในมวย หันตัวหลบและก็ใช้หมัดขวาลอบเสยจากด้านล่าง เดิมทีนี่เป็นเคล็ดลับที่ปลอดภัยมาก แต่ว่าหมัดซ้ายของเฉินห้าวนั่นเป็นการโจมตีหลอก ขาขวาเตะออกไปในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเป็นไปได้แล้ว
จื่อลู่เหวยหม่าก็คือการผสมระหว่างหลอกและจริงเข้าด้วยกัน หมัดซ้ายที่เหวี่ยงออกไปในตอนแรก ไม่ใช่สิ่งหลักที่โจมตี หลังจากที่ดึงความสนใจของอีกฝ่ายแล้ว ขาขวาถึงได้มีโอกาสโจมตี
แน่นอน ว่าลำดับก่อนหลังก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถเตะขาออกไปเป็นการหลอก แล้วใช้หมัดซุ่มโจมตีเพื่อเอาชนะ นี่ล้วนต้องดูตามสถานการณ์จริงทั้งนั้น
ศิลปะการต่อสู้ไม่มีการไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ารู้จักทำแค่ฝึกท่าเดิมๆซ้ำๆ รอให้คนอื่นดูวิธีการออก นั่นก็คือเวลาที่พ่ายแพ้แล้ว
“เป็นไปได้ยังไง?”
บอดี้การ์ดซูบผอมตกใจเป็นครั้งที่สอง กระบวนท่าของเฉินห้าวนั้นคาดเดาไม่ได้ ไม่เหมือนกับวิชาท่าเสือที่กล้าหาญของก่อนหน้านี้เลยสักนิด สามารถเรียกได้ว่าแปลกประหลาด ทำเอาเขาไม่คุ้นชินอย่างมาก
ตอนนี้หลบขาของเฉินห้าวไม่ทันแล้ว บอดี้การ์ดซูบผอมทำได้แค่งอขา เพื่อใช้กระดูกขาของตัวเองมาป้องกันลูกเตะของเฉินห้าว
“ปัก!”
แรงขาของเฉินห้าวนั้นนอกเหนือความคาดหมายของเขา เขาเลือกใช้กระบวนท่าขาข้างเดียวมาป้องกัน เดิมทีการทรงตัวก็ไม่มั่นคง สุดท้ายถูกแรงมหาศาลของเฉินห้าวทำเอาตัวเขาลอยกระเด็นออกไปที่พื้นกรวดทราย มีรอยออกไปไกล ยังดีที่ช่วงหน้าหนาวใส่เสื้อเยอะ ไม่อย่างนั้นแผ่นหลังคงจะหนังถลอกไปด้วย
“ขยะเอ้ย! รีบลุกขึ้นมาต่อยมัน!” ก่วนซงพูดอย่างโมโห
บอดี้การ์ดซูบผอมอดทนต่อความเจ็บแล้วลุกขึ้นจากพื้น ขยับขาที่แข็งไปแล้วนิดหน่อย รู้สึกว่ากระดูกน่องนั้นชาไปหมดแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่ากำลังของเฉินห้าวจะเยอขนาดนี้
ทั้งๆที่ดูแล้วกล้ามเนื้อของเฉินห้าวไม่ได้เยอะเกินไป แต่ว่ากำลังเป็นสิ่งที่บอดี้การ์ดซูบผอมเห็นได้เพียงน้อยนิดในชีวิตเท่านั้น โดยเฉพาะตัวเขาเองที่ร่างกายซูบผอม กำลังไม่ใช่จุดแข็ง ดังนั้นในตอนที่พยายามสู้ต่อนั้นยิ่งแย่มากกว่าบอดี้การ์ดวัยกลางคนซะอีก
ตอนนี้บอดี้การ์ดซูบผอมรู้ความแตกต่างของตัวเองกับเฉินห้าวแล้ว การต่อสู้ไม่โดดเด่น กำลังน้อย ไม่สามารถจะสู้ต่อได้แล้ว
แต่ว่าเพื่อที่จะได้รับเงินเดือนจากเจ้านายเอาใจยากคนนั้น ก็ยังจะต้องทำงานที่เขาควรจะทำให้ดี นั่นก็คือยิ่งทนได้นานยิ่งดี
ต่อมาบอดี้การ์ดซูบผอมเปลี่ยนวิธีการ ล้อมไว้แต่ไม่โจมตี นั่นก็คือล้อมรอบตัวเฉินห้าว ทำท่าทาง ดูเหมือนเป็นการจะเข้าต่อสู้จนตาลาย แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้เข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้ เป็นการหลอกล่อ
เฉินห้าวโจมตี บอดี้การ์ดซูบผอมก็ถอยหลัง อ้อมวนแล้วคอยเหวี่ยงหมัดฟาดขาบ้าง เหมือนว่ามีการปะทะต่อกัน แต่ว่าบอดี้การ์ดคนนั้นที่บาดเจ็บดูออกว่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองคนนี้ถูกกดไว้โดยสิ้นเชิง
เทียบกับหมัดเสือแปลกประหลาดตอนที่ต่อสู้กับตัวเขา ศิลปะการต่อสู้ที่เฉินห้าวใช้ในครั้งนี้ยิ่งฉลาดหลากหลาย เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง นี่ทำให้บอดี้การ์ดวัยกลางคนที่เป็นผู้ฝึกฝนวิชารู้สึกงุนงงมาก ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ค่อยได้ที่คนๆหนึ่งจะฝึกวิชที่แตกต่างกันได้ ความลับในตัวเฉินห้าวนั้นมีมากจริงๆ
เฉินห้าวเองก็ดูออกแล้วว่าบอดี้การ์ดซูบผอมกำลังเล่นหลอกล่อ เพื่อต้องการบีบให้อีกฝ่ายออกตัว เขาจึงใช้กระบวนท่า “วีรบุรุษล่ากวาง” เพื่อตัดหนทางของเขา กดดันให้ต่อสู้กัน
บอดี้การ์ดซูบผอมอยากจะหนีเหมือนเดิม แต่อยู่ๆเฉินห้าวก็ใช้วิธีจื่อลู่เหวยหม่า ถอยขาขวาเพื่อกั้นทางหนีของเขา
บอดี้การ์ดซูบผอมเห็นว่าทางขวาถูกกั้นไว้ จึงได้กระโดดไปทางซ้าย ปรากฏว่าเดิมทีจื่อลู่เหวยหม่าก็คือการหลอก ข้อศอกทางซ้ายถึงจะเป็นการโจมตีที่แท้จริง
“แย่ละ!”
บอดี้การ์ดซูบผอมรู้วิธีการของเฉินห้าวตอนนี้ก็สายไปแล้ว ซ้ายขวาของเขาล้วนถูกกั้นไว้ ส่วนด้านหลังก็เป็นรถยนต์คันหนึ่ง ตอนนี้ทำได้เพียงยกแขนทั้งสองข้างเตรียมรับการโจมตีของเฉินห้าวแล้ว
“ปัก!”
“ปัก!”
เสียงดังสองครั้งติดกัน เสียงแรกคือหมัดของเฉินห้าวปะทะเข้ากับสองแขนของบอดี้การ์ดซูบผอม จากนั้นบอดี้การ์ดซูบผอมก็ถูกแรงที่ไม่สามารถต้านทานได้ปะทะใส่จนถอยหลัง จนไปชนเข้ากับรถที่อยู่ด้านหลัง แล้วก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“นี่มันก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ฉันคงจะโดนสักหมัดของเถ้าแก่เฉินก็ไม่ไหวหรอก” ทหารหนุ่มคนหนึ่งพูดพึมพำ
บอดี้การ์ดซูบผอมรู้สึกแค่เพียงในปากเหม็นคาว ที่แท้ก็มีเลือดออกจากลำคอ ครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บ แล้วเขาก็เห็นเฉินห้าวโจมตีเข้ามาอีกครั้ง บอดี้การ์ดซูบผอมก็รีบกอดหัวไว้ตะโกนว่า “อย่าตีแล้ว ฉันยอมแพ้!”
เฉินห้าวก็ไม่อยากทุบตีคนที่ไม่รู้จักสวนมือ จึงทำได้เพียงหยุดลง
รอบนี้เขาไม่ได้สะใจสักเท่าไหร่ เพราะว่าบอดี้การ์ดซูบผอมถูกเขากดในทุกด้าน เป็นการทุบตีผักโดยสิ้นเชิง ไม่ได้รู้สึกดีที่ได้รับชัยชนะเลยสักนิด
แต่ว่าวิชาท่ากวางก็พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการต่อสู้เดี่ยวแล้ว พอนำมาใช้ไม่ได้แพ้วิชาท่าเสือเลย เพียงแค่รูปแบบไม่เหมือนก็เท่านั้น
บอดี้การ์ดซูบผอมเองก็มีแผนการจริงๆ แกล้งทำเป็นเจ็บหนัก อิงหลังใส่รถที่ได้รับความเสียหายแล้วโอดครวญ แสดงออกว่าตัวเองขยับไม่ได้แล้ว
แต่เฉินห้าวนั้นรู้ว่าตัวเองไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด อีกฝ่ายไม่มีทางได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ มีความเป็นไปได้มากที่จะแสดง ดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกดีต่อบอดี้การ์ดซูบผอมคนนี้ จึงไม่ได้ไปพยุงเขาลุกขึ้น