บทที่ 3
Ink Stone_Romance
สิ่งแรกที่อาเรียทำหลังจากได้ย้อนเวลากลับมาในอดีตคือการว่าจ้างอาจารย์ประจำตระกูล
เพราะเธอมาจากชนชั้นรากหญ้าจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเรียนรู้มารยาทชั้นสูงได้ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนเธอจะตายแล้ว เธอเป็นแบบนั้นมาเป็นสิบๆ ปี มันจึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง แม้เธอจะใช้ความพยายามเพียงนิดก็จะสามารถทำแบบนั้นได้อย่างสง่างามแต่เธอก็ไม่ได้ทำ
หรือถ้าจะให้ตรงประเด็นคือเธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเสียด้วยซ้ำ มีผู้คนมากหน้าหลายตานับไม่ถ้วนเข้าหาเธอเพราะรูปกายภายนอกที่ถอดแบบมาจากมารดาผู้ซึ่งขโมยหัวใจของท่านเคานต์มาได้ด้วยเพราะรูปลักษณ์ที่งดงามเช่นกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เพราะความงามที่ทำให้ทุกคนหลงมัวเมาได้เพียงแค่แรกเห็น นั่นคือปัจจัยที่จำเป็นที่จะทำให้งานเลี้ยงสนุกสนานขึ้นมาได้
แม้ลับหลังเธอจะถูกติฉินนินทาเรื่องพฤติกรรมต่ำทรามที่นับวันมีแต่จะมากขึ้นทุกชั่วขณะก็ตาม
และถึงแม้จะมีคนคอยครหาก่นด่าว่าเธอชั้นต่ำ แต่เหล่าคนที่รักในรูปโฉมภายนอกก็ยังมีมากมายเสียจนเธอไม่คิดจะเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น เธอไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเป็นด้วยซ้ำ
บางครั้งเธอเองก็เคยถูกทำให้อับอายขายหน้าในงานเลี้ยง แต่ทุกครั้งก็จะมีบรรดาชายหนุ่มที่เข้าข้างเธอเสมอ
พอกลับมาคิดดูในตอนนี้ เธอกลับพบว่าพวกผู้ชายกลุ่มนี้ไม่เห็นช่วยอะไรเธอได้เลยสักนิด เพราะจุดประสงค์ของคนพวกนั้นมีเพียงแค่ให้ตนได้เชยชมอาเรียสักครั้ง แต่พวกเขาไม่ได้รักหรือเอ็นดูเธอแม้แต่น้อย เพียงแค่หลงใหลรูปโฉมภายนอกของเธอ เสมือนผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้าหาแสงไฟเท่านั้น
และเมื่อเวลาผ่านไป เหล่าชายหนุ่มที่เคยวิ่งตามอาเรียก็กลับไปหมั้นหมายกับบรรดาบุตรสาวจากวงศ์ตระกูลที่ทั้งสูงส่งและปราดเปรื่องมากกว่าอาเรียกว่าเท่าตัว จนข้างตัวของอาเรียไม่มีใครเหลืออยู่เลยแม้สักคน
เธอนึกถึงชายหนุ่มหลายคนในจำนวนนั้นที่เคยบอกว่ารักเธอจริง แม้จะไม่รู้ว่ามันออกมาจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม
‘เอาล่ะ ไว้ลองใจเจ้าพวกงั่งนั่นทีหลังก็คงจะรู้เองแหละนะ’
ในตอนนั้นเธอไม่เคยยอมรับความจริงว่าตนถูกทิ้งและเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการประทินโฉมตนเองเพียงเท่านั้น แต่ ณ เวลานี้ที่เธอได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอรู้ซึ้งแล้วว่าเธอจะกลับไปทำแบบเดิมอีกไม่ได้
เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะโง่งมเกินไปกว่าการนำรูปโฉมภายนอกที่มีแต่จะเสื่อมโทรมลงมาเป็นทรัพย์สมบัติที่ยั่งยืนอีกแล้ว
“ยินดีที่ได้พบค่ะ เลดี้อาเรีย ดิฉันคือซาร่าแห่งนักประพันธ์ลอเรนค่ะ”
อาจารย์ประจำตระกูลที่เพิ่งเข้ามาใหม่อายุประมาณสิบเจ็ดปี ทักทายเธอโดยการคุกเข่าลงถอนสายบัวพร้อมกับจับชายกระโปรงขึ้น
เธอเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีอะไรพิเศษแม้จะหน้าตาน่ารักก็ตาม เหตุผลที่ทำให้เธอปฏิเสธคนเก่งๆ และยังเป็นถึงแนวหน้า แต่เลือกหญิงสาวที่ไม่เคยสอนใครมาก่อนคนนี้มีเพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหญิงสาวผู้นี้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนักประพันธ์แสนต่ำต้อย และจะได้เป็นที่ถูกตาต้องใจมาร์ควิสวินเซนต์และกลายเป็นมาร์เชอเนสในภายหลัง
และหากจะมองว่ามาร์ควิสวินเซนต์ที่เป็นหนึ่งในวงศ์ตระกูลที่เป็นเลือดบริสุทธิ์นั้นอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจโดยไม่นับดยุกเฟรดเดอริกที่สืบเชื้อสายมาจากพระบรมวงศานุวงศ์ก็คงไม่ผิดนัก การผูกสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาตั้งแต่แรก ฉะนั้นมันคงจะดีหากเธอเริ่มตีสนิทกับผู้ที่จะได้ครองอำนาจในภายภาคหน้าไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ อาเรียตั้งเป้าหมายไว้หลายคนแต่เธอตัดสินใจจะเริ่มจากการดึงซาร่าผู้ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาเป็นพวกก่อน เด็กสาวใสซื่อที่ไม่ถามอะไรซอกแซกดูจะง่ายเหลือเกินที่จะปฏิบัติกับหล่อนเยี่ยงลูกแกะถูกบูชายัญบนแท่นบูชาโชกเลือด
อาเรียวิ่งไปกอดเอวซาร่าเอาไว้โดยไม่นึกสนเรื่องมารยาทใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ซาร่าก็เพียงแค่เบิกตาโตขึ้นมาเท่านั้น เธอไม่ได้แสดงท่าทีตกใจจนเกินงามออกมาเลย เธอเงยหน้าขึ้นมองซาร่าทั้งที่ยังกอดเอวหญิงสาวไว้อยู่อย่างนั้น อาเรียเผยรอยยิ้มสดใสสมกับเป็นเด็กน้อยน่ารักพร้อมกับกล่าวว่ายินดีที่ได้พบและยินดีต้อนรับออกไป
ซาร่ายิ้มตามเมื่อได้เห็นภาพที่แสนไร้เดียงสานั้น มันคือเรื่องที่พึงกระทำเพราะอาเรียยังเด็กนัก แม้ภายในจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม
เคาน์ติสที่คอยมองอยู่ก็เข้ามาดึงอาเรียออกก่อนจะเอ่ยขอโทษ
“เธอยังไม่ค่อยรู้เรื่องมารยาทจึงได้แสดงกิริยาแบบนั้นออกไป ช่วยเข้าใจด้วยนะคะ คุณซาร่า”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ อย่าห่วงเลย”
“ดิฉันจะดูแลเลดี้อาเรียอย่างดีนะคะ”
ซาร่าเป็นคนชอบเด็ก ชอบมากถึงขนาดที่ยินดีจะให้กำเนิดได้ทุกปีต่างจากหญิงสาวในตระกูลอื่นๆ ที่มักจะไม่ต้องการอุ้มท้องอีกหลังจากให้กำเนิดบุตรชายแล้ว
ซาร่าคิดว่าการให้กำเนิดคือหน้าที่และความรับผิดชอบของวงศ์ตระกูลและเธอยังมีชื่อเสียงในเรื่องการเลี้ยงดูลูกๆ ของเธอทุกคนมาด้วยความรักอีกด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่แม้แต่จะตำหนิอาเรียที่ทำตัวเสียมารยาททั้งยังมองเด็กน้อยด้วยใบหน้าอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากเคานต์ติสออกไปแล้ว ทั้งสองคนก็นั่งมองหน้ากันโดยมีโต๊ะตั้งอยู่ตรงกลางเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับคาบเรียนในอนาคต
“เป็นเกียรติของดิฉันที่ได้มาสอนเลดี้อาเรียนะคะ เลดี้อยากเรียนเรื่องอะไรมากที่สุดคะ”
อาเรียกะพริบแพขนตายาวพร้อมกับเอียงหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคำถามของซาร่า เธอทำอย่างนั้นอยู่สักพักก่อนจะลูบนิ้วของตนเอง แก้มทั้งสองหรือก็แดงระเรื่อราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้
และภาพที่ดูนุ่มนวลเหมือนลูกพีชนั้นก็พาลทำให้พวงแก้มของซาร่าแดงระเรื่อตามไปด้วย
“มารยาทการเดิน การนั่ง การทานอาหาร… ทุกอย่างเลยค่ะ! เพราะหนูอยากเป็นคนที่ดูสง่างามมากๆ เช่นมิเอลน้องสาวของหนูค่ะ”
คนที่จิตใจข้างในเน่าเฟะจนมืดดำแม้ภายนอกจะแสร้งทำเป็นหน้าซื่อตาใสไร้เดียงสาและงามสง่าแบบนั้น หากจะต่อกรกับนางร้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นนางร้ายเช่นกัน
‘ไม่สิ ฉันต้องร้ายให้มากกว่านางนั่น ต้องเป็นนางร้ายที่ซ่อนธาตุแท้เอาไว้ให้มิดด้วยหน้ากากที่หนายิ่งกว่า’
นี่คือหนทางที่เธอตัดสินใจเลือกเดินในชีวิตใหม่ของเธอ
เมื่อได้ยินที่อาเรียพูด ซาร่าก็นึกภาพน้องสาวของเด็กน้อยออกทันที แม้จะอายุยังน้อยแต่เด็กคนนั้นก็เป็นที่เลื่องลือเรื่องการกระทำที่อ่อนช้อยสง่างาม
เธอได้รับการอบรมสั่งสอนเพื่อให้เป็นแบบอย่างของบุตรสาวในวงศ์ตระกูลตั้งแต่เพิ่งเริ่มหัดเดิน เพราะท่านเคานต์มักเชิญตระกูลชนชั้นสูงศักดิ์ต่างๆ จากต่างชาติมายังคฤหาสน์เพื่อเรื่องธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ซาร่าจึงเข้าใจความรู้สึกของอาเรียดี ในเมื่อเธอมีแบบอย่างของเลดี้อยู่ใกล้ตัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธออยากจะเป็นเหมือนมิเอล
หากมองผิวเผินเพียงรูปโฉมภายนอก อาเรียผู้มีดวงตาน่าหลงใหลย่อมเหนือกว่าอย่างแน่นอน แต่ระหว่างวงศ์ตระกูลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสำหรับโลกนี้คำร่ำลือมักจะเปลี่ยนไปตามการโอ้อวดของตนเองว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด
‘ได้ยินว่าเธอเพิ่งอายุแค่สิบสี่เองนี่นะ ทั้งที่ผมและนัยน์ตาต่างก็มีสีเดียวกันกับมิเอลผู้น้องแต่ทำไมจึงให้ความรู้สึกต่างกันได้ขนาดนี้กัน’
แม้จะอายุเพียงสิบสี่แต่กลับมีเสน่ห์น่าดึงดูดจนเป็นที่สะดุดตาอย่างไม่น่าเชื่อ นี่สิคุณสมบัติที่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจหามาเป็นของตัวเองได้
หากมิเอลและอาเรียมายืนอยู่เคียงข้างกัน ก็มั่นใจได้ว่าผู้คนจะต้องมองไปที่อาเรียเป็นตาเดียวอย่างแน่นอน
เธออายุยังน้อย ดังนั้นหากได้สะสมความสง่างามและคุณสมบัติที่เพียบพร้อมอย่างสม่ำเสมอก่อนได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในแวดวงสังคม เธอจะมัดใจคนในสังคมได้อยู่หมัดแน่นอน
ซาร่าคิดว่าเป็นเกียรติของเธออย่างยิ่งที่ได้มาสอนสาวน้อยผู้นี้ ถึงกับรู้สึกซาบซึ้งที่ตนเป็นผู้ถูกเลือก ซึ่งทั้งอาเรียและซาร่าต่างก็คิดเช่นเดียวกัน
“อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ดิฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นต่อไปเราก็จะได้เจอกันอีกนานๆ เลยสินะคะ หนูดีใจเหลือเกินค่ะ”
ช่างดีเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่เราจะได้เจอกันไปอีกแสนนาน ท่านว่าที่มาร์เชอเนส
อาเรียยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ เธอรู้ได้จากรอยยิ้มของซาร่าว่าตนกลายเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของหญิงสาวตรงหน้าไปแล้ว
เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลยนะ
* * *
อาเรียเก็บเกี่ยวความรู้จากซาร่าได้อย่างรวดเร็ว เธอเคยเห็นมันจากผู้คนมากมายเป็นหลายร้อยหลายพันครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากเธอจะเรียนรู้มัน
ครั้งหนึ่งเธอเคยแอบเลียนแบบท่าทางของมิเอลอยู่คนเดียว และมันคงจะแปลกยิ่งกว่าหากเธอไม่สามารถเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เธอเคยเห็นและได้ยินสิ่งต่างๆ มามากมาย
แต่นี่คือความจริงที่มีเพียงอาเรียเท่านั้นที่รู้ เพราะสำหรับคนอื่นแล้วพวกเขาต่างเห็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่มารยาทแต่กลับเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ซาร่าคอยปรบมือให้อาเรียที่ได้แต่นึกละเหี่ยใจกับการต้องมาลุกนั่งให้ดูสง่างามราวผีเสื้อ ใบหน้าของเธอแทบจะกลายเป็นนางฟ้าถ้าหากทำได้
“ถ้าทำได้เท่านี้ ดิฉันคิดว่าเลดี้จะเรียนรู้มารยาทพื้นฐานทั้งหมดได้ภายในปีนี้แน่ค่ะ”
“อาจารย์ชมเกินไปแล้วค่ะ”
อาเรียเรียกซาร่าว่าอาจารย์ เธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นกับซาร่าที่ยังมีประสบการณ์การสอนไม่มากพอทั้งยังมีฐานะทางสังคมที่ต่ำกว่า แต่อาเรียที่ปิดบังความจริงไว้กลับบอกเพียงว่าอาจารย์คือคำที่เหมาะสมแล้วเพราะซาร่าคือผู้ที่สั่งสอนเธอมา
อาเรียมัดใจซาร่าได้ในทันทีด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและความจริงใจของเธอ
ซึ่งความจริงเธอก็ไม่ได้มีความจริงใจอะไรมากนัก เพียงแต่เพราะร่างกายของเธอคุ้นเคยกับมารยาทที่ซาร่าสอนเธอไปในหลายๆ คาบเรียนที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ก็ช่วยทำให้เธอดูจริงใจขึ้นมาได้
‘เลดี้อาเรียผู้น่าสงสาร’
ความจริงแล้วข่าวลือของอาเรียในที่สาธารณะไม่สู้ดีเท่าใดนัก
ก่อนได้มาเจอกับอาเรีย ซาร่าเคยได้ยินแต่ข่าวลือหนาหูและเคยแอบคิดไปว่ามันเป็นความจริง แต่ตอนนี้เธอกลับได้แต่นึกละอายใจที่เคยคิดแบบนั้นไป
ข่าวลือทุกอย่างเกี่ยวกับอาเรียมักจะเป็นข่าวเสียหายจากคนที่ไม่เคยรู้จักกุขึ้นมาลอยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า แม่ของเธอมีพื้นเพเป็นโสเภณีเท่านั้น
เธอจึงคิดอยากจะช่วยให้อาเรียหลุดพ้นจากคำครหาเหล่านั้นด้วยตัวของเธอเอง
แม้อาเรียจะยังขาดทักษะในการเข้าสังคมหากเทียบกับบรรดาบุตรสาวตระกูลอื่นและยังไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาออกมา แต่เธอก็อยากจะช่วยไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
เพราะข่าวลือที่แสนน่ากลัวนั้นมันมากมายเกินกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะเผชิญหน้าได้นั่นเอง
“เลดี้คะ ถ้าเรียนรู้มารยาทขั้นพื้นฐานหมดแล้ว อยากลองไปงานเลี้ยงน้ำชาดูไหมคะ”
“งานเลี้ยงน้ำชาเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ เพราะงานเลี้ยงน้ำชาคือโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และช่วยทำให้สังคมกว้างขึ้นด้วยนะคะ”
“แต่ว่าหนูแทบจะไม่มีคนรู้จักใครเลยนะคะ แล้วก็ยังเด็กอยู่ด้วย…”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยค่ะ คนรู้จักของดิฉันทุกคนจะต้องชอบเลดี้ และจะคอยช่วยเหลือเลดี้แน่นอนค่ะ”
“อาจารย์…”
อาเรียพูดเสียงเบาหวิวแล้วโผเข้ากอดเอวซาร่าไว้ทันที
เมื่อเด็กน้อยฝังใบหน้าลงกับหน้าท้องพร้อมกับมีเสียงสูดจมูกฟึดฟัดออกมา ซาร่าก็คอยลูบหลังให้อาเรีย นั่นเพราะความสงสาร เด็กตัวน้อยที่ยังไม่ทันได้ผลิบานคนนี้ทำผิดอะไรกัน
แม้จะเริ่มเรียนไปได้ไม่นาน แต่พอนึกถึงภาพของเด็กน้อยที่มักจะแสดงท่าทีเป็นกังวลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังกดตัวเองโดยการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับมิเอล เธอก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้
อาเรียไม่ได้อยากเกิดมาในต้นตระกูลอันต่ำต้อยเสียหน่อย สิ่งนี้เปรียบเสมือนเป็นตราบาปติดตัวและทำให้เธอเจ็บปวดจนน่าเวทนา มันคงเป็นความเจ็บปวดจนเกินจะทนสำหรับเด็กหญิงที่จิตใจดีและบอบบางอย่างเธอ
ซาร่าเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้อาเรียเปลี่ยนอารมณ์ได้
“แล้วระหว่างมื้ออาหารช่วงนี้เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ ได้ทำตามที่ดิฉันสอนหรือไม่คะ”
“แน่อยู่แล้วค่ะ! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาจารย์ซาร่าเลยนะคะ!”
อาเรียเงยหน้าขึ้นมาตอบอย่างสดใสราวกับว่าเธอไม่เคยร้องไห้มาก่อน ใบหน้าของซาร่าที่ก้มมองอาเรียตัวน้อยที่กำลังรายงานว่าช่วงนี้เธอแทบจะรอให้ถึงมื้ออาหารที่มีแต่รอยยิ้มนั่นเร็วๆ
อาเรียยิ้มออกมาจนตาปิดอย่างน่ารักน่าชังทันทีที่คิดถึงมื้อเย็นเมื่อคืนนี้
…………………………………………………..