บทที่ 20
Ink Stone_Romance
ออสการ์ออกจากสวนไปพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้น เขาเช็ดหน้าเช็ดตัวไปนิดหน่อยแต่ก็จำเป็นต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อยู่ดี อาเรียเดินออกมาพร้อมกับเขาและสั่งให้ข้ารับใช้ที่สวนกันระหว่างทางเข้ามาช่วย
“กลับคฤหาสน์ท่านดยุกไม่ดีกว่าหรือคะ”
เธอหวังไว้ แต่โชคไม่ดีที่ออสการ์ไม่ต้องการเช่นนั้น
“ไม่ล่ะ ท่านพ่อไม่รู้ว่าฉันเข้ามาในเมือง ถ้ากลับไปตอนนี้ก็มีแต่จะโดนดุซะเปล่าๆ “
โรงเรียนนี้มีอุดมการณ์เรื่องการอุทิศตนเพื่อการเรียนรู้ให้ห่างไกลจากเรื่องทางโลก จึงเป็นเรื่องปกติที่นักเรียนจะไม่กลับบ้านในช่วงระหว่างภาคการศึกษา ยกเว้นมีเรื่องพิเศษเกิดขึ้น
บางครั้งมีนักเรียนพยายามแอบหนีออกไปเพราะคิดถึงบ้าน แต่นักเรียนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็จำต้องกลับโรงเรียนไปหลังจากถูกดุด่าอย่างรุนแรง
พวกเขามักจะถูกถามว่าถ้าแค่นี้ยังอดทนไม่ได้ แล้วจะแบกรับมรดกครอบครัวได้อย่างไร พออาเรียคิดว่าเขากลัวจะโดนดุ ก็หัวเราะเบาๆ ราวกับปุยนุ่น ออสการ์เองก็เผยยิ้มที่มุมปาก
“ฉันกลัวว่าเสื้อผ้าพวกนั้นจะทำให้คุณไม่สบายตัวน่ะค่ะ”
เคนกลับมาถึงคฤหาสน์คนเดียวโดยไม่มีข้ารับใช้ตามมาด้วย เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เปียกชุ่ม จึงต้องเปลี่ยนมาสวมชุดที่เตรียมไว้สำหรับแขกที่มาเยือนคฤหาสน์
เขาต้องเสียดายแน่ๆ ที่ปฏิเสธมิเอลที่ชวนไปซื้อของด้วยกัน
“ฉันไม่ได้หาเสื้อผ้าอื่นมาเพิ่มให้เลย ก็เลยส่งข้ารับใช้ไปเอามาให้น่ะ”
“อ๋อ ก็เลยกลับมาที่นี่คนเดียวสินะ”
เป็นเรื่องแปลกที่เขาไม่มีข้ารับใช้ติดตามมาแม้แต่คนเดียว
ออสการ์ให้ข้ารับใช้ไปหาดีไซเนอร์ผู้เป็นคนดูแลเรื่องเสื้อผ้าของเขานำเสื้อผ้ามาให้ ระหว่างนั้นเขาก็มองไปรอบๆ คฤหาสน์เพื่อคลายความเบื่อหน่าย เพราะรู้สึกไม่สบายตัวกับเสื้อที่สวมใส่อยู่ตอนนี้
ท่าทีของเขาที่มีต่ออาเรียเริ่มอ่อนลง เพราะความเข้าใจผิดต่างๆ บรรยากาศตอนนี้เป็นใจชวนให้พวกเขาคุยกันได้เรื่อยๆ จนกว่าข้ารับใช้จะกลับมา แต่ ณ จุดนี้เธอรู้สึกว่าต้องควรต้องออกไปจากตรงนี้
แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กๆ แต่ก็คงจะดีกว่าเสียเวลาไปกับการสนทนาอันไร้ประโยชน์
“ถ้าเช่นนั้นก็กรุณาพักผ่อนให้สบายนะคะ”
“เลดี้ก็เช่นกันครับ”
สายตาของออสการ์มองตามแผ่นหลังของอาเรียที่กำลังขึ้นไปยังชั้น 3 เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะสนใจในตัวเธอที่แตกต่างจากจินตนาการของเขาในหลายๆ ด้านและหลายข่าวลือที่ได้ยินมา แม้ว่าการที่เขาสนใจในตัวเธอจะไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสนใจในตัวเธอในฐานะบุคคลคนหนึ่ง
รอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของอาเรียที่เขาเห็นในห้องอาหารผุดขึ้นมาในหัวของออสการ์ รอยยิ้มของเธอไม่น่าจะเป็นรอยยิ้มที่เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอแสดงออกมาได้แน่ๆ
ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะมลายหายไปชั่วขณะ เพราะภาพใบหน้าอันมีเสน่ห์ของเธอดึงดูดเขาภายในพริบตา
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็สับสนทั้งเรื่องที่ไม่มีใครเรียกเธอ แม้จะเลยเวลาอาหารกลางวันมาแล้ว ทั้งเรื่องที่เธอรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนเพียงคนเดียว หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เธอน้ำตาซึมในตอนที่ทำพลาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
‘จริงๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่นะ ไม่สิ หรือจริงๆ แล้วเธอเป็นทั้งสองแบบ’
เมื่อเขาไปถึงบันไดก็เห็นใบหน้าของเธอหันกลับมา เขาไม่แน่ใจว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่าที่สายตาของเขาสบเข้ากับสายตาของอาเรียที่กำลังจับจ้องมาอยู่พอดี
รูปลักษณ์อันบอบบางที่เขาเห็นครู่หนึ่งจนถึงเมื่อสักครู่หายไปไม่เหลือแม้แต่เงา เหลือเพียงแค่สายตาอันน่าประหลาดใจที่เห็นในห้องอาหารเท่านั้น
ออสการ์ส่ายหัวพลางคิดว่า เขาควรจะทำอย่างไรกับความคิดเช่นนี้ดี มันช่างเป็นความคิดที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ก็จะจบลงทันที หลังจากที่เขาคืนผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
เขาคิดเช่นนั้น
* * *
มิเอลและเคนกลับมายังคฤหาสน์หลังจากออกไปข้างนอกได้ไม่นานนัก แรกเริ่มเดิมทีจุดประสงค์ของการออกไปข้างนอกครั้งนี้คือการไปกับออสการ์ การที่ไม่มีเขาไปด้วย ก็เปรียบเสมือนกับกล่องของขวัญที่ภายในว่างเปล่า ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่เพียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้น มิเอลก็ซื้อของกลับมามากมาย รวมทั้งซื้อของขวัญที่จะให้ออสการ์ด้วยเช่นกัน
ทว่าเธอกลัวว่าออสการ์จะปฏิเสธของขวัญของเธอ เคนจึงรับหน้าที่นั้นแทน เคนเอียงศีรษะอย่างสงสัย เมื่อเห็นผมของออสการ์เปียกหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ฉันรู้สึกไม่สบายตัวน่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่อาบน้ำในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ”
สายตาของเคนมองไปยังนอกหน้าต่างที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่าย 3 โมงเท่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าออสการ์ไม่สบายตัวอะไรจนถึงขั้นต้องอาบน้ำในเวลาแบบนี้
“ฉันเอาเสื้อผ้าใหม่มาด้วย”
“จริงด้วย เสื้อผ้าของแกเปลี่ยนไป”
เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นแบบที่เขาชอบ เคนยักไหล่พลางคิดว่าออสการ์คงจะสั่งให้ข้ารับใช้นำเสื้อผ้าใหม่มาให้ เพราะในบรรดาเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับแขกที่คฤหาสน์ท่านเคานต์คงจะไม่มีเสื้อผ้าแบบที่เขาชอบ
“รับนี่ไปสิ”
“มันคืออะไร”
“แกบอกว่าทำปลายปากกาหายไม่ใช่เหรอ ฉันนึกขึ้นได้ก็เลยซื้อมาให้”
เมื่อเคนเปิดกล่องที่ดูหรูหรา ก็เห็นปลายปากกาที่ดูก็รู้ทันทีว่าเป็นแบบคุณภาพดีที่สุด หัวปากกาที่ทำขึ้นอย่างประณีตเสมือนว่ามันมีราคาสูงกว่าอันเก่าที่เขาทำหายเสียอีก
“…แกบอกว่าแกซื้อมาอย่างนั้นเหรอ”
ปกติแล้ว เคนคิดว่าของจำพวกปลายปากกาหรือน้ำหมึกเป็นสิ่งของที่ใช้แล้วหมดไป จึงใช้แบบไหนก็ไม่เกี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้ใช้มันเซ็นเอกสารสำคัญ เป็นเพียงแค่ของที่นักเรียนใช้กันเท่านั้น
เคนคงจะเข้าใจความหมายของคำถามที่ออสการ์ถามกลับมาจึงแกล้งกระแอมเบาๆ เขาบอกมิเอลไปเพราะคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ออสการ์ต้องการมากที่สุด แต่กลายเป็นว่าพอให้ไปแล้วกลับดูแปลกชอบกล
“คิดซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดก็แล้วกัน”
“แต่วันเกิดฉันมันผ่านมาสักพักแล้วนะ”
วันเกิดของออสการ์เพิ่งจะผ่านมาราวสามเดือนเศษ เคนรำคาญที่เขาสงสัยอะไรไร้สาระ จึงรีบรุดออกจากห้องไป อย่างไรก็ตาม เขาก็รับหัวปากกานั้นมาแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะความจริงเขาก็มีอันสำรองอยู่ก่อนแล้ว แต่การมีอันสำรองเพียงแค่อันเดียวก็ทำให้เขากังวลใจอยู่เหมือนกัน
เขาเลยคิดว่ามันคงจะไม่เลวเท่าไรนักที่จะรับไว้ ในเมื่อเคนอุตส่าห์ซื้อมาให้ อีกทั้งปกติเคนก็มักจะซื้อของขวัญแบบนั้นแบบนี้มาให้อยู่แล้ว แม้คราวนี้จะมีท่าทีน่าสงสัยไปบ้าง แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ในบรรดาของขวัญที่เขาได้รับส่วนใหญ่ ก็ได้รับมาจากมิเอล น้องสาวของเคน แต่เคนก็บอกความจริงกับเขาหลังจากรับของขวัญมาแล้ว ทำให้เขาคืนกลับไปไม่ได้ จึงใช้ไปทั้งอย่างนั้น เพราะเขาคิดว่าการคืนสิ่งของที่ได้รับจากสตรีนั้นเป็นเรื่องน่าอาย
‘ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้…’
เป็นไปได้ว่าสิ่งนี้เป็นของที่มิเอลซื้อให้ แม้จะเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นภาระเมื่อคิดว่าหากนำของไปคืน คงจะเป็นการทำร้ายจิตใจเธอ ไม่ว่าคนโง่คนไหนก็ดูออกว่าเธอชอบเขา
ออสการ์รู้สึกกังวลใจอยู่ชั่วขณะ เขาวางของขวัญไว้บนโต๊ะ โดยไม่นำไปคืนเธอดังเช่นทุกที เพราะชัดเจนอยู่แล้วว่ามันมาจากเธอ
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอก็ยังเกี่ยวพันกันเรื่องการหมั้นหมาย จะมาปฏิเสธเธอเอาตอนนี้คงไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการนัก
ในฐานะผู้สืบทอดของท่านดยุก เขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลก่อนสิ่งอื่นใด และเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ครั้งนี้ก็เช่นกัน
มิเอลเป็นสตรีผู้สง่างามและสูงสุด สตรีที่ท่านดยุกให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จริงอยู่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดออกไปเที่ยวข้างนอกกับเธอและกระชับความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องสร้างปัญหาโดยการคืนของขวัญที่เธอให้มา
พอคิดเช่นนั้น ออสการ์ก็เหลือบมองปากกาหมึกซึมบนโต๊ะ
* * *
บนโต๊ะอาหารในช่วงเย็นวันนั้น มิเอลถามถึงปากกาหมึกซึมตามคาด ออสการ์เองก็คาดเดาไว้แล้วเช่นนั้นจึงตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร
“ฉันทำมันหายก็เลยเป็นกังวลอยู่พอดี”
“ฉันก็คิดว่าคุณคงจำเป็นต้องใช้สำหรับการเรียนที่โรงเรียนแน่ๆ โล่งอกไปทีนะคะ”
“ขอบคุณที่คิดถึงเรื่องของฉันนะ”
อาเรียมองท่าทีอันอบอุ่นของทั้งสองแล้วตักสลัดเข้าปาก เธอมั่นใจว่าของขวัญของมิเอลเป็นรักข้างเดียวแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ยอมรับมันในระดับหนึ่ง แน่ล่ะ เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยกล่าวขอบคุณกลับไปสินะ
จริงอยู่ว่าจนถึงตอนที่เธอคุยกับเขาในสวน มีช่องว่างมากมายให้แทรก แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป แม้พวกเขาจะดูไม่ได้สนิทสนมกันมาก แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงความมั่นคงที่ปราศจากความอึดอัด
‘ความไว้วางใจเหรอ’
เธอมองเห็นเป็นสิ่งนี้ได้เพียงสิ่งเดียว บางทีมันอาจจะเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างตระกูล แล้วก็ความไว้เนื้อเชื่อใจกันในชาติกำเนิดและยศศักดิ์อันสูงส่ง และอย่างสุดท้าย การไว้เนื้อเชื่อใจกันต่อฐานะและนิสัยอันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่กัน
สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่อาเรียไม่สามารถมีได้
เธอใช้นามสกุลโรสเซนต์เช่นเดียวกับมิเอลก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ของเธอตั้งแต่ต้น เธอมาจากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ทำให้รอบตัวเธอมีแต่ข่าวลือแย่ๆ
เธอรู้สึกรำคาญใจ เมื่อเห็นพวกเขาคุยกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว ราวกับไม่มีที่ให้คนต่ำต้อยเข้ามาแทรกกลางตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
‘ถ้ายกเรื่องผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาพูดตรงนี้ล่ะก็…’
ถ้าทำเช่นนั้นแล้วมิเอลจะมีปฏิกิริยาอย่างไรนะ
มิเอลจะยังคงใบหน้าสง่างามแบบนั้นได้อยู่ไหมนะ หรือจะทำหน้าราวกับปีศาจกันนะ ออสการ์คงจะขายหน้าน่าดู
เคนก็คงจะเช่นเดียวกัน และบรรยากาศอันอบอุ่นบนโต๊ะอาหารก็คงจะมลายหายไปในพริบตา ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าดูน่าชมเสียทีเดียว
เรี่ยวแรงที่มือของอาเรียซึ่งกำลังถือส้อมอยู่หายไป หลังมือและนิ้วมือของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ทว่าการกระทำที่โง่เขลาเพียงเพื่อแค่จะปรับอารมณ์ตื้นๆ ของเธอแค่ชั่วขณะเช่นนั้น ในอดีตเธอได้ทำมามากพอแล้ว
อีกทั้งไม่รู้ว่าถ้าพูดไปแล้วจะทำให้ออสการ์รู้ว่าเธอให้ผ้าเช็ดหน้าเขาด้วยเจตนาแอบแฝงหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกไม่นานเธอก็จะได้รับผลตอบแทน เมื่อถึงตอนนั้น เธอก็จะได้เห็นใบหน้าแหลกสลายของมิเอลเอง
อาเรียจดจ่ออยู่กับการทานอาหาร โดยไม่หวังว่าการสนทนาจะหันเหมาทางเธอ ต่างจากที่ผ่านมาที่เธอพยายามเรียกร้องความสนใจจากพวกเขา
เธอไม่รู้ว่าบทสนทนาระหว่างพี่ชายน้องสาวดำเนินไปอย่างไร แต่พวกเขาปฏิเสธอาเรียอย่างสมบูรณ์แบบ
อาเรียหั่นสเต๊กพลางคอยฟังจับผิดบทสนทนาระหว่างพวกเขา โชคร้ายที่เธอไม่ได้รายละเอียดอะไรมามากนัก
แต่ก็เพียงพอให้เธอรู้ว่ามิเอลและออสการ์ไม่ได้สนิทกันมากเท่าไร เมื่อเคนขอให้ออสการ์ตอบคำถามฝ่ายเดียวของมิเอล เขาก็ตอบอย่างสั้นๆ
‘ฉันจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาอย่างไรดีนะ’
แต่นั่นแหละที่เป็นปัญหา
อาจจะดูเหมือนไม่ได้สนิทสนมกันมากเท่าไรก็จริง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นมั่นคง การยอมรับว่าความสัมพันธ์นี้จะนำไปสู่การหมั้นหมายและแต่งงานในที่สุดนั้นแน่นอนราวกับอากาศ
เธอคงจะทำลายช่องว่างนั้นได้หากทั้งคู่สนิทกัน แต่เธอไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรเพื่อทำลายช่องว่างนั้นในความสัมพันธ์เช่นนี้
ต่อให้ออสการ์จะเปลี่ยนมาสนใจและตกหลุมรักอาเรีย เธอก็รู้สึกว่าเขาคงจะหมั้นหมายและแต่งงานกับมิเอลอยู่ดี
‘เขาเป็นประเภทที่ตกหลุมรักหญิงงามหรือเปล่านะ หรือว่าต้องแกล้งทำตัวน่าสงสาร’
เธอลังเลว่าน่าจะได้ผลทั้งสองทาง
คงมีแต่จะต้องลองทั้งสองทางสินะ ก่อนอื่นเขาต้องใช้คืนเรื่องผ้าเช็ดหน้าก่อน จากนั้นเธอถึงจะเริ่มลงมือได้
ดังนั้นตอนนี้เธอควรอดทนอยู่เฉยๆ ก่อน ไม่เข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาจนเกินควร เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องรอเวลา
เมื่อเธอทานอาหารช้าลง เพราะตกอยู่ในภวังค์ความคิด ออสการ์จึงถามด้วยท่าทีราวกับใส่ใจว่าเป็นอะไรไหม ด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล
“เธอไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ฉันสบายดี”
กะแล้วเชียว ดูเหมือนว่าการแกล้งทำตัวน่าสงสารจะได้ผลสินะ
และยิ่งเธอพยายามเอาสเต๊กเนื้อเข้าปากด้วยรอยยิ้มที่ดูอึดอัดฝืนใจ ความเป็นห่วงของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามิเอลที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ทิ้งส้อมลงเบาๆ เขาก็คงเป็นห่วงถึงขั้นรีบวิ่งไปเอาน้ำมาให้แน่ๆ
อาเรียกลืนรอยยิ้มอันเริงร่าของเธอกลับเข้าไปข้างใน
…………………………………………