บทที่ 29
Ink Stone_Romance
วันละครั้ง หากเธอพลิกเจ้านาฬิกาทราย เธอสามารถย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ครู่หนึ่งได้
เวลาที่ว่านั้นคือประมาณ 5 นาที เธอสามารถย้อนกลับไปได้เท่ากับเวลาที่ทรายร่วงลงมาจนหมด
โชคดีที่นอกจากอาเรียแล้ว ไม่มีใครสามารถใช้มันได้อีก นี่คือผลลัพธ์ที่เธอได้ทดลองกับเจสซี่มาแล้ว
อาเรียลองให้เจสซี่มานั่งเงียบๆ ในห้องตัวเองประมาณ 5 นาทีแล้วค่อยออกไป จากนั้นก็พลิกนาฬิกาก่อนจะสั่งให้หล่อนกลับเข้ามาอีกครั้ง
ซึ่งหากพลิกนาฬิกาทรายแล้วย้อนเวลากลับไปได้ เจสซี่จะต้องจำไม่ได้ว่าตนมานั่งเงียบๆ อยู่ในห้อง
แต่ผลจากการทำการทดลองแบบเดิมซ้ำกันอยู่หลายครั้ง ปรากฏว่าหล่อนย้อนกลับไปในอดีตไม่ได้เลยสักครั้ง มันคือพรที่พระเจ้าประทานให้กับอาเรียแต่เพียงผู้เดียว
ไม่สำคัญว่าจะเป็นช่วงเวลาใด แต่มีข้อจำกัดว่าเธอสามารถย้อนกลับไป 5 นาทีก่อนหน้าได้เพียงวันละครั้งเท่านั้น และหากหมุนนาฬิกาทรายกลับไปจะมีผลข้างเคียงทำให้อ่อนเพลียเป็นอย่างมาก
‘หรือว่า นี่คงไม่ใช่ว่าฉันถูกกินพลังชีวิตไปด้วยใช่ไหม’
จู่ๆ เธอก็คิดแบบนี้ขึ้นมา มีที่ไหนกันที่จะมอบเรื่องที่เป็นเหมือนฝันอย่างการย้อนเวลามาให้โดยไม่ต้องมีอะไรตอบแทน
แต่ดูจากที่เธอรู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างรุนแรงแล้ว ข้อสันนิษฐานนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แม้จะดูเหมือนจะได้เวลานอนเพิ่มขึ้นมา แต่อายุขัยโดยรวมของเธออาจจะสั้นลงก็ได้
‘แต่ต่อให้แกจะดูดพลังชีวิตฉันไปครึ่งหนึ่ง ฉันก็ปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้อยู่ดี’
เธอจะใช้นาฬิกาทราย ใช้แล้วก็ใช้อีกเพื่อทำลายมิเอลให้ป่นปี้ ถ้าหล่อนโดนดูถูกสักวันละครั้ง คงประสาทเสียจนอยู่ไม่ได้แน่ และการแย่งของมีค่าของหล่อนมาก็คงง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย
เธอจะย้อนเวลากลับไปแล้วแย่งบิดาของหล่อน คนที่หล่อนรัก หรือแม้แต่บรรดาคนที่คอยเดินตามหลังหล่อนมาครองให้ได้
ในตอนจบเธอจะทำให้หล่อนใส่ยาพิษลงในชาของเธอจนต้องโดนฟันคอ เหมือนอย่างที่หล่อนเคยทำกับเธอ
“…หึหึ”
แค่คิด เธอก็ไม่อาจกักเก็บเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาได้แล้ว และเมื่อเธอหลุดหัวเราะออกมาในระหว่างคาบเรียน ไวเคาน์ติสไวท์ก็ยิ้มออกมาก่อนจะถามหาเหตุผล
“มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ มีเรื่องดีมากๆ เกิดขึ้นล่ะค่ะ”
อาเรียตอบขณะเหลือบตามองนาฬิกาทรายที่เธอนำมาวางไว้ในระยะที่เธอเอื้อมถึง วันนี้เธอยังไม่ได้ใช้มันเลย ดังนั้นหากเอามาใช้กับไวเคาน์ติสก็ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เลว
“มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือคะ ดิฉันสงสัยจังเลยค่ะ”
“อยากรู้หรือคะ”
“ใช่ค่ะ เขาว่ากันว่าหากแบ่งปันเรื่องดีๆ ต่อกันก็จะยิ่งดีขึ้นอีกเท่าตัวเลยนี่คะ ดิฉันเลยอยากมีความรู้สึกร่วมในเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเลดี้อาเรียน่ะค่ะ”
เจ้าหล่อนช่างน่ารำคาญเสียจริง ทักษะอะไรก็ไม่มีจนคาบเรียนนี้แทบจะไม่เป็นประโยชน์กับเธอเลย
ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังเผยความคิดในใจที่มีแต่เล่ห์เพทุบาย และมักจะจงใจพูดให้เธอไปพบกับลูกชายของเธออย่างอาฟอนเสียจนน่ารำคาญ
‘ทั้งที่ในอดีตหล่อนเคยตามมาลากหมอนั่นที่มาเกาะฉันแจกลับไปอย่างโหดเหี้ยมแท้ๆ’
เธอยังจำใบหน้าของหล่อนที่หันมามองเธออย่างเย็นชาหลังจากมารับตัวลูกชายที่กำลังเมาหัวราน้ำ ราวกับได้ตัดสินไปแล้วว่าหล่อนคงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากคนที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงอย่างอาเรีย พร้อมกับคำพูดสุดท้ายที่บอกไม่ให้ลูกชายตนมาคบค้าสมาคมกับเด็กหยาบช้าแบบนั้น
“ดิฉันได้เจอหมาจิ้งจอกแก่ๆ น่ะค่ะ”
“จิ้งจอกแก่หรือคะ”
“ใช่ค่ะ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ทั้งแก่แล้วก็อัปลักษณ์มากๆ เลยค่ะ”
“นั่นถือเป็นเรื่องดีหรือคะ”
ไวเคาน์ติสที่แท้จริงแล้วคือจิ้งจอกแก่ที่เธอหมายถึงเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
“ดีสิคะ จิ้งจอกแก่นั่นน่ารักจะตายไปค่ะ ท่าทางเวลาที่มันคอยชะเง้อมองหาว่ามีอะไรที่มันพอจะฉกฉวยไปได้บ้างทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่างก็น่าดูมากทีเดียวนะคะ น่ารักเสียจนดิฉันนึกอยากเอามันมาเล่นจนกระดูกมันหักไปทีละชิ้นๆ เลยล่ะค่ะ”
ไวเคาน์ติสหน้าตึงขึ้นมาทันที หล่อนดูลำบากใจจนไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไร
เพราะเรื่องราวนั้นดูจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวและโหดร้ายเกินกว่าจะออกมาจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยได้
“…สัตว์เลี้ยงของเลดี้คงน่ารักน่าดูเลยนะคะ ดิฉันอยากเห็นบ้างจังเลยค่ะ”
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็จำต้องตามน้ำไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหล่อนยังมีสิ่งที่ต้องการอยู่
แม้จะสงสัยว่าเหตุใดเธอจึงเลี้ยงจิ้งจอกทั้งยังเป็นจิ้งจอกแก่อีกด้วย ทั้งที่สุนัขจิ้งจอกไม่ใช่สัตว์ที่จะเลี้ยงไว้ดูเล่นได้ แต่หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรออกไป
อาเรียแย้มยิ้มสดใสราวบุปผางามกลับไปเมื่อเห็นปฏิกิริยาของไวเคาน์ติส
“ที่จริงแล้วถึงคุณไม่พยายามไปเจอ คุณก็เจอมันได้อยู่ดีค่ะ”
เธอเหลือบมองไวเคาน์ติสครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่กระจกที่ตั้งอยู่ใกล้กับห้องแต่งตัว ซึ่งนั่นหมายความว่าหากหล่อนมองดูในกระจก หล่อนก็จะได้เจอมันเอง
แต่เธอคงต้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาให้มากกว่านี้ เพราะดูท่าแล้วไวเคาน์ติสจะยังไม่เข้าใจ
“แต่บางครั้งดิฉันก็รำคาญนะคะ เพราะมันเอาแต่ขอให้ดิฉันไปเจอลูกชายตัวเองอยู่ได้ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องอะไรเสียหน่อยน่ะค่ะ ดูท่าจะอยากยกฐานะตัวเองเสียเหลือเกินนะคะ ทั้งที่เรื่องอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง”
ต่อให้หล่อนจะอยู่เฉยๆ เธอก็ต้องไปคบลูกชายหล่อนแล้วใช้งานหมอนั่นอยู่ดีถ้าหากว่าเธอต้องการ ดังนั้นเธอจึงไม่อยากให้หล่อนมาทำให้เธอต้องรำคาญใจอีก
ตอนนั้นเองสีหน้าของไวเคาน์ติสจึงได้แข็งตึงขึ้นมาเมื่อหล่อนเข้าใจแล้วว่า ‘จิ้งจอกแก่’ ที่เธอหมายถึงไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงหากแต่เป็นมนุษย์ ส่วนหนึ่งก็เพราะอาเรียที่มักจะใจดีและเรียบร้อยอยู่เสมอกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดีว่า ‘จิ้งจอกแก่’ แท้จริงแล้วก็คือตัวหล่อนเอง มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ใครล่ะจะมาว่าคนที่เห็นหน้าค่าตากันจนคุ้นเคยต่อหน้าต่อตาแบบนี้
“คะ คนคนนั้นเป็นใครกันนะ… ถึงได้มาทำให้เลดี้ที่ทั้งใจดีและอ่อนหวานอารมณ์เสียได้แบบนี้”
“นั่นสิคะ ช่างน่าเวทนาจริงๆ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ตัวแล้วยังพยายามมาประจบเอาใจฉันอีก”
อาเรียตอบออกมาอย่างนั้นพลางส่งยิ้มอ่อนโยนผ่านมาทางสายตา ก่อนจะจิบชาที่เริ่มจะเย็นแล้ว
ไวเคาน์ติสปล่อยหนังสือที่กำลังถืออยู่หลุดมือลงมา ในที่สุดหล่อนก็เข้าใจแล้วว่าตนนี่ล่ะที่เป็น ‘จิ้งจอกแก่’ ตัวนั้น หล่อนไม่สามารถตอบอะไรกลับมาได้เลย อีกทั้งมือก็ยังสั่นน้อยๆ ราวกับกำลังตื่นตระหนกอย่างแรง
อาเรียเชยชมภาพอันอัปลักษณ์ของหล่อนอยู่อย่างนั้นสักพัก เธออยากรู้ว่าหล่อนจะแก้ตัวว่าอย่างไร แต่ดูท่าแล้วหล่อนคงไม่คิดจะทำอย่างนั้น ไม่สิ ดูๆ ไปหล่อนคงตกใจมากเสียจนคิดอะไรไม่ออกมากกว่า
‘นี่แกต้องเห็นว่าฉันอ่อนต่อโลกขนาดไหนกันนะ’
เธอคงต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ เรื่องนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย มันไม่มีค่าพอให้เธอเอานาฬิกาทรายมาใช้กับเรื่องเล็กๆ แค่นี้
เมื่อคิดว่าเวลาน่าจะผ่านไปเกือบ 5 นาทีแล้วเธอก็ยื่นมือออกไปหยิบนาฬิกาทราย อาเรียพลิกมันกลับด้านอย่างไร้เยื่อใยแล้วพูดกับไวเคาน์ติสที่กลับไปทำแสร้งทำสีหน้าอ่อนโยนตามเดิม
“คาบเรียนของอาจารย์ยังสนุกและเพลิดเพลินเหมือนเดิมเลยนะคะ”
สนุกในหลายๆ ความหมายเลยล่ะค่ะ
และคาบเรียนที่ดูรักใคร่กลมเกลียวก็ดำเนินต่อไป
* * *
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ข้ารับใช้ที่ไปส่งของขวัญให้ออสการ์ก็กลับมา
ช่างโชคดีเหลือเกินที่เขาไม่สามารถไปวิทยาลัยได้ในวันธรรมดา อีกทั้งยังยุ่งตลอดทั้งวันหยุดสุดสัปดาห์เพราะภาคการศึกษาได้จบไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับของขวัญของเธอไปโดยไม่ได้ดูว่ามันคืออะไร
แม้จะไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นเช่นไร แต่มันคงเป็นเพียงสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เพราะอย่างนั้นข้ารับใช้จึงบอกได้แต่เพียงว่าเขาไม่ได้ฝากข้อความอะไรกลับมาพร้อมกับก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
“กระผมขอโทษจริงๆ ครับ เลดี้… กระผมตั้งใจว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องนำข้อความกลับมาให้ได้ แต่เขาหันหลังให้แบบไม่แยแส ก็เลย…”
“ไม่เป็นไรหรอก เธอทำดีแล้วล่ะ วันนี้เธอก็กลับไปพักผ่อนเถอะ แต่เธอต้องพักให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง งั้นพักถึงพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”
“…อะไรนะครับ”
ข้ารับใช้ที่คิดว่าจะต้องถูกตวาดถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอาเรียทันทีที่เธอบอกให้เขาไปพักผ่อน
สีหน้าของเธอมีแต่ความเห็นใจและเมตตาฉายชัดอยู่เต็มใบหน้า ต่างจากที่เขาคิดไว้ว่าเธอคงจะทำหน้าบึ้งตึง ภาพนั้นทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ จนเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย
และแม้เขากำลังใจลอยมองเธออย่างไร้มารยาท แต่อาเรียกลับไม่คิดจะลงโทษ ทั้งยังแย้มยิ้มตอบกลับไปอีกด้วย
“เธอมีอะไรอยากจะพูดอีกหรือเปล่า”
“ไม่ ไม่มีแล้วครับ! ขอบคุณครับ!”
“ถ้าหมดเรื่องแล้วก็กลับไปเถอะ”
ข้ารับใช้เพิ่งรู้ตัวในตอนนั้นเองว่าตนทำตัวไม่เหมาะสมจึงรีบออกจากห้องของอาเรียไป เจสซี่ที่คอยมองอยู่ด้านหลังคอยมองดูสีหน้าและความรู้สึกของอาเรีย แต่เธอก็ยังดูอารมณ์ดีอยู่
‘ฉันคิดว่าเขาจะปฏิเสธตั้งแต่ตอนได้รับแล้วเสียอีก โชคดีจริงๆ เลยนะ’
ดังนั้นเมื่อออสการ์เห็นว่ามันเป็นเข็มกลัดราคาแพง เขาคงจะทำอะไรสักอย่าง เขาไม่สามารถส่งของขวัญที่ได้รับกลับมากับข้ารับใช้ของเธอได้แล้ว ดังนั้นเขาจะต้องมาหาเธอเองหรือไม่ก็ต้องส่งของตอบแทนกลับมาอีกแน่
นี่สิ ถึงจะเรียกว่าบุพเพสันนิวาส เพราะชายหญิงที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ไม่มีทางที่จะส่งของขวัญและจดหมายโต้ตอบกันหลายครั้งแบบนี้
หากเธอเริ่มตีสนิทกับเขาไปทีละนิดแบบนี้ เธอคงสามารถช่วงชิงหัวใจของเขามาได้ในสักวัน และหากมันยากนัก เธอก็มั่นใจว่าเธอจะใช้นาฬิกาทรายเพื่อให้ได้ใจเขามาได้แน่นอน
‘คอยดูเถอะ มิเอล เพราะฉันจะตอบแทนที่แกแย่งเอาชีวิตฉันไปอย่างสาสม’
* * *
จดหมายตอบกลับของออสการ์มาถึงหลังจากผ่านไปเกือบ 2 อาทิตย์
อาเรียไม่อาจเก็บเสียงกรีดร้องของเธอเอาไว้ได้ทันทีที่จดหมายจากเขามาถึง ที่ผ่านมาเธอแทบจะนอนหลับไม่สนิทเลยเพราะความว้าวุ่นใจ
อาเรียเปิดซองจดหมายออกอ่านโดยไม่สามารถซ่อนมือที่กำลังสั่นระริกเอาไว้ได้ ลายมือประณีตสละสลวยยิ่งทำให้หัวใจเธอร้อนรุ่ม
[ถึงเลดี้อาเรีย โรสเซนต์
ผมขอรับของตอบแทนที่เลดี้มอบให้ไว้ด้วยใจขอบคุณนะครับ
ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดกับเลดี้เองโดยตรง ฉะนั้นจะขอบคุณมากครับ หากเลดี้ส่งวันที่และเวลาที่เลดี้สะดวกมาให้
ออสการ์ เฟรดเดอริก]
เธอผิดหวังเล็กน้อยที่เขาตอบกลับมาสั้นกว่าที่เธอคิดไว้ เนื้อความที่เขียนไม่ยาวมากและมีแต่ใจความสำคัญเฉกเช่นเดียวกับจดหมายของเธอ
อาจเพราะเขาไม่มีเหตุผลให้ต้องเขียนอะไรอีก หาใช่เพราะความไม่สนิทใจไม่
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังตอบไม่ใช่หรือ ในตอนแรก เธอตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับเขาด้วยวิธีนี้ ดังนั้นมันยังเร็วไปที่จะมานั่งผิดหวัง
และเธอเองก็ยังมีนาฬิกาทรายลึกลับนั่นอยู่ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็สามารถย้อนเวลากลับมาเพื่อช่วงชิงหัวใจของเขาได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้กล่าวว่าเขาได้รับของขวัญเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าเขาจะไม่ส่งของตอบกลับมาอีก แล้วเรื่องที่เขาอยากบอกเธอต่อหน้านั้นมันคืออะไรกัน อาเรียรีบร้องเรียกเจสซี่ทันทีพร้อมกับหัวใจที่สั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
“เจสซี่!”
“คะ! เลดี้!”
“รีบเอากระดาษกับปากกามาเร็ว! ฉันจะเขียนจดหมายตอบกลับ!”
เจสซี่รีบเตรียมกระดาษกับปากกามาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของเธอ เจสซี่ได้แต่นึกสับสนขณะที่มอง อาเรียรีบหยิบปากกามาถือไว้ในมือทันทีที่หล่อนวางไว้ให้ แล้วเขียนจดหมายไปทีละตัวๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ
นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่เด็กสาวที่ช่วงนี้ดูจะหงุดหงิดง่ายขึ้นเล็กน้อยกลับไปมีสีหน้าสดใสสมกับความเป็นเด็กของเธอเหมือนเดิม แต่ปัญหาคือคนที่มอบความสุขนี้ให้เธอกลับเป็น ‘ออสการ์’ เสียนี่ ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะ…
โชคยังดีที่เรื่องนี้กลายเป็นความลับที่มีแค่เจสซี่เท่านั้นที่รู้ว่ามันคือจดหมายที่ออสการ์ส่งมา เพราะหล่อนเข้ามาหาอาเรียก่อนที่ผู้ส่งจะถูกเปิดเผย แต่มันก็ต้องอาศัยเวลาก่อนที่มิเอลจะจับได้ว่าทั้งสองยังคงแลกเปลี่ยนสิ่งของกันอยู่ตลอดแบบนี้
มิเอลเป็นเด็กใจดีและมีเมตตา ดังนั้นหล่อนจึงไม่คิดว่าจะมีปัญหาใหญ่ใดๆ เกิดขึ้น แต่หล่อนกลับรู้สึกไม่สบายใจสวนทางกับความคิดของหล่อนเอง
หล่อนได้แต่หวังว่ามันจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น อาเรียเขียนจดหมายอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยลายมือที่แม้จะยังไม่ประณีตมากนักแต่ก็สะอาดสะอ้านพอใช้ได้ จากนั้นเธอก็สั่งให้เจสซี่นำมันไปปิดผนึกในซอง
“รีบส่งไปให้คุณออสการ์เร็วเข้า”
เจสซี่ปิดผนึกจดหมายอย่างแน่นหนาด้วยขี้ผึ้งสีแดงเช่นเดียวกับสองแก้มของเธอที่เหมือนกับลูกท้อแดงก่ำแสนสดชื่น
หล่อนไม่ทันเห็นสิ่งที่อาเรียเขียนอยู่ด้านในเพราะเธอเอาแต่พร่ำบ่นให้หล่อนรีบไป แต่หล่อนก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องที่จะส่งผลดีต่อคฤหาสน์แน่
………………………