บทที่ 4
Ink Stone_Romance
เมนูผักคืออาหารที่อาเรียเกลียดที่สุด หากทำให้สุกเนื้อสัมผัสก็ไม่ดีเพราะมันจะเละจนไม่น่ารับประทาน หรือหากทานสดๆ ก็มีกลิ่นเหม็นเขียวไม่อร่อย ยิ่งไปกว่านั้น ผักยังเป็นอาหารหลักของชาวบ้านทั่วไป เธอจึงทานมันทุกวันจนเบื่อไปเสียก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในปราสาทท่านเคานต์แล้ว
เพราะเช่นนั้นเธอจึงอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถคลุกสลัดที่อยู่ตรงหน้าตนเองได้เลยสักครั้ง มันมักจะเละเทะทุกครั้งไป
ช่วงแรกๆ นั้นเหล่าสาวใช้ยังพอจะนำจานใหม่มาเปลี่ยนให้ แต่หลังจากเธอกรี๊ดโวยวายไปว่าไม่อยากกินบ่อยๆ เข้า พวกหล่อนก็เลิกยุ่งกับการกินอาหารของเธอไปเลย
ด้วยเหตุนี้อาเรียจึงกลายเป็นแขกไม่ได้รับเชิญสำหรับอาหารมื้อเย็นที่เตรียมไว้สำหรับเป็นที่รวมตัวของคนในครอบครัวไปโดยปริยาย ทุกคนต่างพากันเอือมระอาและยิ้มเยาะกับมารยาทบนโต๊ะอาหารของเธอ ไม่เว้นแม้แต่แม่ของเธอเอง
อาเรียที่ตกอยู่ในสภาพนั้นได้แต่เริ่มทานสลัดของเธอไปเงียบๆ สลัดที่มาพร้อมน้ำสลัดนั้นก็ถือว่าพอทานได้ รสชาติอาจจะไม่อร่อยนักแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันโหดร้ายกับเธอจนเกินไปนัก
ไม่มีใครสังเกตเห็นในตอนแรก นั่นเพราะอาหารต่างๆ ที่ถูกวางลงตรงหน้าอาเรียเมื่อก่อนนี้นั้นมักจะอยู่ในสภาพสกปรกเลอะเทอะและวุ่นวายจนพาให้ความอยากอาหารลดลงได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากมอง
คนที่สังเกตเห็นว่ามารยาทบนโต๊ะอาหารของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนแรกคือเหล่าสาวใช้ที่คอยเก็บภาชนะทานอาหารให้อาเรีย จากนั้นจึงตามด้วยเคาน์ติสมารดาของเธอ
‘นี่ลูกไปเรียนมารยาทบนโต๊ะอาหารพวกนี้มาจากไหนกันอาเรีย’
‘จากอาจารย์ซาร่าค่ะ’
‘ตายจริง’
สิ่งที่ตามมาในภายหลังนั้นคือความเห็นใจและความรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่พวกเขาปล่อยปละละเลย ไม่ได้ส่งอาจารย์ที่เหมาะสมไปคอยดูแลเธอตั้งแต่แรก ในเมื่อเธอเองก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน
จริงอยู่ที่อาจารย์ประจำตระกูลถูกส่งไปสั่งสอนเธอเมื่อแรกเข้ามาในปราสาทท่านเคานต์ แต่เธอก็ไม่ได้เรียนมารยาทที่เหมาะสม เพราะมันเป็นบทเรียนที่ยากและน่าเบื่อเกินไปสำหรับเธอผู้ที่เคยวิ่งเล่นอยู่ตามถนนจะเรียนได้ พอมาคิดดูในตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเพราะอาจารย์ประจำตระกูลนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เคาน์ติสได้แต่เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ
และนั่นก็เป็นสิ่งที่อาเรียเองเล็งเห็นเช่นกัน เพื่อทำให้พวกเขารู้ว่าเธอเองก็เป็นแบบพวกเขาได้เช่นกันหากได้เรียนรู้อย่างเหมาะสม เธอไม่ได้นิสัยเสียเพราะชาติกำเนิดที่ต่ำช้า
‘ที่มิเอลล้ำหน้ากว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันก็เพราะนางได้เรียนก่อน และข้ามั่นใจว่าข้าเองก็ทำได้เช่นกัน’
ท่านเคานต์ดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าอาเรียเปลี่ยนไปแล้ว ท่านได้กล่าวว่าจะช่วยให้เธอได้เรียนรู้ทุกอย่างที่เธอต้องการอย่างเต็มที่ และช่างโชคดีเหลือเกินที่มิเอลซึ่งกำลังไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ถึงกับกล่าววาจาถากถางออกมา
‘น้องคิดว่าอาหารของพี่อาเรียที่ถูกทำให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเพราะความตั้งใจเสียอีกนะคะ’
‘มิเอล… ที่น้องพูดคงไม่ได้หมายความว่าน้องไม่ชอบพี่แค่เพราะพี่เล่นอาหารตัวเองหรอกใช่ไหม ที่ผ่านมาพี่อาจจะทำตัวยโสโอหัง… แต่นั่นเพราะพี่ไม่รู้ว่าพี่จะได้รับความเกลียดชัง’
มิเอลได้แต่โบกมือปฏิเสธอาเรียที่ถามกลับมาทั้งใบหน้าคลอน้ำตาอย่างที่มิเอลคิดไม่ถึง ช่างสนุกจริงๆ ที่ได้เห็นท่าทางพยายามปฏิเสธแบบนั้น
ว่าแต่ในใจของมิเอลจะด่าทอเธอไปมากแค่ไหนแล้วนะ อาเรียพยายามกลั้นหัวเราะที่แทบจะระเบิดออกมาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างน่าสงสาร
‘ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไปที แต่ว่าหากน้องลองคิดดูสักนิดน้องก็จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะที่จู่ๆ พี่จะอยากทำให้อาหารที่ดูดีอยู่ก่อนแล้วเลอะเทอะได้ขนาดนั้นเว้นเสียแต่ว่าพี่จะเป็นคนเลว น้องคงยังเด็กอยู่เลยคิดไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกใช่ไหม’
‘พี่… นะ น้องล้อเล่นค่ะ’
‘โอ้ อย่างนี้นี่เอง…! พี่ไม่พอใจเพราะไม่รู้ว่าน้องเพียงแค่ล้อเล่น พี่ขอโทษนะมิเอล’
แค่ภาพของอาเรียที่ยิ้มออกมาอย่างละอายใจก็เพียงพอจะเรียกความเห็นใจจากทุกคนได้ และภาพของเธอที่เห็นชัดเจนว่าเสียความรู้สึกแต่ก็ยังอุตส่าห์เอ่ยขอโทษน้องก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนใจของท่านเคานต์ที่มักจะทำใจแข็งเป็นเหล็กกล้ากับเธอเสมอเช่นกัน
ท่านเคานต์วางส้อมที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะแล้วมองหน้าลูกสาวแท้ๆ ของตนด้วยใบหน้าแข็งกระด้างอย่างที่ท่านไม่เคยทำให้เห็นมาก่อน เพราะนั่นคือใบหน้าที่ท่านเคยใช้มองอาเรียตลอดมา
ในอดีต ใบหน้านั้นคือผลงานของนักเขียนนามว่ามิเอลและผู้ชมก็มีเพียงอาเรียผู้น่าสงสารคนเดียวเท่านั้น
‘มิเอล เวลาจะพูดอะไรลูกควรคิดก่อนพูดให้ดี ลูกไม่เห็นหรือไงว่าพี่สาวลูกต้องเจ็บปวดเพราะคำพูดของลูก ใครมาเห็นเข้าจะอายเขาเปล่าๆ’
‘ลูกขอโทษค่ะ… ท่านพ่อ แล้วก็พี่อาเรียด้วย…’
อาเรียหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดเจนของมิเอล
การทำให้มิเอลผู้มีอายุเพียงสิบสามปีมึนงงจนไปไม่เป็น เป็นเพียงแค่เรื่องกล้วยๆ สำหรับอาเรียที่มีชีวิตอยู่มาเกินกว่ายี่สิบปีแล้ว
ตอนอายุไล่เลี่ยกันเธอไม่เคยรู้ แต่มิเอลที่ยังเป็นเด็กน้อยในตอนนี้นั้นไม่ได้คณามือเธอเลย อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาเร็วกว่าเธอเล็กน้อยเท่านั้น
‘แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปเช่นกัน’
เพราะแม้ตอนนี้มิเอลจะยังเล็กแต่เมื่ออายุมากขึ้นหล่อนจะกลายเป็นสิ่งกวนใจอาเรียที่อายุ 20 กว่าปีได้แน่นอน
หล่อนต่างกับอาเรียที่เกิดมาจากความสัมพันธ์ของแม่ที่เป็นโสเภณีและพ่อที่เป็นใครก็ไม่รู้ราวฟ้ากับเหว ดังนั้นหากหล่อนไม่ค่อยๆ เตรียมตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้หล่อนได้พังไม่เป็นท่าแน่
มันเป็นลำดับที่ถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้วและเป็นอนาคตที่แม้แต่อาเรียก็ยังไม่นึกกังขา เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามดิ้นรนมากเพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะหล่อนที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านเคานต์ได้อยู่ดี
‘แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังมีพลังวิเศษที่พระเจ้าประทานให้’
นั่นคือเธอสามารถหยั่งรู้อนาคตได้
หลังจากนี้ใครจะเป็นผู้ครอบครองอำนาจในภายภาคหน้า การค้าระหว่างประเทศของพ่อตนจะเป็นอย่างไร หรือธุรกิจจะรุ่งเรืองไปในทิศทางใดในอนาคต ไม่มีใครจะเอาชนะอาเรียผู้ที่รู้ทุกอย่างคนนี้ได้
แต่เธอก็ต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทีละเล็กละน้อย เพื่อให้มันบรรลุผลเป็นไปตามที่ตั้งใจ
เพราะถึงแม้ว่าเธอจะล่วงรู้อนาคตแต่ไม่มีทางที่ลูกสาวของโสเภณีที่วางแผนจะยกสถานะตัวเองให้สูงขึ้นจะทำมันได้สำเร็จในเร็ววัน
ดังนั้นอาเรียจึงวางแผนว่าจะเริ่มครอบครองจากสิ่งที่เล็กที่สุดก่อน อย่างเช่น
“อาจารย์คะ คือว่าหนูมีสิ่งหนึ่งอยากจะเรียนรู้ค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“หนูอยากเรียนงานฝีมือค่ะ”
สิ่งที่เล็กที่สุดอย่างการเย็บปักถักร้อยนี่ล่ะ
ซาร่าเป็นที่เลื่องลือเรื่องฝีมือการเย็บปักถักร้อยของเธอที่สวยงามราวกับยกของจริงมาไว้บนงานนั้น ไม่สิ กำลังจะเป็นที่เลื่องลือในภายหลังต่างหากล่ะ
เพราะสิ่งที่มัดใจท่านมาร์ควิสวินเซนต์ได้ตั้งแต่แรกเห็นก็คือผ้าเช็ดหน้าลายปักอันงดงามของซาร่านั่นเอง
จริงอยู่ที่เธอมีความงดงามตามธรรมชาติติดตัวมาตั้งแต่เกิดแต่เธอไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมัดใจบรรดาชายหนุ่มได้เหมือนซาร่า เธออยากจะให้มันเป็นของขวัญแก่ท่านเคานต์เมื่อท่านกลับมาในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้
มีความเชื่อเรื่องโชคลางที่ไม่รู้ที่มาอยู่ว่าหากพกผ้าเช็ดหน้าผืนแรกที่ลูกสาวหรือภรรยาปักให้ติดตัวไปในอ้อมแขนด้วยจะทำให้อายุยืนไร้โรคภัยไข้เจ็บ และท่านเคานต์เองก็ยังไม่เคยได้รับผ้าเช็ดหน้าจากมิเอลเลย ดังนั้นหากอาเรียมอบมันเป็นของขวัญให้ท่าน ท่านจะต้องพกมันติดตัวไปตลอดชีวิตแน่นอน เพราะอาเรียก็ถือว่าเป็นลูกสาวของท่านเช่นกัน แม้จะไม่ใช่ลูกในไส้ก็ตามที
เธอจำได้ว่ามิเอลมอบผ้าเช็ดหน้าปักมือให้ท่านเคานต์เป็นของขวัญเมื่ออายุได้สิบห้าปี
ต้องใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้เพราะมือของเธอเรียนรู้ได้ค่อนข้างช้าและด้วยความเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบ กว่าจะได้ลายปักที่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องใช้เวลานานมากทีเดียว
‘ดังนั้นถ้าให้ฉันเริ่มเรียนตั้งแต่ตอนนี้ก็คงต้องใช้เวลาสักพัก’
นอกจากนั้นอาเรียยังมีครูบาอาจารย์ที่แข็งแกร่งอย่างซาร่าอีกด้วย หากเธอทำออกมาได้ไม่ดีพอเธอก็สามารถขอร้องให้ซาร่าทำแทนเธอได้อยู่ดี
ตอนนี้ฝีมือเรื่องการเย็บปักถักร้อยของเธอยังไม่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ดังนั้นเธอจึงต้องทำให้พวกเขาเห็นเสียก่อน
หากเธอมอบผ้าเช็ดหน้าแสนสวยที่เธอปักเองเป็นของขวัญได้ มิเอลก็จะไม่สามารถให้ผ้าเช็ดหน้าที่ตนปักได้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะจะต้องถูกเปรียบเทียบอย่างแน่นอน
แค่คิดว่ามิเอลจะต้องรู้สึกโกรธแค้นทุกครั้งหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ตนปักเองมาใช้ รอยยิ้มก็ไม่หายไปจากใบหน้าของเธออีก นี่ล่ะ อนาคตที่อาเรียจะสร้างมันขึ้นมาใหม่
* * *
อาเรียไม่ได้บอกใครเรื่องที่เธอกำลังเรียนงานฝีมือจากซาร่าอยู่ และยังขอให้ซาร่าผู้เป็นอาจารย์ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอีกต่อหนึ่งด้วย เพราะหากมีใครรู้เข้าเรื่องคงต้องไปถึงหูมิเอล และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนั้นมิเอลเองก็จะเริ่มปักผ้าเช็ดหน้าด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าฝีมือของมิเอลจะแย่แค่ไหนแต่การเริ่มปักในเวลาเดียวกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก และหากเรื่องที่มิเอลเรียนงานฝีมือหลุดรอดออกไป ก็เป็นไปได้ที่ท่านเคานต์จะไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าของอาเรียด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรท่านก็คงอยากได้ผ้าเช็ดหน้าผืนแรกจากบุตรสาวแท้ๆ มากกว่าบุตรสาวที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาอยู่ดีไม่ใช่หรอกหรือ
โชคยังดีที่สาวใช้ที่เข้านอกออกในห้องอาเรียมีเพียงเจสซี่เพียงคนเดียว และก็ไม่ได้เข้ามาบ่อยนักเพราะอาเรียเองก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เรียกใช้จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกจับได้
มิเอลมอบสาวใช้หลายคนของตนให้อาเรียตอนที่อาเรียอายุได้สิบห้าปี ดังนั้นจึงยังเหลือเวลาอีกสักพักให้ได้เตรียมตัว
หลังจากนั้นอาเรียก็มักจะฝึกซ้อมงานฝีมืออยู่เสมอทุกครั้งที่ว่าง และแม้จะไม่เท่าซาร่าแต่เธอก็สามารถเย็บปักได้อย่างงดงามราวกับเป็นความสามารถที่พระเจ้ามอบให้เธอพร้อมกับการหวนคืนอดีต ถึงกับต้องเอ่ยชมตัวเองว่าสามารถปักได้อย่างสวยงามได้ด้วยมือเล็กๆ ของเธอ
ภายในเวลาไม่กี่วัน อาเรียก็มอบผ้าเช็ดหน้าที่ปักจนเสร็จสมบูรณ์เป็นรูปกระต่ายน้อยน่ารักเป็นของขวัญให้กับซาร่าผู้เป็นอาจารย์ ทางด้านซาร่าที่รับผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้นั้นก็รู้สึกตื้นตันเสียจนขอบตาแดงเรื่อ
“ทีนี้ถ้าจะปักเป็นตราประจำตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วนะคะ”
“อาจารย์ช่วยหนูได้ไหมคะ หนูจะมองอยู่ข้างๆ แล้วก็ปักตามไปด้วยค่ะ”
“แน่นอนค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราเลื่อนคาบเรียนไปก่อนแล้วคาบนี้มาปักผ้ากันดีไหมคะ”
อาเรียหยิบผ้าไหมชั้นดีที่ได้รับจากเคาน์ติสออกมา เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ แต่แม่ของเธอได้ให้คำมั่นว่าจะไม่บอกให้ใครรู้เป็นอันขาด
เคาน์ติสหัวเราะคิกคักตาเป็นประกายให้กับแผนการอันแสนน่ารักของเด็กหญิงวัยสิบสี่ปี ‘งั้นเจ้าก็ทำไปเถอะ เป็นความคิดที่ดีจริงๆ เลยนะ’ เคาน์ติสกล่าว
แม้ท่านเคาน์ติสจะพอใจกับตำแหน่งของตนเองแล้วแต่ก็สนับสนุนให้อาเรียพยายามด้วย เคาน์ติสไม่ได้สนับสนุนเธออย่างกระตือรือร้นเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษแต่ก็พร้อมจะยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอหากว่าลูกสาวต้องการ เท่านี้ก็ถือว่าเธอโชคดีแล้ว
“เป็นผ้าไหมที่ดีมากเลยนะคะ”
“ก็นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าที่จะปักให้ท่านพ่อนี่คะ”
น่ารักเสียด้วยสิ ซาร่านึกอยากจะลูบผมอาเรียที่หันมาตอบเธอด้วยหน้าแดงๆ นั้นเหลือเกิน
เมื่อสังเกตเห็นมือที่หยุดอยู่กลางอากาศของซาร่า อาเรียก็หัวเราะคิกคักพลางเอ่ยว่า ‘อาจารย์ ช่วยลูบหัวฉันแล้วบอกว่าฉันทำได้ดีหน่อยสิคะ’ ซาร่าจึงค่อยๆ ลูบผมอาเรียอย่างระมัดระวังเพราะความน่ารักของเด็กน้อย
แม้ซาร่ากำลังแสดงใบหน้าที่ถือว่าไม่มีมารยาทเอามากๆ แต่อาเรียกลับรู้สึกชอบใจเหลือเกินที่ได้เห็นว่าซาร่าเริ่มรักใคร่และเอ็นดูเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอคิดว่าตนเองช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้กลับมาเป็นเด็กก่อนจะถูไถหัวไปกับมือของซาร่า เธอหวังเหลือเกินว่าหญิงสาวจะเห็นว่าเธอเป็นเด็กและรักเธอไปอีกนานแสนนาน
……………………………………………………..