บทที่ 41
Ink Stone_Romance
แน่นอนว่าตัวเอกในเวลาอาหารค่ำก็คือมิเอลซึ่งเดิมทีแล้วก็เป็นเช่นนั้น แต่ดูเหมือนมื้อนี้จะเป็นแบบนั้นมากเป็นพิเศษเพราะผู้ชายชื่อเรนที่มากับท่านเคานต์ เขาเอาแต่ถามโน่นถามนี่กับมิเอล แสดงออกอย่างสนอกสนใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก
“ผมได้ยินว่าเลดี้คอยให้คำแนะนำในกิจการของท่านเคานต์อยู่หลายๆ ครั้งครับ อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ไม่ทราบว่าเลดี้ศึกษาหาความรู้อันกว้างขวางนั้นได้อย่างไรหรือครับ”
“ความรู้อันกว้างขวางอะไรกันคะ ดิฉันแค่ได้ยินมาจากที่โน่นที่นี่บ้างเท่านั้นเองค่ะ”
มิเอลตอบอย่างเขินอาย แก้มทั้งสองข้างของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย อาเรียที่เห็นดังนั้นก็กลั้นขำไว้และตักซุปขึ้นมากิน
มีครั้งไหนที่มิเอลเสนอความคิดที่เป็นประโยชน์ด้วยงั้นหรือ ฉันเห็นเธอเสนอแต่ไอเดียที่ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น อาเรียคิด
จริงอยู่ว่าท่านเคานต์มักจะชื่นชมความคิดของลูกสาวในไส้เพียงหนึ่งเดียวของตน และคอยยกยอปอปั้นมิเอลทุกครั้งที่เธอเสนอความคิดเห็น แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ความเห็นของมิเอลจะมีประโยชน์ต่อกิจการจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้วตัวอาเรียต่างหากที่เสนอความเห็นที่มีประโยชน์นั้น สงสัยจริงๆ ว่ายกความดีความชอบทั้งหมดนั่นให้มิเอลได้อย่างไร
“แม้จะเป็นความรู้เพียงเล็กน้อยแต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเอาความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไรครับ ไม่ว่าจะมีความรู้มากแค่ไหนแต่ถ้าไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ก็ไม่มีค่าอันใดเลยครับ เพราะเหตุนั้นแล้วคงจะไม่ใช่การกล่าวเกินจริง หากผมจะขอชมว่าเลดี้มีความสามารถอันยอดเยี่ยม ทั้งยังให้คำแนะนำที่มีประโยชน์กับท่านเคานต์มาโดยตลอด”
“อย่างนั้นหรือคะ”
“ใช่แล้วครับ เจ้านายของผมเองก็ยังประหลาดใจตอนได้ยินเรื่องของเลดี้ด้วยครับ ท่านชมว่าเลดี้อายุยังน้อย แต่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากน่ะครับ ทั้งที่ปกติแล้วเจ้านายของผมเป็นคนที่เข้มงวดมากแท้ๆ”
“ถึงดิฉันจะไม่รู้ว่าเจ้านายของคุณเป็นคนยังไง แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมนะคะ”
เรนกระหน่ำรัวคำชมให้กับมิเอลอย่างไม่หยุดหย่อน ท่านเคานต์ที่คอยมองดูการกระทำของเรนอย่างปลื้มใจ ก็พูดแทรกขึ้นมา
“ผมเองก็ยังไม่เคยได้พบกับเขาเลยสักครั้ง แต่เพราะเขาเป็นคนที่ช่วยแก้ปัญหาส่วนที่ยุ่งยากของกิจการในครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายเลยคิดว่าท่านต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนครับ”
“โอ้ ท่านเคานต์คิดอย่างนั้นหรือครับ”
“แน่สิ ผมอยากพบเขาสักครั้งครับ”
“ตอนนี้ตารางงานของเจ้านายผมแน่นเอี๊ยดมากเลยครับ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาสะสางงานอีกสักนิด เลยส่งผมมาเป็นตัวแทนแบบนี้ยังไงล่ะครับ”
“ฮาๆ นั่นสินะ ท่านเป็นคนที่งานยุ่ง คงจะนัดเจอกันไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
“ผมจะลองหาเวลาให้ท่านได้มาพบในเร็วๆ นี้ดูนะครับ”
“ฝากด้วยแล้วกัน”
เรนเจ้าเล่ห์เหมือนงูเหลือมไม่มีผิด เขาสาดคำยกยอมากมายเพื่อซื้อใจมิเอลและท่านเคานต์ แล้วดึงเอาข้อดีของนายตนเองให้เป็นที่สนใจ
อาเรียคอยเฝ้ามองท่าทีของเขา เธอจมอยู่กับความคิดของตนเองเงียบๆ
หมอนั่นต้องการอะไรกันแน่นะ เขาอยากให้มิเอลกับเจ้านายตัวเองได้สานสัมพันธ์กัน หรือว่าเป็นตัวเขาเองที่รู้สึกดีกับมิเอลกันแน่
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีหวังหรอกเพราะมิเอลไม่มีทางยกหัวใจให้ใครนอกจากออสการ์เท่านั้น
ถึงเจ้านายของเรนจะเป็นคนดีเยี่ยมมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ใช่คนที่เหนือกว่าทายาทของดยุกตระกูลเฟรดเดอริกที่มีอำนาจรองลงมาจากจักรพรรดิ หรือมกุฎราชกุมารแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่มิเอลจะสนใจแน่นอน
อาเรียทานอาหารต่อไปพร้อมกับยิ้มเยาะต่อความพยายามที่ไร้ประโยชน์ของเรนในใจ เธอไม่พูดแม้แต่คำเดียวในระหว่างมื้อค่ำนี้และก็ไม่เปิดปากสนทนากับผู้ใดด้วย แถมยังไม่มีอะไรให้พูดเป็นพิเศษอีกต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะมีออสการ์ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยจึงไม่รู้สึกว่าต้องพยายามคุยโอ้อวดอะไรให้มากมาย เพราะการแสร้งทำตัวเศร้าสร้อยน่าสงสารดูจะได้ผลกับเขามากกว่า
เป็นไปตามที่อาเรียคิด ออสการ์คอยชำเลืองมองเธอตลอดเวลาที่ทานอาหาร แต่เนื่องจากมีมิเอลและคนในคฤหาสน์ของท่านเคานต์อยู่ด้วยจึงไม่สามารถชวนคุยได้ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถหยุดความสนใจของเขาลงได้
อาเรียเล่นสนุกกับสายตาคู่นั้นของเขา เธอหันไปยิ้มให้กับเขาเป็นบางครั้ง รอยยิ้มที่สื่อความหมายว่า‘แม้จะถูกเมินเฉยจากครอบครัวแบบนี้ แต่เธอไม่เป็นอะไร’
ครั้งแรกที่เขาและเธอได้พบกันก็เป็นตอนที่นั่งทานอาหารแบบนี้ แต่ท่าทางของเขาต่างไปจากตอนที่อาเรียถูกเมินจากเคนและมิเอลนิดหน่อย
ในตอนนั้นเขาอาจจะรู้สึกว่าอาเรียดูเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง แต่บรรยากาศในตอนนี้เธอดูเป็นคนน่าสงสารที่ไม่รู้จะทำยังไงดีกับสถานการณ์ตรงหน้าดี สีหน้าของออสการ์จึงดูเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม
“พอท่านพี่กับคุณออสการ์ทานอาหารเสร็จก็จะกลับไปที่วิทยาลัยเลยหรือไม่คะ”
“พี่ก็คิดไว้แบบนั้นนะ เพราะพี่ปลีกเวลาออกมาน่ะ”
เมื่อเธอลอบมองไปที่เคนซึ่งกำลังตอบคำถามนั้นก็ทำให้สบสายตากับเขาพอดี ตลอดเวลาที่ทานอาหารอยู่นั้น เขาคอยเหลือบมองอาเรียไม่ต่างไปจากออสการ์ แม้เธอจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรต่อสายตาของเขาเลยก็ตาม แต่เขากลับดูพอใจกับมันเสียอย่างนั้น
“ขอบคุณมากนะคะ ทั้งที่ยุ่งอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังสละเวลามา อีกอย่างของขวัญที่ให้มาก็ถูกใจน้องมากเลยค่ะ”
มิเอลพูดพลางชี้ไปที่ต้นคอของเธอ ลำคอขาวเพรียวระหงของเธอ มีสร้อยคอสะท้อนแสงดูวาวใสสวมอยู่
ไม่ใช่ของขวัญทั่วๆ ไปแต่เป็นสร้อยคองั้นหรือ ดูเป็นของขวัญที่คนรักมักจะมอบให้กันเสียจริง พอเห็นว่าเป็นของขวัญที่ดูใส่ใจอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
‘เล่นไต่ราวระหว่างพี่สาวกับน้องสาวคงจะลำบากไม่ใช่น้อยสินะ’
แต่นั่นไม่ได้ทำให้อาเรียอารมณ์เสียแต่อย่างใด เธอกลับรู้สึกสนุกขึ้นมานิดหน่อย ในใจของเขาจะร้อนรุ่มและทรมานขนาดไหนกันนะ ที่ต้องคอยเอาใจใส่ทั้งสองฝ่ายแบบนี้
มิเอลจ้องมองออสการ์ที่เอาแต่ส่งสายตาให้นางมารร้ายอยู่บ่อยๆ ในใจของเธอคงร้อนรนและทรมานไปด้วยความไม่พอใจเป็นแน่ ส่วนคนที่สนุกไปกับภาพตรงหน้าก็มีเพียงอาเรียคนเดียวเท่านั้น
“คุณออสการ์คะ”
“อะ…เอ่อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่เลดี้ถูกใจมัน ฉันก็รู้สึกดีใจมากแล้ว”
ออสการ์เหม่อมองไปยังทางที่ไม่ควรมอง มิเอลต้องเรียกชื่อเขาถึงสองครั้งกว่าเขาจะตอบกลับมา เธอหน้าเจื่อนขึ้นมาทันที
และคนที่ปลอบเธอไม่ใช่ออสการ์แต่เป็นเรน อาเรียกลั้นขำไว้ เมื่อเห็นว่าวันเกิดของมิเอลค่อยๆ กร่อยขึ้นมา
“จะว่าไปแล้ว ระหว่างที่ท่านพ่อไม่อยู่ ลูกทำอะไรบางอย่างไว้ให้ด้วยค่ะ”
มิเอลตั้งใจเปลี่ยนบรรยากาศ เธอเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาพร้อมกับพยายามทำหน้าตาสดใส จากนั้นสายตาทุกคู่ก็หันไปจับจ้องที่เธอทันที รวมถึงสายตาของอาเรียด้วย
มิเอลปักผ้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่คนเดียวในระหว่างที่ท่านเคานต์ไม่อยู่ ไม่หรอกน่า เธอคงไม่ได้จะอวดฝีมือปักผ้าห่วยๆ นั่นหรอกใช่ไหม แต่ก็อยากรู้จริงๆ ว่าจะเอาอะไรมาให้ดู
“อาจจะช้าไปหน่อย แต่ลูกปักผ้าเช็ดหน้าไว้ค่ะ”
อาเรียเพียงแค่คิดเท่านั้น แต่สิ่งที่มิเอลหยิบออกมาถืออยู่คือผ้าเช็ดหน้าจริงๆ เอ็มม่าที่ยืนรออยู่ข้างหลังมิเอลเตรียมผ้าเช็ดหน้าให้กับท่านเคานต์
เนื่องจากอาเรียนั่งห่างออกไปจึงมองไม่เห็น แต่เมื่อพิจารณากับอายุของมิเอลแล้ว ถือว่าเป็นผลงานการปักผ้าที่ยอดเยี่ยมมาก ทั้งห้องอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอันพึงพอใจของท่านเคานต์
“ช่างเป็นงานปักผ้าที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้”
“ถูกใจไหมคะ ท่านพ่อ ยังมีรายละเอียดบางส่วนที่ดูขาดๆ ไป ลูกเลยกังวลอยู่บ้าง”
“ขาดอะไรกัน! นี่เป็นดอกลิลลี่ที่สวยยิ่งกว่าดอกไหนๆ ในโลกเลยล่ะ! “
เพราะเป็นฝีมือปักผ้าของลูกสาวในไส้สินะ ท่านเคานต์ชื่นชมอย่างยิ่งใหญ่ราวกับว่าทิ้งผ้าเช็ดหน้าที่อาเรียเคยมอบให้เมื่อครั้งก่อนทิ้งไปแล้ว
เคาน์ติสแกล้งทำเป็นประหลาดใจและพูดเข้าข้างเพื่อเอาใจ แน่นอนว่าเรนและเคนก็ชื่นชมผ้าเช็ดหน้าของมิเอลอย่างไม่หวงคำชม อาเรียจ้องมองผ้าเช็ดหน้าที่ถูกส่งต่อจากทุกคนมาถึงมือเธอ
ทำไมถึงปักผ้าได้ดีแบบนี้กันนะ ผ้าเช็ดหน้าที่มีลวดลายปักสวยงามต่างไปจากอดีต ฉันจำได้ชัดว่ากว่าที่หล่อนจะปักผ้าได้ดีในระดับหนึ่งมันต้องใช้เวลาอีกสักสองสามปีแท้ๆ
อย่าบอกนะว่าหล่อนโกหกว่าตัวเองเป็นคนปักผ้าผืนนี้ ทั้งๆ ที่เป็นฝีมือคนอื่น แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ก็ยังมีบางส่วนที่ปักได้ไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง ทำให้อาเรียรู้ในทันทีว่ามิเอลเป็นคนปักผ้าเช็ดหน้าผืนนี้จริงๆ
“…สวยมากเลยมิเอล”
มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน ทำไมจู่ๆ ฝีมือปักผ้าของหล่อนถึงพัฒนาขึ้นมาได้ล่ะ ถึงจะทำได้ไม่ดีมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเทียบกับในอดีตแล้ว ฝีมือปักผ้าของหล่อนพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าระยะเวลาที่หล่อนเรียนปักผ้าจะถูกร่นเข้ามาเร็วขึ้นกว่าในอดีต แต่พื้นฐานความสามารถก็ไม่น่าจะเปลี่ยนได้นี่นา ไม่ว่ายังไงก็นึกถึงเหตุผลไม่ออกเลยจริงๆ
“จริงเหรอคะ น้องดีใจมากๆ เลยค่ะ การได้รับการยอมรับจากพี่มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง”
มิเอลยกมือขึ้นป้องแก้มทั้งสองข้างพร้อมกับพูดออกมา ราวกับกำลังจะบอกว่าอาเรียไม่เคยชื่นชมเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนั่นทำให้อาเรียกลายเป็นนางมาร้ายอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
‘นางจิ้งจอกร้อยเล่ห์’
อาเรียกัดฟัน พยายามข่มความรู้สึก ไม่แสดงสีหน้าเกรี้ยวกราด
มิเอลรู้อยู่แล้ว ว่าถึงแม้เธอจะปักผ้าได้ไม่ดี ยังไงเธอก็ยังได้รับคำชมจากทุกคนอยู่ดี
เพราะมิเอลเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านเคานต์ต่างจากอาเรียที่แม้จะปักผ้าได้สวยสมบูรณ์แบบแค่ไหนก็ยังถูกประเมินค่าต่ำไปอยู่ดี
‘เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าผ้าที่แกปักจะมีจุดที่บกพร่องมากกว่าผ้าที่ฉันทำมากเท่าไหร่ แกก็ยังอวดมันได้อย่างไม่รู้สึกอายอะไรสินะ’
ไม่เหมือนกับลูกสาวของโสเภณีอย่างฉัน เพราะแกเป็นเลดี้ผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้รับแต่ความรัก
“พอได้รับคำชมแบบนี้ ก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ ลูกทำไว้อีกหลายผืนเลยค่ะ มันอาจจะมีจุดที่ปักไม่สวยอยู่บ้าง แต่อยากมอบให้เพื่อเป็นของที่ระลึกในวันนี้ค่ะ”
สุดท้ายแกก็ยังคงเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปักไม่ได้เรื่องแบบนั้นมาให้เหมือนที่เคยทำในอดีตสินะ คงอยากให้ผ้าเช็ดหน้ากับออสการ์จนร้อนรุ่มใจสิท่า แน่นอนว่าถ้าเป็นท่านเคานต์ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยินดีที่จะรับไว้อยู่แล้ว ถือเป็นข้อยกเว้นไป
จะมีใครกล้าปฏิเสธผ้าเช็ดที่หล่อนป่าวประกาศว่าจะให้เป็นของขวัญที่ระลึกกันเล่า ยิ่งเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับจากหญิงสาวที่มีข่าวลือเรื่องหมั้นหมายกันอยู่ด้วยแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากพกติดตัวหรือเก็บรักษาเอาไว้เท่านั้นแหละ
หรือว่ามิเอลจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าออสการ์จะมาที่คฤหาสน์ หรือเธอเป็นคนทำให้เขามาที่นี่กันแน่นะ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ที่แน่ใจได้ก็คือแกเฝ้ารอจังหวะที่จะมอบผ้าเช็ดหน้าให้ออสการ์มาตลอดทั้งวัน
เอ็มม่านำผ้าเช็ดหน้าออกมาให้กับท่านเคานต์และภริยา เคน ออสการ์ และเรนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่มิเอลจะพูดจบเสียอีก ราวกับกำลังรอช่วงเวลานี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
หากเรียงตามลำดับแล้วอาเรียถือว่าเป็นคนสุดท้าย เอ็มม่าไม่ได้ให้ผ้าเช็ดหน้ากับเธอเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ หล่อนทำหน้าพะว้าพะวังและก้มหัวลง
“อ่อ…ขออภัยค่ะเลดี้ ผ้าเช็ดหน้าไม่พออีกหนึ่งผืนค่ะ”
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ต่อให้มีผ้าเช็ดหน้าเหลืออยู่ ยังไงหล่อนก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่มีอยู่แล้ว ผ้าปักอันประณีตเป็นอย่างไรก็คงจะรู้สินะ คงไม่คิดจะเอาผ้าปักที่ฝีมือด้อยกว่าฉันมาให้ฉันหรอก
มิเอลเบิกตาโพลงไม่รู้จะทำอย่างไร
“อย่าบอกนะว่าไม่มีของพี่อาเรีย”
“ใช่ค่ะ…”
“ทำอย่างไรดีล่ะ”
ทำตัวเป็นเด็กไปได้ หรือเพราะหล่อนยังอายุน้อยเลยคิดว่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้จะทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างนั้นเหรอ
ไม่มีทางเสียหรอก นางมารร้ายที่ชั่วช้าอย่างฉันน่ะหรือ จะรู้สึกเจ็บปวดกับการไม่ได้ผ้าเช็ดหน้าแค่ผืนเดียว แล้วมันก็ไม่ได้จำเป็นกับฉันด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกจะ มิเอล เราก็เจอกันทุกวันอยู่แล้ว ค่อยให้พี่คราวหน้าก็ได้”
เมื่อเห็นอาเรียตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแบบนั้น มิเอลก็นิ่งไม่ตอบอะไรกลับไปสักพัก ก่อนจะรีบปั้นยิ้มฝืนๆ ในเวลาอันรวดเร็ว
“ขอโทษจริงๆ นะคะ ทำยังไงดี น้องอยากจะให้ผ้าเช็ดหน้ากับพี่อาเรียด้วยแท้ๆ”
“ไม่เอาน่า พี่ไม่เป็นไรอะไรเลยจะ กลับกัน ในระยะเวลาสั้นๆ น้องยังสามารถปักผ้าได้สวยขนาดนี้ ในคราวหน้าคงจะปักผ้าได้อย่างสวยงามไร้ที่ติแน่ๆ พี่รอดูอยู่นะ”
“…อย่างนั้นหรือคะ”
มิเอลตอบกลับมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ คงผิดหวังที่ท่าทีของอาเรียไม่เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ แต่กระนั้นก็ยังกะพริบตากลมโตเพื่อควบคุมสีหน้าเอาไว้ แล้วปั้นหน้าตื้นตันใจออกมา
“น้องจะพยายามให้สมกับที่พี่คาดหวังไว้เลยค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงน้องไม่พยายามก็ทำได้ดีมาโดยตลอดนี่นา”
ไม่ว่าแกจะมีความสามารถหรือไม่ มันก็เป็นนั้นมาโดยตลอด ยังไงพวกหน้าโง่ที่อยู่รอบตัวแก ก็พร้อมจะยกย่องให้แกชูคอได้อยู่แล้ว แทบไม่มีอะไรให้กังวลด้วยซ้ำ
พี่สาวน้องสาวแห่งตระกูลโรสเซนต์ที่ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้าย คงรอยยิ้มแจ่มใสไว้ตลอดช่วงเวลาอาหารมื้อค่ำ
……………………………………………..