บทที่ 47
Ink Stone_Romance
“ถูกต้องแล้วค่ะ แต่หากได้เห็นพวกเขากำลังกรีดร้องต่อหน้ารูปปั้นของท่านเอง… น่าจะทรงยินดีไม่ใช่น้อยเลยนะคะ”
มิเอลขมวดคิ้วมุ่น
ช่างน่าสุขใจอะไรปานนี้! นี่คือสีหน้าที่เหมาะกับหญิงผู้โง่เขลาอย่างหล่อนที่สุดแล้ว หล่อนก็ควรรู้ที่ของตัวเองบ้าง
มิเอลยังคิดว่าความเห็นที่ตัวเองเสนอนั้นยอดเยี่ยมอยู่ได้อย่างไรกัน
อาเรียทำหน้าตกใจทั้งยังส่ายหน้าไปมา เมื่อมองเห็นสีหน้าของมิเอล
“มิเอล น้องจะไม่อารมณ์เสียใช่ไหม เพราะนี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานในกรณีที่แย่ที่สุด ไม่ใช่ว่าจะเมินเฉยต่อความเห็นของน้องหรอกนะ รูปปั้นของเจ้าชายที่น้องว่า ที่จริงแล้วพี่เองก็อยากเห็นเหมือนกัน แค่คิดพี่ก็คาดหวังแล้วว่ามันจะออกมาสวยงามขนาดไหน”
“…นั่นสิคะ ดิฉันเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของเจ้าชายเลย อยากเห็นแบบเป็นรูปปั้นเหมือนกันค่ะ”
ซาร่าช่วยเสริม แต่สีหน้าของมิเอลแทบจะไม่ดีขึ้นเลย ในขณะที่นางร้ายกำลังแย้มยิ้ม แต่แม่พระกลับทำหน้าตาบึ้งตึงแบบนี้ก็ได้หรือ ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าเบิกบานใจและเพลิดเพลินเสียจริง
สายตาของเรนไม่มีแววสั่นไหว ยังจับจ้องอยู่อาเรียไม่วางตามาสักพักแล้ว เขาน่าจะตกใจไม่น้อยที่เด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปีแสดงความเห็นในลักษณะนี้ออกมา
เธอคือลูกสาวของโสเภณีที่แม้แต่ข่าวลือยังไม่มีเรื่องดีๆ และเรนเองก็คงต้องรู้ข่าวลือนั้นแน่นอน
“…หึ”
จู่ๆ เรนที่นิ่งค้างไปสักพักก็แค่นหัวเราะออกมา สายตายังคงจับจ้องไปที่อาเรีย
เงาของมิเอลผู้ที่เขาเคยพยายามจะซื้อใจหล่อนมาให้ได้นั้น จางหายไปก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัว แต่เงาใหม่กลับเข้ามาทาบทับแทนที่บนใบหน้าของเขาที่กำลังเบื่อหน่ายบทสนทนาเรื่องส่วนตัวนั้น
เรนที่เอาแต่จ้องมองอาเรียเหมือนคนสติหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสักพัก ลูบหน้าลูบตาด้วยฝ่ามือใหญ่ของตน ก่อนจะเผยยิ้มกว้างออกมาราวกับคนเสียสติ ด้วยเหตุนี้ มิเอลที่รีบปรับสีหน้าท่าทางกลับมาใส่หน้ากากแล้วจึงได้เรียกชื่อเขา
“…คุณเรนคะ”
แต่ผู้ที่เขาหันไปตอบคำถามด้วยกลับไม่ใช้มิเอล แต่เป็นอาเรียต่างหาก
“แหม ผมได้บทเรียนเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งแล้วสิครับ”
“หมายถึงเรื่องอะไรหรือคะ”
อาเรียทำเป็นไม่รู้ ทำให้เรนหัวเราะออกมาทันที
“หมายถึงความเห็นเรื่องคาสิโนน่ะครับ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ต้องปิดมันมาก่อน เลยรู้สึกประทับใจกับมุมมองใหม่นี้มากทีเดียวครับ”
“จริงหรือคะ ฉันว่ามันก็เป็นสมมุติฐานง่ายๆ ที่ใครก็น่าจะคิดได้น่ะค่ะ”
แต่ก็แน่นอนล่ะนะ ว่ามิเอลไม่มีทางคิดได้แน่
เรนหัวเราะออกมาอีกครั้งเพราะน้ำเสียงในการพูดที่คล้ายจะถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว
“หากไม่เป็นการเสียมารยาท ช่วยบอกผมทีเถอะครับ ปกติแล้วเลดี้อาเรียได้รับการศึกษาแบบไหนหรือครับ ถึงได้มีความคิดความอ่านลึกซึ้งเช่นนี้”
นั่นมันคำถามที่เขาเคยถามมิเอลมิใช่หรือนี่ ถ้าหล่อนร้องไห้ขึ้นมาจะทำอย่างไร อาเรียกลั้นหัวเราะก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ”
“ถ้าลองยกตัวอย่างหน่อยล่ะครับ”
“ขอนึกก่อนนะคะ…”
ถ้าบอกเรื่องประสบการณ์การโดนบั่นคอ นาฬิกาทราย และที่ต้องตกเป็นที่ติฉินนินทามากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์ เขาจะเชื่อหรือเปล่านะ ถึงจะเป็นความจริงเขาก็คงไม่มีทางเชื่อ เขาคงจะบอกว่าเธอเสียสติและหัวเราะเยาะเธอในที่สุดน่ะสิ
“ดิฉันเองก็คล้ายๆ กับมิเอลค่ะ ดิฉันได้รับคำแนะนำต่างๆ จากหญิงสาวชนชั้นสูงทั้งหลาย หรือบางครั้งก็อ่านหนังสือพิมพ์ โดยใช้หนังสือมาอ้างอิง …อ้อ แล้วก็”
เธอยังมีแหล่งข่าวกรองที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งด้วย
“การรับฟังเรื่องราวที่มิเอลกับท่านพ่อคุยกันก็นับว่าเป็นประโยชน์มากทีเดียวค่ะ เพราะดิฉันได้รับรู้ข้อมูลมากมายที่ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนน่ะค่ะ เพราะอย่างนั้นดิฉันเลยตั้งใจฟังค่ะ”
โดยเฉพาะหล่อนทำให้เธอรู้ว่าควรใช้ข้อมูลเมื่อไหร่และอย่างไร แม้หล่อนจะเคยให้ข้อมูลกับท่านเคานต์เพียงครั้งเดียว แต่มันก็ช่วยเธอได้ในหลายๆ ด้าน
ก็เหมือนกับตอนนี้ไม่ใช่หรือ เพราะหล่อนได้ให้โอกาสเธอสูบข้อมูลจากหล่อนแล้วมาทำให้หล่อนอับอายอยู่นี่
“การพูดคุยวันนี้เป็นประโยชน์มากทีเดียวค่ะ”
“อย่างนั้นหรือครับ”
ฟังเผินๆ อาจจะดูเหมือนเธอกำลังชมมิเอล แต่สุดท้ายแล้วความหมายของมันก็คือ เธอมีโอกาสให้ได้แสดงความรู้ออกมาอยู่บ่อยครั้ง ก็เพราะความรู้อันน้อยนิดของสาวน้อยคนนั้นนั่นเอง
หากเป็นคนอ่อนต่อโลกไม่มีพิษภัยอย่างซาร่าอาจจะไม่รู้ แต่สำหรับเรนและมิเอลแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เข้าใจแน่นอน
“…อย่างนั้นหรือคะ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ นะคะ บางครั้งดิฉันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
เพราะอย่างนี้ เธอถึงโจมตีโดยไม่คิดปิดบังแบบนี้อย่างไรล่ะ แล้วนี่หล่อนยังอยากจะยืนกรานว่าสถานการณ์น่าอายนี้ไม่ใช่ของหล่อนฝ่ายเดียวอีกหรือ ทั้งที่เมื่อครู่หล่อนเพิ่งจะทำสีหน้าที่ไม่สามารถทำให้คิดว่าหล่อนเป็นบุตรสาวขุนนางได้ด้วยซ้ำ!
อ้อ จริงด้วยสินะ บางทีหล่อนอาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตแล้วก็เป็นได้ จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่หล่อนโดนเธอขโมยทุกสิ่งที่หล่อนมักจะโอ้อวดไป ว่าแต่อีโง่ที่กล้าอวดแม้แต่กลอนง่ายๆ ต้องไม่พอใจขนาดนั้นด้วยหรือ
มองกลับไปแล้ว ตอนนั้นก็คือช่วงเวลาที่เธอต้องอยู่ในเงามืดเสมอมา ไม่ต่างกับวัชพืชที่ร่วงโรยเมื่อต้องแสงอันประเสริฐ ความรู้สึกที่เคยมีอิทธิพลเหนือตัวเธอในอดีตเริ่มพุ่งพรวดขึ้นมาจากจุดที่ลึกที่สุดในช่องท้อง
ต่อไปฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรสมันอย่างสาสม
“ใช่แล้วล่ะ พี่กำลังคิดอยู่เชียวว่าต้องขอบใจน้องจริงๆ เพราะหากไม่มีน้อง ก็คงไม่มีพี่ในตอนนี้”
“หรือคะ ดีจังเลยนะคะ”
มาทำตัวสูงส่งเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะนะ หากหล่อนแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยว ขว้างปาข้าวของ และหนีออกจากห้องรับรองเหมือนอาเรียในอดีต มันจะน่าดูแค่ไหนกันนะ
แต่มิเอลนั้นเป็นชนชั้นสูงผู้เลิศเลอมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นการยิ้มคงง่ายกว่าการแสดงออกว่าโกรธ และหล่อนคงคุ้นชินกับการนำพัดมาปิดรูปปากตัวเองเอาไว้มากกว่าการขว้างปาข้าวของเช่นกัน
“ต่อไปพี่ก็ขอฝากตัวด้วยนะมิเอล”
“น้องก็เช่นกันค่ะ”
สองพี่น้องที่ยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนทั้งที่เสแสร้งมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าใครมองก็คงเห็นว่าพวกเธอรักกันดี ความสามารถพิเศษของมิเอลคือการทำให้อาเรียเจ็บปวดโดยไม่มีใครรู้ และในตอนนี้อาเรียก็กำลังเลียนแบบความสามารถนั้นอยู่
ซาร่ากับเรนกลับไปแล้ว เพราะเวลาได้เย็นย่ำลงทุกทีในระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน สายตาที่เคยมองเพียงมิเอล กลับทอดมองมายังอาเรียพร้อมกับความรู้สึกแห่งการจากลาที่ยังหลงเหลืออยู่
บางทีเขาอาจต้องการเติมความผิดหวังที่มีต่อมิเอลให้เต็มก็ได้ หรือไม่ก็อาจเพราะเขารู้แล้วว่าลูกสาวที่ท่านเคานต์ภูมิใจนักหนานั้น หาใช่มิเอลไม่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ในเมื่อความสนใจที่เขามีให้หล่อนก็น้อยลงมานิดหนึ่งแล้ว
* * *
อาจเพราะเธอเพิ่งใช้นาฬิกาทรายหลังจากไม่ได้ใช้มันมานาน ทำให้อาเรียหลับเป็นตายข้ามวันข้ามคืนหลังจากที่กลับถึงห้อง กว่าเธอจะลืมตาขึ้นมาได้ก็เป็นเวลาเย็นของอีกวันแล้ว เจสซี่รีบนำน้ำผสมน้ำผึ้งมาให้เธอที่เพิ่งตื่นมาขยี้ตาแข็งๆ ของตัวเองทันที
หล่อนเรียกหมอมาตรวจสุขภาพของเธอ และหล่อนก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไรมากมายเพราะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก็หลายรอบแล้ว หล่อนเพียงแค่กังวลอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
“คือว่า เลดี้ค่ะ ดิฉันทราบแล้วค่ะว่าช่อดอกไม้ที่เลดี้พูดถึงมีขายที่ไหน”
“อ้อ ทิวลิปใช่ไหม เธอไปหามาได้เร็วดีนะ”
เธอจำได้ว่าเพิ่งจะสั่งให้หล่อนไปหาเมื่อตอนก่อนนี้เอง หล่อนรีบถือช่อดอกไม้ออกไปอย่างชอบใจทันที ราวกับกำลังเบื่อหน่ายเพราะตลอดเวลานั้นนอกจากการทำความสะอาดแล้ว เธอก็ไม่ได้สั่งให้หล่อนทำอะไรอีก
“แล้วตกลงมีขายที่ไหนล่ะ”
“ดิฉันว่าร้านดอกไม้ใกล้เมืองหลวงน่าจะมีขายมากที่สุดค่ะ”
“เมืองหลวงหรือ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันเทียวไปเทียวมาตามร้านดอกไม้ที่ขายดอกไม้คุณภาพดีภายในจักรวรรดิ แต่คนเขาพูดกันปากต่อปากว่าร้านที่ขายดอกไม้คุณภาพดีแบบนี้มีแค่ที่นี่เท่านั้น ดิฉันเลยลองไปมาค่ะ ที่นั่นมีทิวลิปที่เหมือนกันมากอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ”
ใกล้เมืองหลวงอย่างนั้นสินะ ที่นั่นมีคฤหาสน์ของบรรดาขุนนางชั้นสูงอยู่มากมายจึงพอจะเชื่อได้ โดยเฉพาะคฤหาสน์ของขุนนางชั้นสูงที่ทำงานในเมืองหลวงก็มีอยู่เยอะทีเดียว
ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นหนึ่งในบรรดาขุนนางพวกนั้นสินะ เธอคิดว่าหากสำรวจตามร้านดอกไม้จะทำให้เธอเจอเจ้าตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนเธอจะคิดผิดเสียแล้ว
“เธอทำดีแล้วล่ะ”
“อ้อ อีกเรื่องคือดอกทิวลิปที่ทางร้านขายนั้นถูกส่งมาจากเมืองหลวงค่ะ ทางร้านบอกว่าเพราะแบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถขายทิวลิปที่คุณภาพดีที่สุดในจักรวรรดิได้ค่ะ และยังบอกอีกว่าพวกเขาใช้สารเคมีชนิดพิเศษทำให้ทิวลิปไม่เหี่ยวเฉาง่ายๆ ลองดูสิคะ ยังสดเหมือนเพิ่งเด็ดมาเลยใช่ไหมล่ะคะ กลิ่นก็หอมด้วยค่ะ”
ดอกทิวลิปยังดูสดใหม่ราวกับเพิ่งถูกเด็ดมาเมื่อครู่นี้อย่างที่หล่อนว่าจริงๆ ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันเป็นร้านดอกไม้ใกล้เมืองหลวง ทำให้บรรดาขุนนางมักมาอุดหนุนกันเป็นประจำ
“เขาบอกว่าต่อให้เด็ดมาเป็นเดือนแล้วก็ยังสดอยู่ค่ะ น่าแปลกใจจริงๆ นะคะ”
“ถ้าชอบขนาดนั้นเธอก็เอาไปเถอะ”
“อ๊ะ เลดี้คะ แต่มันคือดอกไม้ที่เลดี้ได้เป็นของขวัญ…”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ใบหน้าของเจสซี่ก็ยังสดใส
ดอกไม้มันดีขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่เมื่อวันเวลาผ่านไป สุดท้ายมันก็ต้องโรยราจนอัปลักษณ์ ทั้งที่มันหาได้มีประโยชน์อะไรในชีวิต นอกจากเอาไว้ดูเล่นก็เท่านั้น
เธอไม่ได้ชอบมันขนาดนั้น เพราะตั้งแต่ในอดีตมาแล้วที่เธอคิดว่าให้มองกระจกยังดีเสียกว่าต้องมามองดูดอกไม้
จากนั้นเมื่อเธอบอกให้หล่อนเอามันไปอีกรอบเพราะเธอไม่ต้องการ เจสซี่ก็ทำเหมือนไม่อาจขัดเธอได้แล้วกอดช่อดอกไม้เอาไว้เต็มอ้อมแขน
หล่อนมีท่าทางที่เป็นธรรมชาติแบบนั้นก็เพราะรู้ดีว่าอาเรียจะไม่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวออกมาแน่นอน หลังจากที่เธอไม่มีท่าทีโหดร้ายมาเกือบจะ 1 ปีเต็มแล้ว
“อ้อ เกือบลืมไปเลย! จดหมายที่คุณออสการ์ส่งมา มาถึงแล้วนะคะ”
“นี่ถือเป็นข่าวดีมากจริงๆ”
เจสซี่เอาจดหมายที่ไม่มีลวดลายอะไรเลยออกมา บนจดหมายที่ออสการ์ส่งมานั้น มีเพียงอักษรตัวแรกของชื่อเขาเขียนเอาไว้แทนที่จะเป็นชื่อเต็ม ดังนั้นจึงยังไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาและอาเรียส่งจดหมายหากัน
มันก็เหมือนเวลาที่หลายคนมักจะเขียนชื่อของอีกฝ่ายเมื่ออยู่ในหน้าที่ พวกเขาจะเขียนเพียงแค่อักษรตัวแรกของชื่อ แทนที่จะเขียนว่าออสการ์หรือว่าอาเรียนั่นเอง
เธอและเขาทำแบบเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้น แต่นี่เขาไม่ดูเหมือนคู่รักที่แอบส่งจดหมายหากันไปหน่อยหรือ อย่างไรเสียมันก็คงง่ายกว่าที่จะแก้ตัวเมื่อโดนจับได้ว่าเขียนชื่อของอีกฝ่ายล่ะนะ
ความสัมพันธ์ที่ส่งจดหมายหากันด้วยตัวอักษรตัวแรก… ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็คงยากที่จะฟังขึ้น
‘แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นรักข้างเดียวของมิเอล ไม่ได้เป็นคนรักกันเสียหน่อย ฉันคงไม่ถูกเรียกว่าชู้หรอกนะ’
อย่างไรก็ตามเรื่องการสู่ขอก็เป็นเรื่องระหว่างวงศ์ตระกูล ดังนั้นหากจะบอกว่าไม่ซื่อสัตย์ก็สามารถมองว่าไม่ซื่อสัตย์ได้เช่นกัน
คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่เจสซี่เพียงคนเดียว เพราะเธอต้องการผู้ช่วยในการส่งจดหมายคุยกับเขา แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ก็มีแอนนี่อีกคนที่รู้ เท่ากับว่ามีทั้งหมดสองคนแล้ว
‘ตอนส่งจดหมายหาเขาครั้งแรก ก็นานมากเลยนี่นะกว่าเขาจะตอบกลับ’
ขณะที่เธอกำลังจะรู้สึกผิดหวังนั้นเอง กลับกลายเป็นว่าเธอต้องมารู้สึกซาบซึ้งที่เขาเป็นคนมาหาและส่งจดหมายให้เธอเองกับมือ
หลังจากนั้น จดหมายตอบกลับจากเขาก็ไม่เคยช้าอีกเลย บางครั้งเขาก็ตอบเร็วเสียจนเธอคิดว่าจดหมายมาถึงแล้ว
แม้เนื้อความทั้งหมดในจดหมายจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการถามสารทุกข์สุกดิบและบอกว่าตนกำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ แต่เธอก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นที่กำลังจะแย่งเขาคนที่มิเอลถวิลหานักหนามาเป็นผลสำเร็จเอาไว้ได้
มันทำให้เธอตื่นเต้นเสียจนอยากวิ่งตะโกนไปรอบคฤหาสน์ว่าเธอได้แลกเปลี่ยนจดหมายกับเขาเลยทีเดียว
‘แต่ฉันจะทำอย่างนั้นไม่ได้’
ถ้าใช้นาฬิกาทรายล่ะก็ว่าไปอย่าง แต่หากเธอทำแบบนั้นทั้งที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ ก็เท่ากับว่าเธอทำผิดพลาดซ้ำอีกครั้ง
อาเรียหยิบกระดาษจดหมายที่เธอใช้ประจำออกมาเขียนจดหมายตอบกลับให้ออสการ์ ในส่วนแรกนั้น เธอเขียนไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องดินฟ้าอากาศ สุขภาพ หรือเรื่องที่เธอกำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างดีเหมือนที่เธอมักจะเขียนเสมอ
สำหรับส่วนสุดท้ายเธอเขียนเรื่องราวใหม่ๆ ลงไปอย่างเช่นว่าเธออยากไปเที่ยวชมดอกไม้เพราะตอนนี้ใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มทีแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะจบจดหมายนั้น จู่ๆ เธอก็ดันนึกถึงเรื่องของมิเอลเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมา
‘ถ้าเขียนเรื่องเรนลงไป… ออสการ์จะมีปฏิกิริยายังไงนะ’
ไม่ใช่ว่าหึงหรอกนะ แต่ก็เอาเถอะ ถึงจะไม่หึงแต่มันก็คงจะกวนใจเขาอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวกับเด็กหญิงที่เขาจะถูกจับให้แต่งงานกันในภายหลัง บางทีเขาอาจจะสงสัยในตัวเรนขึ้นมาบ้าง
ปฏิกิริยาของเขาที่เธอปรารถนาจะเห็นที่สุดคือการที่เขาไม่สนใจหล่อนเลย แต่เธอก็ยังใส่เรื่องของมิเอลกับเรนเข้าไปอยู่ดีเพราะคิดว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
เธอได้เขียนตอนจบลงไปว่า เธออยากให้เขาช่วยบอกเธอว่าผู้ชายที่เธอไม่อาจหาชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้นั้นเป็นใคร ทั้งยังบอกด้วยว่าเธอสงสัยเกี่ยวกับตัวเขาคนนั้น
“ให้ส่งไปให้คุณออสการ์ใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว เธอเก็บเอาไว้กับตัวก่อน แล้วค่อยส่งอีกไม่กี่วันให้หลังแล้วกันนะ”
เขาจะกระวนกระวายบ้างหรือเปล่าหากเธอทิ้งช่วงเอาไว้สักนิดแล้วค่อยส่ง ความคิดถึงคงมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นหากเขาไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินข่าวคราว
เหมือนกับที่เธอเคยซาบซึ้งกับจดหมายที่มาถึงช้าอย่างไม่คาดคิดเมื่อหลายเดือนก่อน
………………………