บทที่ 11
Ink Stone_Romance
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ เธออยากจะขอร้องให้เคาน์ติสปลดผู้คุ้มกันทั้งสองที่ตามอารักขาตนออกเสียเดี๋ยวนี้แล้วแต่ก็ยังชั่งใจไว้อยู่ เพราะเธอคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีของเธอก็ได้
เจ้าพวกนั้นไม่ใช่เพียงผู้คุ้มกันที่ไม่สามารถปกป้องผู้เป็นนายอย่างเธอได้เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้คุ้มกันที่ไม่แม้แต่จะพยายามปกป้องเธอเลยด้วยซ้ำไป เจ้าพวกนั้นที่ละเลยหน้าที่หลักของผู้ติดตามที่ต้องยอมอุทิศชีวิตของตนด้วยความจงรักภักดี จะต้องละอายแก่ใจในการกระทำเลวทรามต่ำช้าของตัวเอง
หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปพวกนั้นไม่มีทางเรียกตัวเองว่าผู้คุ้มกันได้อย่างภาคภูมิแน่ และอาจจะต้องใช้ทั้งชีวิตไปพร้อมกับตราบาปอันอัปยศอดสูที่ทิ้งเจ้านายไว้แต่ตัวเองกลับหนีหางจุกตูด
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนของพวกมันแน่นอน และจะเป็นเรื่องน่าอายที่พวกมันไม่อยากเปิดเผยอีกต่อไปด้วย
ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสไหนที่จะทำให้พวกมันหวั่นเกรงไปมากกว่านี้อีกแล้ว โอกาสให้ได้กัดและสูบเลือดสูบเนื้อพวกมันเหมือนปลิงดูดเลือด และจะดูดจนกว่าจะเหลือแต่หนังกำพร้าสีดำที่ตายแล้ว
นับว่าทาสที่มีชนักติดหลังนั้นมีค่ามหาศาลยิ่งกว่าผู้คุ้มกันที่สาบานตนเป็นสิบล้านเท่าเลยทีเดียว
อาเรียแย้มยิ้มให้แก่ผู้คุ้มกันผู้อารักขาเธอที่กำลังทำหน้าเหมือนโลกจะแตก เพราะพวกเขากำลังรอคอยการตัดสินโทษจากเธออยู่ แต่กลับได้รับรอยยิ้มเอื้อเฟื้อไปแทน
อาเรียลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือจากผู้คุ้มกันพร้อมกับเอ่ยปากอย่างสดใสแต่ก็นิ่งสงบ
“ฉันไม่ได้ออกข้างนอกมานานเลยต้องมาเจอสถานการณ์ลำบากแบบนี้ เพราะอย่างนี้เองคนทั่วไปถึงไม่สามารถออกไปไหนได้ ถ้าไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีล่ะก็คงรุนแรงมากกว่านี้แน่”
เหล่าผู้คุ้มกันที่เดินตามหลังอาเรียเข้ามาในคฤหาสน์ได้กลืนน้ำลายกันเป็นแถว นั่นเพราะพวกเขาคิดว่าเมื่อเธอพูดถึงเรื่องราวน่าอดสูที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อครู่นี้แล้ว สิ่งที่ตามมาจะต้องเป็นการลงโทษอย่างแน่นอน
เพราะยังไม่มีคำสั่งให้แยกย้ายเหล่าผู้คุ้มกันจึงยังต้องตามเธอไปถึงห้องด้วยความกระวนกระวายใจ
ห้องของอาเรียอยู่บนชั้น 3 เพราะเธอต้องการห้องที่วิวดีที่สุด เหล่าคนรับใช้ที่พบเจอระหว่างทางขึ้นบันไดต่างพากันโค้งทักทายเธอและเหล่าผู้คุ้มกันกันเป็นทิวแถว
อาเรียที่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยแต่ครั้งนี้กลับตอบรับการทักทายของพวกเขาอย่างอ่อนโยนจึงทำให้กินเวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงห้องนอน
ยิ่งเธอหยุดเดินหลายครั้งมากเท่าไหร่ ริมฝีปากของเหล่าผู้คุ้มกันที่กำลังรอการพิพากษาว่าจะเป็นหรือตายก็ยิ่งแห้งผาก รวมทั้งมือก็ยิ่งสั่นมากขึ้นเช่นกัน
ไม่นานหลังจากมาถึงห้องของอาเรีย เจสซี่ที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายก็หันไปปิดประตูทันที ก่อนที่ริมฝีปากที่ปิดสนิทเป็นเส้นตรงของอาเรียจะเปิดออกช้าๆ
แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยวเดียวแต่กับเหล่าผู้คุ้มกันแล้วพวกเขารู้สึกเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์
“และอย่าว่าแต่ปกป้องฉันเลย ผู้คุ้มกันของฉันไม่แม้แต่จะพยายามรักษาร่างกายฉันไว้ได้ด้วยซ้ำ”
อาเรียนั่งลงบนโซฟาอ่อนนุ่มพลางเอ่ยต่อ
ใบหน้าของเหล่าผู้คุ้มกันซีดเผือดเพราะกำลังรอรับฟังบทลงโทษที่กำลังจะออกมา แท้จริงแล้วการควบคุมดูแลผู้คุ้มกันนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของท่านเคานต์ แต่หากมีเหตุจำเป็นผู้แทนก็สามารถทำหน้าที่แทนได้
ซึ่งในยามนี้ที่ทายาทอย่างเคนไม่อยู่ ผู้รับหน้าที่แทนก็คือเคานต์ติสที่เป็นมารดาของอาเรีย
หากเป็นเธอคงไล่พวกตนออกอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่สิ ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงไม่มีทางปล่อยพวกเขาไว้เฉยๆ แน่ ใครกันจะเอาผู้คุ้มกันที่ปล่อยปละละเลยผู้เป็นนายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตน
ผู้คุ้มกันทั้งสองต่างเตรียมใจยอมรับบทลงโทษที่กำลังจะออกมา ความผิดพลาดในวันนี้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่ว พวกเขาคงต้องเตรียมตัวที่จะอยู่อย่างหลบซ่อนไปทั้งชีวิต
แม้คำตอบจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วแต่คำพิพากษาครั้งสุดท้ายยังคงไม่ปรากฏ ผู้คุ้มกันทั้งสองรอคอยคำพูดต่อไปของอาเรียอยู่เงียบๆ ขณะที่สายตาก็เอาแต่ก้มมองพื้น
“แต่ฝั่งนั้นก็เป็นคนเก่งกาจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
อาเรียโบกมือเสมือนเป็นสัญญาณให้เจสซี่ช่วยเติมน้ำใส่แก้วให้เธอ เจสซี่วางกล่องใส่นาฬิกาทรายลงกับพื้น เธอมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะเติมน้ำที่เตรียมไว้ลงในแก้ว
อาเรียถือแก้วไว้ในมือแล้วพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าจะปล่อยพวกเจ้าไปสักครั้ง ในเมื่อพวกเจ้าเองก็ต้านไม่ไหวจริงๆ นี่”
“…!”
“…!!”
ผู้คุ้มกันทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันจนไม่อาจบอกได้ว่าใครเร็วกว่าใคร พวกเขาได้แต่กะพริบตาเพราะคิดว่าสิ่งที่ได้ยินทั้งหมดนั้นเป็นเพราะตนหูแว่วไปเอง
ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป เพราะถึงแม้จะเป็นมิเอลผู้มีใจกรุณาก็คงจะปลดพวกเขาออกเช่นกัน ดังนั้นอาเรีย ‘คนนี้‘ ย่อมไม่มีทางให้ความเมตตากับพวกเขาแน่
“แต่ว่านะ”
อาเรียยกแก้วขึ้นชิดริมฝีปาก เมื่อเอียงแก้วน้ำก็ไหลผ่านลำคอเธอลงไปทันที
อึก อาเรียวางแก้วลงบนโต๊ะหลังจากจิบไปอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ
“น้ำค่อนข้างอุ่นไปหน่อยนะ มีใครพอจะไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้ฉันได้บ้างไหม”
ผู้คุ้มกันทั้งสองรีบรุดออกจากห้องไปก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบเสียอีก มือของเจสซี่ที่ช้าไปหนึ่งจังหวะยังค้างอยู่กลางอากาศ
เจสซี่ได้แต่มองบานประตูที่ผู้คุ้มกันทั้งสองจากไปสลับกับอาเรียอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร อาเรียที่เฝ้ามองทุกอย่างเอนหลังพิงพนักโซฟาก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“เจสซี่ เธอเองก็ออกไปข้างนอกก่อนสักพักนะ”
“เอ๊ะ เอ่อ ได้ค่ะ…”
เจสซี่ไม่อาจปิดบังความตกใจเอาไว้ได้ หล่อนยกกล่องนาฬิกาทรายที่วางอยู่ที่พื้นมาไว้บนโต๊ะแทนก่อนจะออกจากห้องของอาเรียไปอีกคน
ทันทีที่หล่อนออกไปอาเรียก็เลื่อนภาพทิวทัศน์ที่แขวนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องไปด้านข้าง ก่อนจะใช้มือกดลงบนกำแพงเรียบๆ ที่ไม่มีลวดลายอื่นใด
ทันใดนั้นที่จับที่ทำจากเหล็กก็โผล่ออกมาพร้อมกับเสียงกริ๊กจากแม่กุญแจที่ถูกปลดบริเวณพื้นที่ว่างใต้กรอบรูปที่เธอเคยคิดว่าเป็นแค่กำแพงธรรมดาๆ
เมื่อจับมันดึงออกมาก็พบกับช่องว่างขนาดพอให้คนคนหนึ่งเข้าไปได้ มันคือห้องลับที่ถูกทำไว้ในห้องแต่ละห้องนั่นเอง มันคือห้องลับที่มีเพียงเจ้าของห้องเท่านั้นที่รู้ และยังเป็นที่หลบภัยที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ซ่อนตัวเวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้นอีกด้วย โดยปกติแล้วจะมีเพียงเจ้าของห้องเท่านั้นที่อ่านความลับนั้นออกเพราะเป็นสิ่งที่เสมียนประจำตระกูลเป็นผู้เขียนขึ้นมา
อาเรียคนเก่าที่ไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลของท่านเคานต์เพิ่งจะมารู้ว่ามีห้องนี้อยู่ก่อนที่เธอจะตายเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น
และยังรู้เองโดยบังเอิญอีกต่างหาก เธอรู้ในระหว่างที่กำลังทำตัวเลวทรามเพราะความอิจฉาริษยาที่มีต่อมิเอลผู้ที่มักจะได้เปรียบเธอเสมอและเพราะความจริงที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ในตอนนั้นอาเรียที่กำลังสติหลุดทุบกรอบรูปที่แขวนอยู่กับกำแพงทั้งยังทำลายข้าวของอีกด้วย สิ่งของหลายสิบถูกเขวี้ยงกระจายระเกะระกะจนรกไปหมด และแจกันดอกไม้ที่ถูกโยนไปดันโดนสวิตช์ที่ติดอยู่บนกำแพงโดยบังเอิญ และนั่นก็คือเรื่องราวที่ทำให้เธอรู้จักสถานที่ลับแห่งนี้
‘ถึงตอนที่จำเป็นจริงๆ ฉันจะใช้มันไม่ได้ก็เถอะนะ‘
เธอไม่สามารถซ่อนตัวได้ในตอนที่เจอสถานการณ์ที่ควรจะหลบเพราะเธอไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเธอจะต้องตาย แต่ตอนนี้เธอจะใช้มันในการซ่อนนาฬิกาทรายที่คืนชีพให้แก่เธอ
‘ก๊อกๆ‘
เสียงเคาะหนักๆ บนบานประตูที่ถูกปิดสนิทดังขึ้นมาทันทีที่เธอซ่อนนาฬิกาทรายเสร็จ ดูท่าเจ้าหมาแสนภักดีพวกนั้นจะมาถึงแล้ว เมื่อเธอส่งสัญญาณให้ผู้คุ้มกันทั้งสองก็รีบเข้ามาทันทีพร้อมกับเตรียมแก้วน้ำที่ตนถือมาให้อาเรีย
อาเรียยิ้มกว้างกับภาพที่พวกเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วทำเหมือนกำลังถวายของเซ่นแด่พระเจ้าพลางรับแก้วของพวกเขามาถือไว้
“ต่อไปก็ฝากตัวด้วยนะ”
เจ้าพวกลูกหมาที่แสนน่ารักของฉัน
* * *
อาเรียรีบคืนชุดกระโปรงของมิเอลให้ผู้เป็นเจ้าของ ทั้งที่ยังไม่ได้ซักให้เลยด้วยซ้ำไป เพราะเธออยากส่งชุดนี่ให้พ้นไปจากมือเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
มิเอลก้มลงมองชุดกระโปรงที่ได้กลับมาโดยไม่มีรอยเปื้อนเลยแม้แต่นิดด้วยสีหน้าที่ยากจะบอก ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดว่าอาเรียจะต้องทำชุดกระโปรงของเธอพังเป็นแน่
แน่นอนว่าอาเรียเองก็เคยคิดจะทำเช่นนั้น เมื่อก่อนการได้ทำเรื่องเลวร้ายมันจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นได้ก็จริงแต่มันก็ยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงเช่นกัน ตอนนี้เธอจึงคิดได้ว่าไม่ควรทำเช่นนั้นอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนอีกมากมายที่เห็นว่าเธอยืมชุดไป ดังนั้นเธอจะทำมันพังไม่ได้เป็นอันขาด
เหนือสิ่งอื่นใดคือชุดกระโปรงนั้นต้องสะอาดเรียบร้อยเพราะบางทีอาจจะมีชายหนุ่มตามหาเจ้าของชุดนั้นอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งก็อยู่ในห้องแต่งตัวของมิเอลนั่นเอง
“ตอนนี้พี่ซื้อเสื้อผ้าของตัวเองแล้ว ต่อไปคงไม่ต้องขอยืมน้องแล้วล่ะ”
“จริงๆ พี่จะยืมอีกก็ได้แต่ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจด้วยนะคะ”
มิเอลที่ไม่มีวันได้รู้เจตจำนงของอาเรียก็ทำสีหน้าโล่งใจ
อาเรียมองหน้าน้องสาวพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ในอดีตนั้นมิเอลมักจะทำให้อาเรียเจ็บปวดได้อย่างช่ำชองและดูเหมือนจะพอรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
‘เด็กโง่‘
แม้ว่าทั้งท่าทาง คำพูด หรือบรรยากาศรอบตัวจะต่างจากอาเรียมากแต่นอกจากนั้นแล้วลักษณะภายนอกกลับเหมือนกันเหลือเกิน
ทั้งนัยน์ตาสีเขียวและผิวขาวใสที่มาพร้อมกับผมสีทองสว่าง ความสูงโดยเฉลี่ยด้วยอายุที่พอกัน และสุดท้ายคือพวกเธอต่างก็เป็นบุตรสาวของท่านเคานต์โรสเซนต์ทั้งคู่
มิเอลกับอาเรียมีหลายจุดที่เหมือนกัน
ในกรณีของอาเรียนั้น เธอตัวเล็กกว่ามิเอลอยู่เล็กน้อยเพราะไม่ได้ทานอาหารและเติบโตมาอย่างเหมาะสมในตอนที่ยังเป็นเด็ก เพราะแบบนั้นเธอจึงสูงน้อยกว่ามิเอลที่อ่อนกว่าหนึ่งปี ดังนั้นหากมองพวกเธอตอนอยู่ด้วยกันจากที่ไกลๆ จึงไม่อาจบอกได้เลยว่าใครเป็นใคร
จริงอยู่ที่สามารถแยกทั้งสองออกได้เพียงแค่มองจากท่าทางของมิเอลที่แสนงามสง่ากับท่ายืนของอาเรียที่มักจะดูกะโหลกกะลา แต่ตอนนี้ความแตกต่างนั้นค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เพราะอาเรียที่พยายามรักษาภาพลักษณ์จนสง่างามไม่แพ้มิเอลเลย
‘…หากเขามาจริงฉันก็หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าฉันคือมิเอล‘
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเลดี้ของตระกูลโรสเซนต์มีเพียงมิเอลแค่คนเดียว ดังนั้นหากมีคนมาถามหาด้วยชื่อของตระกูลหรือลักษณะภายนอก ชื่อของอาเรียจะไม่มีทางหลุดออกมาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นชุดกระโปรงที่ได้รับมาจากท่านชายออสการ์ยังถือเป็นกับดักด้วย เพราะชุดกระโปรงชุดนั้นไม่ใช่ของอาเรียแต่เป็นของมิเอลนั่นเอง
หลังจากได้รับมันเป็นของขวัญมิเอลก็เอาไปพูดอวดกับทุกคนที่ตนรู้จัก แม้เขาจะไม่ให้มันแบบเปิดเผยแต่ข่าวลือก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งละแวกว่าตราประทับของเฟรดเดอริกที่ปักด้วยทับทิมสีแดงและประดับอยู่บนชุดกระโปรงที่เขาให้เป็นของขวัญนั้นงดงามเพียงใด
ดังนั้นไม่ว่าเขาหรือใครก็ไม่สามารถหาเธอเจอได้ทั้งนั้น
เมื่อคิดได้แบบนั้นเธอก็วางใจ ในวันข้างหน้าแทบจะไม่มีเรื่องใดที่เป็นอันตรายหากเธอไม่เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่คนทั่วไปจะไปรวมตัวกันเป็นประจำ แต่ก็ยังมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นการเตรียมการณ์เอาไว้ล่วงหน้าหลายๆ ทางจึงเป็นเรื่องที่ดี
ความกลัวของเธอเกี่ยวกับอนาคตที่ไม่อาจรู้ได้เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วนั้นถือว่ามากกว่าพวกเขาหลายเท่าตัวพอๆ กับที่เธอรู้อนาคตเลยทีเดียว โดยเฉพาะชีวิตที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งและเธอจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้นอีกในชีวิตนี้ นั่นทำให้เธอยิ่งมีความกลัวมากขึ้นไปอีก
กลัวสถานการณ์ที่ต่างไปจากอดีต
หากมันเป็นเรื่องที่ดีก็แล้วไปแต่ถ้าไม่ดีเธอก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยง
อาเรียหวังว่ามิเอลจะลบล้างภยันตรายทั้งปวงจะเกิดขึ้นรอบตัวเธอได้ และเธอก็จะสร้างกำแพงป้องกันที่แข็งแกร่งโอบล้อมตัวไว้เช่นกัน
“ชุดกระโปรงนั่น ทุกคนที่เห็นต่างก็ชมกันไม่ขาดปากว่ามันสวย แต่มันก็ไม่ใช่ของพี่อยู่ดี”
ฉะนั้นถึงคราวแกต้องใส่ไปเดินอวดโฉมบ้างแล้วล่ะนะ
อวดให้ฉันเห็นสิว่าชุดนี่มันเป็นของแก
อาเรียแสดงท่าทีเสียใจแต่มิเอลกลับทำหน้าตึง แม้จะใส่มันไม่ได้เพราะความเสียดายแต่หล่อนก็ไม่อยากให้ใครคนอื่นมาใส่มันเช่นกัน ดูจากการที่มิเอลไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้แบบนั้นแล้ว เธอคงจะถูกโกรธเข้าแล้วสินะ นี่ยังไงล่ะ สิ่งที่เธอต้องการ
อาเรียเดินออกมาจากห้องของมิเอลขณะที่จินตนาการภาพมิเอลกำลังใส่ชุดที่ออสการ์ให้เป็นของขวัญแล้วเดินอวดไปตามที่ที่มีคนอยู่เยอะแยะไปด้วย
และวันนี้ก็เป็นวันที่เธอฮัมเพลงออกมาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
……………………………………………..