พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 91
สายตาของไอซิสหันไปยังสวนที่อาซเพิ่งออกมา เพราะเธอมั่นใจว่าบริเวณรอบๆ ที่อาซเพิ่งออกมาต้องมีรอยเท้าเล็กๆ ของผู้หญิงอยู่แน่นอน
“พระองค์ท่านทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันนะ”
อาซไม่พอใจกับการทักทายของดัชเชสไอซิสที่จับผิดเขา จนสงสัยว่าในช่วงนั้นตัวเองมัวแต่หลงระเริงกับอำนาจของชนชั้นสูงจนเสียสติไปแล้วหรือเปล่า
“ทำไมดัชเชสถึงหัวเสียกับเรื่องนั้นกันนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“เพราะหากมกุฎราชกุมารจะสร้างเรื่องฉาวโฉ่กับ’หญิงคนนั้น’แล้ว แน่นอนว่าฉันก็ต้องเสียหน้าไปด้วยอย่างไรล่ะ”
เหมือนว่าเธอจะยอมรับสถานการณ์ไม่ได้พลางพูดด้วยเสียงสูงอีก ดูตื่นเต้นแบบนั้น เป็นภาพที่ไม่สมกับเป็นเธอเสียเลย ทั้งคำพูดที่พูดออกมา ไม่เหมือนอย่างที่เคย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเสียสติไปแล้วหรือเปล่า เป็นเพราะว่านี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่คนรอบตัวโดนหญิงไร้ค่าเช่นนั้นแย่งไป
อาซยิ้มเยาะ
“งั้นเหรอ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้หญิงที่ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”
“ท่านตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้เรื่องจริงๆ เหรอคะ หรือว่า… ตั้งใจจะรับหญิงคนนั้นเข้ามาเป็นสนม คงไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ใช่ไหมล่ะคะ”
อาซยิ้มเยาะกับคำพูดของเธอที่พูดเหมือนกับเขาจะต้องขออนุญาตจากเธอเสียอย่างนั้น ทำอย่างกับตำแหน่งตัวเองจะสามารถพูดอะไรแบบนั้นได้
“จะว่าไปก็เป็นห่วงว่าดัชเชสจะเป็นโรคหลงตัวเองอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
“ฝ..ฝ่าบาท ทรงกล่าวว่าอะไรนะคะ…”
หลังจากเขากล่าวด้วยถ้อยคำที่ดูถูกเช่นนั้น ดัชเชสก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาทันที ดูเหมือนว่าจะตื่นตระหนกเต็มที่ จึงลืมว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ดูท่าคงจะตกใจมากเพราะไม่คิดว่าออสการ์จะสามารถพูดอะไรแบบนั้นได้
ยิ่งช็อกเป็นสองเท่าเพราะในช่วงนั้นพวกชนชั้นสูงยังทำทุกทางเพื่อคอยวิ่งเต้น ไม่รู้ว่านั่นคือสัตว์ร้ายที่หมอบรอเวลาอยู่ด้วยซ้ำ
“ทำไมผมต้องได้รับการอนุญาตแบบนั้นด้วย”
“นั่นเป็นเพราะพระองค์เป็นคนที่จะต้องหมั้นกับดิฉันอย่างไรล่ะ…!”
“ตายจริง ดัชเชสเข้าใจผิดอยู่สินะ ช่างน่าเศร้าเสียจริง”
“ฝ่าบาท…!”
เป็นเรื่องจริงที่มีการส่งคำขอหมั้นกับเธอ แต่เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการยืนยันจริงๆ มีเพียงแค่ฝั่งชนชั้นสูงที่อยากครองอำนาจเหมือนเดิมออกมาพูดเรื่องนี้เท่านั้น
แต่ทว่าตอนนี้อาซพยายามเพิ่มอำนาจไปเรื่อยๆ จนฝั่งชนชั้นสูงไม่สามารถล้มได้ ทำให้ตัวตนของพวกเขาไม่ได้น่าเกรงขามสักเท่าไรนัก
หากรวมไปถึงการตั้งโรงเรียนและรวบรวมนักลงทุนเข้าไปอีก อาจจะเพิ่มอำนาจยิ่งใหญ่ได้เลยทีเดียว
แน่นอนว่าหากไม่เป็นไปตามนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่นัก สำหรับการที่เข้าไปร่วมในชมรมนั้น แม้ตนเองจะเป็นตัวเลือกของมกุฎราชกุมาร แต่ก็เพื่อปิดความลับและเพิ่มภูมิฐานของตัวเองอย่างไรล่ะ
และหญิงที่อยู่ต่อหน้าตรงนั้นก็ไม่ใช่หญิงร้ายที่น่ากลัวด้วยซ้ำ
“ไม่รู้สิ แทนที่จะหมั้นกับดัชเชส ให้ผมเป็นโสดไปตลอดชีวิตเสียจะดีกว่า”
“ทะ.. ทำไมถึงได้กล่าวคำไร้มารยาทออกมาเช่นนั้นได้…!”
เนื่องจากเป็นคำพูดที่ไม่คาดคิด ทำให้ดัชเชสเปลี่ยนสีหน้าซีดเผือดราวกับหิมะที่เพิ่งตกลงมา เป็นเพราะรับอนาคตที่จะมาถึงไม่ได้อย่างไรล่ะ
“นั่นน่าจะเป็นคำพูดของผมนะ หวังว่าจะไม่พูดอะไรเหลวไหลทำให้ผมขัดใจอีก”
“เหลวไหลอะไรกันคะ…!”
เนื่องจากไม่อยากจะเชื่อคำพูดของอาซ ไอซิสจึงย้อนถามอีกครั้งด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“ที่ถามเพราะไม่รู้จริงหรือ ผมหมายถึงเรื่องที่ผมต้องหมั้นกับดัชเชสเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างไรล่ะ ผมไม่เคยหมายความเรื่องนั้นไปในแง่ดีเลยสักครั้ง”
ทันทีที่อาซตอบกลับด้วยถ้อยคำที่เย็นยะเยือกและเด็กขาดทำให้ไอซิสหน้าถอดสี เป็นเพราะเธอโดนปฏิเสธจากเป้าหมายที่เธอต้องพิชิตมันอย่างไรล่ะ
หากไม่ได้เป็นมกุฎราชกุมารีก็จะไม่มีใครคอยเชื่อฟังเธออีกแล้ว ที่ทุกคนต่างยกย่องและชื่นชมเธอ เพราะเธอจะกลายเป็นมกุฎราชกุมารีในอนาคต
เธอไม่พูดอะไรสักพัก ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น จนกระทั่งเธอกัดฟันพลางพูดกับอาซเหมือนกับเป็นคำสาป
“ฝ่าบาท… สักวันฝ่าบาทจะเสียพระทัยกับสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่อย่างแน่นอน”
เป็นคำสาปที่ไม่มีเศษเสี้ยวความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย เป็นเหมือนคำเตือนว่ามันจะกลายเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเธอมั่นใจว่าจะทำแบบนั้นได้อย่างแน่นอน
อาซยกยิ้มให้กับภาพที่แสนโง่เขลานั้น
ที่ผ่านมาโดนทำให้อับอายมากแค่ไหนกันนะ เป็นหนทางเพื่อที่จะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในราชวงศ์ ทั้งที่การกระทำและคำพูดต่างไม่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย ช่างดูน่าสมเพชเสียจริง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
ทำให้เขากล่าวเตือนไปเพิ่มราวกับเป็นห่วง เพราะเขารู้ว่าอย่างไรก็ตามเธอไม่มีทางจัดการเองได้อยู่แล้ว
“ดูจากคำพูดของดัชเชสแล้ว ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกนะครับ มีข่าวลือว่าชื่อที่ถูกเขียนไว้ในบัญชีของวิสเคานต์วิเกต์ ชื่อพวกนั้นยังไม่ใช่ทั้งหมดนี่นา”
“…ท่านหมายความว่าอะไรคะ”
นัยน์ตาของไอซิสสั่นไหว แม้จะคิดว่างานของเขาเป็นการสั่นคลอนอำนาจตระกูลชนชั้นสูงก็ตาม แต่ชั่วครู่กลับคิดว่าเป็นเพราะทำเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ
แต่กล้าดีอย่างไร คิดว่าจะขู่เธอได้ง่ายอย่างนั้นหรือ… ดวงตาสีฟ้าที่เย็นยะเยือกราวกับกลืนกินเธอกลับสั่นไหว
“ไม่รู้สิ ความเมตตาของผมมีเพียงเท่านี้ล่ะ ที่เหลือไปถามหาเอาจากดัชเชสเอง”
เหมือนอย่างเคย ไอซิสที่มองแผ่นหลังของเขาที่หันไปอย่างไม่ไยดี เป็นเพราะเขายังไม่หายโกรธ
เด็กชายที่คิดว่าเป็นของตัวเองตั้งแต่เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เขากลับยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อยๆ จนตอนนี้แค่สายตาที่มองเฉียดเพียงเล็กน้อยกลับแสดงท่าทางรังเกียจขนาดนั้น
‘แน่นอนว่าจะต้องเอามาโอ้อวดล่ะสิ ดูกระโดดโลดเต้นเสียอย่างนั้น เพราะจะไม่มีใครเป็นอำนาจให้กับเธอแล้วอย่างไรล่ะ จะทำให้คิดถึงคำน่าเกลียดพวกนั้นไม่ออกอีกเลย’
แม้จะพยายามทำเป็นเย่อหยิ่งแล้วมองข้ามไปได้ง่ายๆ ก็ตาม แต่สำหรับไอซิสแล้วเธอคิดผิด อาซที่คิดว่าสั่นคลอนเธอที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาชนพยายามห้ามเธอเป็นด่านสุดท้ายที่จะสั่นคลอนกลุ่มชนชั้นสูง และอีกไม่นานเธอก็จะได้รู้เรื่องนี้
“เป็นไปไม่ได้! ทำไม.. ทำไมฉันถึงไปเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ล่ะ!”
หลังจากนั้น วิเสคานต์วิเกต์ไม่ได้เขียนชื่อเอาไว้ในสมุดบัญชี ข่าวลือที่เธอยื่นข้อเสนอเรื่องนี้จึงว่อนไปทั่ว ข่าวลือว่าเขาลบแค่ชื่อของดัชเชสแค่คนเดียวเพื่อเตรียมพร้อมสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ไม่ใช่หรอกหรือ
ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ถูกส่งต่อปากต่อปาก ในพริบตาเดียวข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว เพราะการล้มลงของคนที่มีหน้ามีตาอยู่แล้วสนุกยิ่งกว่าหลายเท่าเลยล่ะ
แน่นอนว่า หากเรื่องนั้นมีหลักฐานก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก
“ไอ้งั่งนั่นจะไปรู้อะไร!”
ไอซิสเขวี้ยงถ้วยแก้วชนกับผนังจนแตกเป็นเศษเล็กๆ
แค่พวกชนชั้นกลุ่มน้อยขอบเมืองที่ทำแค่ส่งของขวัญ ดื่มชาได้เพียงไม่กี่ครั้ง มาอยู่ข้างเดียวกับมกุฎราชกุมารเสียได้ จนกระทั่งพวกพนักงานคาสิโนนิรนามที่ปั้นเรื่องขึ้นมาพูดสร้างข่าวลือไปทั่ว
แม้มองภายนอกจะดูใจเย็นก็ตามแต่คำแก้ตัวนั้นกลับต่างกัน คนที่เชื่อก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นเล่ห์เหลี่ยมของฝั่งมกุฎราชกุมาร ยิ่งมีการแตกกลุ่มของชนชั้นสูงเกิดขึ้น ทำให้ยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาสุนัขรับใช้ที่อยู่ฝั่งมกุฎราชกุมารบางส่วนมักจะนินทาดัชเชสและกลุ่มชนชั้นสูงอยู่บ่อยๆ
อย่าไงไรก็ตามแค่หลักฐานก็ไม่สามารถทำให้เธอรับโทษได้ อีกไม่นานคงมีการเปิดเผยว่าไม่มีความผิดอะไร แต่ระหว่างนั้นก็คงต้องทนรับข่าวฉาวโฉ่ไปอย่างนั้น แล้วยอดปราสาทที่พยายามสร้างอย่างระมัดระวังก็จะพังทลายลง
แน่นอนว่ามกุฎราชกุมารเฝ้ารอสิ่งนั้นอยู่
สาวใช้ที่คอยสังเกตการณ์อย่างระมัดระวังคิดว่าคงเลื่อนไปไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจบอกการมาถึงของมิเอล
“เอ่อ…เลดี้คะ เลดี้โรสเซนต์มาถึงแล้วค่ะ”
ที่จริงมาถึงตั้งนานแล้วก็ตาม แต่อ้างว่ากำลังเตรียมรอรับอยู่ เพราะไม่สามารถพูดกับเธอในท่าทางนิ่งเฉยได้
“…อา ใช่สิ จริงด้วย กำลังจะเรียกเลดี้มิเอลพอดีเลยค่ะ”
โชคดีที่เธอยังพอคิดรู้จักแยกแยะได้ จึงควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองแล้วกลับมาสู่สภาพเดิม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะโกรธ
ไอซิสปรับสีหน้าจัดท่าทางตัวเองให้เรียบร้อยแล้วตรงไปยังห้องนั่งเล่น ในอนาคตมิเอลที่จะกลายเป็นดัชเชส กำลังดื่มชาด้วยท่าทางที่สง่างามเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น
ทันทีที่ไอซิสเข้าไปยังห้องรับแขก เธอก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าจะพยายามไม่พูดถึงข่าวลือนั่นให้กวนใจ
ซึ่งเธอพอใจกับสิ่งนั้นมาก อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ต้องยืนขึ้นแบบนั้นหรอกค่ะเลดี้มิเอล นั่งเถอะค่ะ”
ทันทีที่ไอซิสนั่งลงตรงข้าม มิเอลที่นั่งลงพร้อมกันก็ถามไถ่อย่างระมัดระวัง แม้เพิ่งจะได้พบที่งานหมั้นของมาร์ควิสวินเซนต์ไม่นานมานี้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีหัวข้อให้พูดคุยสักเท่าไร
ไอซิสจึงตอบทั้งที่ไม่ได้ปรับสีหน้า
“อย่างที่ทราบค่ะ ไม่ค่อยดีสักเท่าไร เพราะข่าวลือเหลวไหลพวกนั้นอย่างไรล่ะคะ”
“หากท่านหมายถึงข่าวลือนั้น ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันค่ะ” ใครกันที่ไปปล่อยข่าวลือพวกนั้น… ฉันจะช่วยทำทุกอย่างเพื่อให้ความจริงเปิดเผยเองค่ะ”
“จริงเหรอคะ”
แต่ทว่าเพราะมิเอลไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าไร สีหน้าของไอซิสจึงดูไม่ดีขึ้นเลย เป็นความจริงที่เธอแค่พูดไปปากเปล่าว่าจะช่วย มิเอลไม่ได้พูดอะไรต่อพลางยกถ้วยชาขึ้น เท่านี้ก็เหมาะสมสำหรับบทสนทนาของเหล่าเลดี้แล้ว
“รู้สึกอุ่นใจขึ้นมากเลยล่ะค่ะ”
แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ก็พยายามเพิ่มคำพูดว่าเชื่อใจเสริมไปด้วย เพราะในสถานการณ์ที่ค่อยๆ สูญเสียกำลังไปทีละคนสองคน เธอจะเมินเฉยมิเอลที่มีอำนาจมากที่สุดไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่เธอต้องทำให้ด้วย นั่นคือเหตุผลที่เรียกเธอมาในตอนที่กำลังยุ่งๆ อยู่
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอช่วยอย่างหนึ่งแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่ว่าอะไรก็ตามบอกมาได้เลยค่ะ”
มิเอลตอบด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรเธอพร้อมที่จะจัดการให้ทันที
ไอซิสยกชาเขียวอุ่นขึ้นดื่มหนึ่งอึก จากนั้นจึงพูดตอบ
“เป็นเรื่องที่เคยพูดบ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะ แม้ตอนนี้จะคิดว่ามันสายไปก็ตาม แต่ครั้งนี้หวังว่าเลดี้จะช่วยทำให้’หญิงคนนั้น’ ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นก็คงจะดีค่ะ”
นั่นก็คือการกำจัดอาเรียที่ลอบพบกับมกุฎราชกุมารอย่างลับๆ อยู่ เพราะไม่สามารถกำจัดมกุฎราชกุมารได้ จึงหวังอยากจะกำจัดหล่อน
อย่างไรก็ตาม ตัวตนของหล่อนไม่ได้มีค่าอะไรอยู่แล้ว แม้จะหายไปก็มีแค่ไม่กี่คนที่จะเสียใจ
“เอ่อ… หมายถึง’หญิงคนนั้น’สินะคะ”
มิเอลที่เข้าใจว่าไอซิสหมายถึงอาเรียจึงหลบตาลง เพราะดัชเชสคือคนที่คอยเน้นย้ำมาตลอดว่าหล่อนจะเป็นความน่าอับอายของตระกูลท่านเคานต์ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาด้วยซ้ำ
แต่มิเอลที่ตอนนั้นยังเด็กอยู่ก็ไม่รู้จะให้วิธีไหน แม้จะได้เอ็มม่ามาคอยช่วยก็กลับไปล้มเหลวทุกที หลังจากนั้นจึงพยายามลองทำอะไรสักอย่าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลอะไรกับอาเรียเลย
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ท่านเคานต์ พ่อของเธอเอง รวมไปถึงข้ารับใช้ก็ดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามไปกับอาเรีย เห็นภาพนั้นยิ่งทำให้นอนไม่หลับ แม้พยายามคิดว่าจะหาวิธีไหนทำลายอาเรีย แต่ก็ไม่มีคำตอบเลย
เมื่อเธอไม่ตอบอะไรกลับมา ไอซิสที่เผยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่จึงพูดต่อ
“คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น ต่อไปจะเป็นมลทินต่อเลดี้มิเอลที่กำลังจะเป็นดัชเชสนะคะ เหมือนข่าวลือของข้าตอนนี้อย่างไรล่ะ เลดี้ก็หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ”
เป็นเรื่องที่ดัชเชสเน้นย้ำมาตลอด และแน่นอนว่าเธอก็คิดเหมือนกัน ไม่มีทางที่มิเอลจะไม่พยักหน้าเห็นด้วย เป็นความจริงที่ลูกนางโสเภณีทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมเสีย
‘…ดีเลย ถ้าเป็นเอ็มม่า หล่อนทำให้ได้อยู่แล้ว’
มิเอลมองปราดไปยังเอ็มม่าที่ยืนรออยู่ด้านหลังพลางคิด
สำหรับเธอนั้น เอ็มม่าเป็นคนที่ทุ่มเทให้เธอแทนแม่ของเธอที่ตายไปแล้ว ในอดีตยังแนะนำเธอที่เศร้าอยู่ไม่ให้เลือกรถม้าที่อะไหล่พังจะดีกว่า
เธอเพิ่งนึกออกว่าเอ็มม่ามีวิธีเพิ่งเครื่องปรุงอีกเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอจึงตอบอย่างอารมณ์ดี
“ฉันจะพยายามลดความกังวลของท่านพี่เองค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ เพราะมันจะเป็นเส้นทางของเลดี้มิเอลในอนาคต รบกวนฝากจัดการด้วยนะคะ”
ไอซิสมองตามมิเอลที่ให้คำยืนยันออกไปจากห้องรับรองอย่างมั่นใจ ค่อยๆ รู้สึกโล่งอกจึงยกชาขึ้นดื่ม
พลางหวังว่าจะกำจัดหญิงร้ายที่ทำให้คนสำคัญของเธอต้องกังวลใจได้สำเร็จ
………………………