หลังจากนั้นท่านเคานต์ก็พยายามหาคู่ครองให้อาเรียโดยระดมหาเส้นสายทั้งหมดที่ตนรู้จัก แม้จะหาผู้ที่เทียบกับดยุกได้ยาก แต่ดูเหมือนเขากำลังหาตระกูลที่มีทั้งอำนาจพร้อมทั้งความมั่งคั่ง โดยไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังทำสิ่งที่ไร้ความหมายอยู่
แม้แต่เคาน์ติสเองก็ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดข่าวลือแพร่กระจายไปทั้งอาณาจักรอย่างรวดเร็วว่าบุตรสาวคนโตแสนงดงามแห่งตระกูลโรสเซนต์กำลังหาคู่ครองอยู่
เพราะเหตุนั้นอาเรียจึงรู้สึกอึดอัดอยู่ทุกวัน
“เลดี้คิดจะแต่งงานกับคนที่ท่านเคานต์หาให้จริงๆ หรือคะ”
แอนนี่ซึ่งรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอาเรียถามขึ้นมา เนื่องจากมาร์ควิสวินเซนต์และออสการ์มีคู่ครองอยู่แล้ว แอนนี่จึงรู้ว่าไม่มีขุนนางคนไหนในราชอาณาจักรเหมาะจะเป็นคู่ครองของอาเรียเลย
และคำถามของแอนนี่ก็ทำเอาอาเรียนิ่วหน้า เธอวางหนังสือที่อ่านลงอย่างแรง
“แม้แต่เธอก็คิดที่จะทำให้ฉันรำคาญไปด้วยอีกคนหรือนี่”
“อะ เปล่านะคะ ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ…ดิฉันแค่คิดว่าในอาณาจักรนี้ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับเลดี้เลยสักคนน่ะค่ะ…”
แอนนี่ผงะแล้วค่อยงอตัวลงพร้อมกับหลบตาอาเรีย
แม้จะทำไปด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ก็ตาม แต่เพราะเคนปฏิเสธเหล่าคุณชายที่มียศระดับพอใช้พวกนั้นไปด้วยตัวเขาเอง จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จนถึงตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้นการที่เธอต้องสละเวลาอันมีค่าเพื่อมาพบกับคุณชายที่ไม่ได้เรื่องพวกนั้นเป็นครั้งคราว ก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย และบางทีอาจถึงขั้นที่ต้องหมั้นหมายกันไว้ก็เป็นได้
‘เห็นทีคงต้องใช้ประโยชน์จากอาซแล้วสินะ…’
เธอคิดเช่นนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ และดูเหมือนว่าข่าวลือเรื่องการหาคู่ครองจะรู้ไปถึงหูของอาซเรียบร้อยแล้ว เรนถึงได้มาที่คฤหาสน์พร้อมหอบเอาของขวัญมาเต็มอ้อมแขนทั้งๆ ที่เขาเลิกมาที่นี่ไปนานแล้ว
“ฮึ่ม…เรื่องวันก่อนต้องขอบใจมากนะ ว่าแต่ว่า…วันนี้มาด้วยเรื่องใดหรือ”
ท่านเคานต์พูดถึงเรื่องที่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ และจ้องมองเรนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ราวกับตาเหยี่ยว เพื่อดูว่าเขาสนใจในตัวอาเรียหรือไม่ แต่เรนก็รีบแก้ตัวขึ้นมาในทันทีว่าเขาเองมีผู้หญิงที่ได้สัญญาหมั้นหมายอยู่แล้ว ท่านเคานต์จึงคลายสีหน้าลงและต้อนรับเขา
“คิดจะหาคู่แต่งงานต่อไปแบบนี้จริงๆ น่ะหรือครับ”
เมื่อพ้นจากระยะสายตาของท่านเคานต์ เรนก็ถามอาเรียขึ้นมา และคำถามนั่นทำให้สิ่งที่อยู่ในแก้วน้ำชาที่อาเรียกำลังถืออยู่สั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อเห็นเธอดูอึดอัดใจ เรนก็พูดงึมงำออกมาว่าโล่งอกไปที และรีบนำจดหมายที่ซ่อนเอาไว้ส่งให้อาเรีย
“ท่านกำลังกังวลอยู่น่ะครับ”
ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าหมายถึงใคร คนที่ส่งจดหมายนี้มาคืออาซอย่างแน่นอน พอคิดว่าเขาซึ่งกำลังยุ่งจนหัวหมุน ใส่ใจกับข่าวลือถึงขั้นให้เรนนำจดหมายมาให้แบบนี้แล้ว ความรู้สึกหงุดหงิดที่อัดแน่นมาตลอดก็เหมือนจะค่อยๆ คลายลง
เมื่อเห็นว่าอาเรียมีสีหน้าที่ดูผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย เรนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นจึงกล่าวเสริมเข้าไปว่า
“อะแฮ่ม ผมไม่รู้ว่าเลดี้จะคิดอย่างไรนะครับ แต่ส่วนตัวผมแล้ว ผมคิดว่าเลดี้น่าจะเหมาะสมกับผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในราชอาณาจักรนี้นะครับ”
“ช่างป้อยอเสียเหลือเกินนะคะ ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยแท้ๆ “
อาเรียตอบออกไปพร้อมกับเหน็บแนม มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันเคนจ้องมองทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่มีใครรู้ เมื่อเขาเห็นอาเรียยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมา ก็เข้าไปหาเรื่องเรนด้วยใบหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์
“ตระกูลปิโนต์หรือครับ ไม่เคยได้ยินชื่อของตระกูลนี้มาก่อนเลยนะครับ”
“คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ ที่คุณชายจะรู้จักตระกูลทั้งหมดบนโลกใบนี้”
เรนหรี่ตาเรียวเล็กพร้อมปราดมองไปทางเคนที่เข้ามาหาเรื่องแบบเด็กๆ เนื่องจากเขาทำงานให้กับอาซมาอย่างหนักหน่วง จึงสามารถโต้ตอบเล็กๆ น้อยๆ กับเรื่องนี้ได้
“…นั่นก็เพราะมีหลายตระกูลที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักน่ะสิครับ”
“ฮาๆ นั่นก็ใช่ครับ แต่ว่านะครับ การเป็นคนเดียวที่ไม่รู้จักคนที่ได้รับความไว้วางใจและเป็นที่รู้จักของคนทั้งครอบครัวเนี่ย คงเป็นเรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียไม่ใช่น้อยเลยนะครับ ประมาณว่าคงจะรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวน่ะครับ”
กลับกลายเป็นเคนที่ถูกเรนพูดตอกหน้าเข้าให้ เขากัดฟันและพยายามควบคุมความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมา อย่างกับว่ากำลังคิดหาคำโต้กลับไป
แต่เรนบรรลุจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว และไม่มีความจำเป็นจะต้องต่อล้อต่อเถียงกับเคนอีกต่อไป เขาจึงเอ่ยลาและออกจากคฤหาสน์ไป
และก่อนที่จะโดนหางเลขไปด้วย อาเรียก็รีบขึ้นห้องตัวเองไปอย่างรวดเร็ว เคนมองตามหลังเธอด้วยสายตาดูชอบกล แม้แต่แอนนี่และเจสซี่ก็ยังรู้สึกได้ พวกเธอค้อมตัวด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
“…มิเอล”
ในขณะที่ขึ้นไปถึงชั้นสาม ก็ได้พบกับมิเอลที่แต่งกายอย่างเรียบร้อยเดินลงบันไดมา ก่อนหน้านี้อาเรียได้ยินมาว่าเธอออกมาเดินเล่นเป็นครั้งคราวได้บ้าง แต่ดูเหมือนในตอนนี้เธอจะสามารถออกไปข้างได้แล้ว
ใบหน้าที่ดูทรุดโทรมนั่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในตอนนี้หน้าตาของเธอกลับแลดูงดงามอีกครั้งเหมือนกับใบหน้าก่อนที่ ‘คดีนั้น’ จะเกิดขึ้น
แม้จะไม่ถามก็รู้ว่าเธอกำลังจะไปที่ไหน การที่เธอแต่งตัวสวยหรูขนาดนั้น เห็นทีจุดหมายปลายคงจะเป็นคฤหาสน์ของท่านดยุกไม่ผิดแน่
‘คงคิดจะไปให้ออสการ์ปลอบใจละสิท่า’
แม้อาเรียจะเรียกชื่อเธอ แต่กระนั้นมิเอลก็ไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งสิ้น
“…”
นอกจากนั้นแล้วเธอยังมองอาเรียตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็นแลดูดุดันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าของนางมารร้ายที่เกิดอารมณ์เสียและอยากจะกรีดร้องออกมาอย่างไม่ไว้หน้าใคร
“กำลังจะออกไปข้างนอกสินะ ยังไงก็อย่ากลับมาสายนักละ ช่วงนี้มีแต่เรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นนี่นา”
เรื่องน่ากลัวที่เธอเป็นคนก่อมันขึ้นมายังไงล่ะ
“…”
แม้จะไม่มีใครเห็นก็ตาม แต่อาเรียก็จงใจสวมบทบาทพี่สาวที่แสนดีออกมาโดยที่ไม่จำเป็น จากนั้นมิเอลก็พูดขึ้นมาว่า‘เพราะแก เอ็มม่าถึงได้…’ และเบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะลงไปยังชั้นล่าง
“ตายแล้ว…ทำไมเลดี้มิเอลถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ ไปกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่าคะนี่”
“ดูไม่เหมือนคนป่วย…เลยนะคะ”
แอนนี่และเจสซี่กระซิบกระซาบพร้อมกับลูบแขนตัวเองอย่างกับขนลุกต่อท่าทีของเช่นนั้นของมิเอล
นั่นมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าพอใจมากเลยไม่ใช่รึไง ถ้าเธอแสดงออกแบบนั้นต่อหน้าทุกคนก็คงจะดีไม่ใช่น้อย อาเรียยิ้มหวานและกลับไปที่ห้องของเธอ
“เลดี้คะ จดหมายนั่น…ท่านเรนเป็นคนให้เหรอคะ เหตุใดท่านเรนถึงได้แอบส่งจดหมายให้กับเลดี้กันล่ะคะ”
เมื่อกลับมาที่ห้องแอนนี่ก็เบิกตาโตและถามอาเรียออกมาอย่างตะกุกตะกักเมื่อได้เห็นอาเรียนำจดหมายออกมาอ่าน
“เขาแค่นำมันมาส่งให้เฉยๆ น่ะ”
อาเรียตอบออกมาด้วยท่าทางสบายๆ เนื่องจากไม่ได้เห็นสีหน้าที่ดูผ่อนคลายแบบนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แอนนี่ที่ปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วก็ยกมือขึ้นมาปิดปากและอุทานว่า‘อย่าบอกนะคะว่า’ ดูเหมือนแอนนี่กำลังคิดว่าหากเรนเป็นคนนำมันมาส่งให้แล้ว ก็แสดงว่าอาเรียกำลังติดต่อกับเจ้านายของเขาอยู่มิใช่หรือ
และเพราะนั่นเป็นความจริง อาเรียจึงไม่ได้พูดแก้ต่างอะไรออกไป เธอเปิดจดหมายของอาซ
“…นี่มัน”
เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในจดหมาย อาเรียก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเบิกตาโพลง
ข้างในนั้นมีแหวนวงเล็กๆ อยู่ด้วย ตัวเพชรส่องแสงแวววาวและมีตัวอักษรเล็กๆ ที่เธอไม่รู้ความหมายถูกสลักเอาไว้ แม้จะเป็นแหวนที่ไม่ได้หรูหรามากมาย แต่กลับดูประณีตสวยงาม
อาเรียค่อยๆ สวมมันอย่างเบามือและอ่านเนื้อความในจดหมาย เขาเขียนพรรณนายาวเหยียด และพร่ำเพรื่อต่างจากปกติ จนเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขาลังเลและอ้อมค้อมไม่ยอมพูดสิ่งที่อยากพูดออกมา
ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังอ่านจดหมายต่อไปอย่างช้าๆ โดยไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว และข้อความสุดท้ายซึ่งเขียนด้วยลายมือที่ดูหนักแน่นนั้นก็ทำให้อาเรียตกใจจนหยุดหายใจและทำอะไรไม่ได้นอกจากกะพริบตาปริบๆ
[ผมหวังว่าเลดี้จะยังไม่ลืมผม เพียงเพราะผมยุ่งนะครับ]
เขียนจดหมายเสียอ้อมค้อมมากมาย แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับฉันจริงๆ คือคำคำนี้สินะ
ให้ตายสิ
คำอ้อนวอนที่เหมือนกับเด็ก ทำเอาอาเรียหน้าร้อนผ่าว แม้จะอยากเขียนจดหมายตอบกลับไป แต่เพราะเรนกลับไปเสียแล้ว เธอจึงได้แต่อ่านจดหมายนั้นซ้ำๆ แล้วเก็บเอาไว้ในลิ้นชักเป็นอย่างดี
หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวลือว่าองค์รัชทายาทได้หันหลังให้กับฝ่ายขุนนางเรียบร้อยแล้ว และยังลือกันอีกว่าเขาประณามการทุจริตที่ฝังรากลึกอยู่ในฝ่ายขุนนาง และประกาศว่าจะกำจัดบุคคลเหล่านี้ให้สิ้นซาก
และเพราะเหตุนี้จึงมีขุนนางที่เริ่มระวังตัวกันโดยใช่เหตุเพิ่มมากขึ้น และท่านเคานต์ซึ่งไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่เพราะเป็นบุคคลสำคัญของฝ่ายขุนนาง เขาจึงระมัดระวังตัว เอาแต่ขลุกอยู่ในบ้าน และลืมเรื่องหาคู่ให้อาเรียไปโดยปริยาย
ช่างเป็นจังหวะที่วิเศษอะไรเช่นนี้ ราวกับว่ามันช่วยปัดเป่าความกังวลของอาเรียให้หายออกไป และเพราะเช่นนั้นจึงทำให้เธอปล่อยวางความกังวลอันใหญ่หลวงลงได้
“การทำตามท่านไอซิส ดูจะเป็นผลดีกว่านะคะ ท่านบอกว่ามีแผนการอื่นเตรียมไว้อยู่ค่ะ”
มิเอลพูดกับท่านเคานต์ ไม่รู้ว่าเธอเริ่มหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มแวะเวียนไปที่คฤหาสน์ท่านดยุกอยู่บ่อยๆ
หลังจากที่เธอไม่ได้ร่วมทานอาหารเย็นด้วยกันมานาน ดวงตาที่ดูสงบลงกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้คาดเดาได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอ
“ไม่รู้สิ พ่อตอบรับคำข้อเสนอเรื่องก่อตั้งกลุ่มขุนนางกลุ่มใหม่ที่มีแต่คนสุจริตไปเรียบร้อยแล้ว”
แต่ทว่าท่าทางของท่านเคานต์ที่ตอบกลับมาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ ไม่ใช่เขาแค่คนเดียวแต่ขุนนางส่วนใหญ่ที่ไม่ได้กระทำการทุจริตต่างก็คิดเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้โดยใช่เหตุ ทั้งที่ตัวอย่างของคนที่ต้องพบเจอกับความพินาศมีให้เห็นอยู่มากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นว่าที่ดัชเชสไอซิสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเสมือนเครื่องมือที่ใช้ในการบีบบังคับเจ้าชายมาตลอดนั้น ในตอนนี้เธอไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นการโดดออกจากเรือที่กำลังจะอับปาง จึงตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด และท่านดยุกเองก็เลิกคิดที่จะใช้เธอเป็นเครื่องมืออีกต่อไป ฝ่ายขุนนางจึงแยกตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว
“…ท่านพ่อ! “
และนั่นก็ทำให้มิเอลขึ้นเสียงใส่ท่านเคานต์อย่างไม่สมกับเป็นเธอเสียเลย
แต่ท่านเคานต์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเขาเพียงแค่จิบไวน์เท่านั้น เพื่อให้ตนเองยังคงอำนาจได้อีกต่อไป แม้แต่มิตรสหายที่เพิ่งพูดคุยกันเมื่อวานก็สามารถตัดทิ้งได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าขุนนาง ท่านเคานต์ทานอาหารต่อไปโดยไม่พูดอะไร
“มิเอล ท่านพ่อก็กำลังลำบากใจอยู่นี่นา”
อาเรียพูดออกมาแทนเคาน์ติส ราวกับว่ากำลังปลอบเด็ก จากนั้นมิเอลก็เขม้นมองอาเรียออกไปตรงๆ และพูดแย้งออกไป
“พี่ไม่รู้อะไรก็พูดได้สิคะ”
ท่านเคานต์และเคาน์ติสเบิกตากว้างตกใจกับท่าทางของมิเอลที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน และจ้องมองไปที่เธอ นั่นเป็นคำตอบที่อาเรียเฝ้าคอยและคาดหวังจะได้เห็น
ก่อนหน้านี้ไม่นานนักอาเรียได้มีโอกาสสบตากับมิเอลอยู่บ้างเป็นบางครั้ง และทุกครั้งมิเอลก็จะทำตัวไม่เป็นมิตรคอยพองขนและพ่นพิษแบบนั้นเสมอ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจได้แล้วว่าถึงจะแสร้งทำตัวดีสักเท่าไรก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา และถึงแม้เธอจะทำตัวให้ดูแหลมคมราวกับมีดแบบนั้น ก็ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
อาเรียฝืนยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“อะ…นั่นสินะ พี่คงเผลอทำอะไรเกินหน้าเกินตาไปแล้วสิ พี่แค่อยากจะบอกว่าเชื่อฟังคำของท่านพ่อจะดีกว่า อย่างไรเสียท่านก็หวังให้ตระกูลมีแต่ความสงบสุขนี่นา”
“…มิเอล พ่อว่าเราควรเลิกคุยเรื่องนี้อย่างที่อาเรียบอกจะดีกว่านะ”
หาได้ยากที่ท่านเคานต์จะพูดเข้าข้างอาเรีย ภาพที่มิเอลทำตัวหงุดหงิด ส่วนอาเรียก็ขอโทษออกมาเพราะคิดถึงความรู้สึกของมิเอลนั้น ราวกับว่าทั้งสองคนเกิดสลับตัวกันอย่างไรอย่างนั้น
ข้ารับใช้ที่ยืนรอให้การรับใช้อยู่นั้นก็รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเธอสังเกตได้ว่ามิเอลดูแปลกไปหลังจากคดีของเอ็มม่าจบลงและเริ่มซุบซิบนินทากันถึงเรื่องนี้
“มิเอล พี่เองก็คิดว่าท่านพ่อได้เลือกวิธีที่ฉลาดที่สุดแล้ว”
เคนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็เลือกที่จะไม่เข้าข้างมิเอลเช่นกัน
สุดท้ายมิเอลที่ถูกทิ้งให้อ้างว้างโดดเดี่ยว ก็ออกจากห้องอาหารไปโดยที่อาหารในจานยังเหลือมากกว่าครึ่ง
ทันทีที่ฟ้าสางในวันรุ่งขึ้น มิเอลที่เอาแต่ร้องไห้ขังตัวเองอยู่ในห้องก็รีบมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ท่านดยุก ท่านไอซิสที่รู้ว่าสภาพร่างกายของมิเอลยังไม่สู้ดีนัก ได้สั่งให้ออสการ์คอยเอาอกเอาใจเธอ
“ไม่เกินไปหรือคะ…ทำไมถึงทำแบบนั้นได้ลงคอ ทั้งๆ ที่ดิฉันเองก็ได้รับแหวนมาจากคุณออสการ์แล้วแท้ๆ…”
สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดก็คืออนาคตของออสการ์
ถ้าหากว่าตระกูลโรสเซนต์ของท่านเคานต์เป็นตระกูลเล็กๆ แล้วละก็ ไม่มีทางที่จะยกเลิกการหมั้นหมายลงอย่างแน่นอน แม้ว่าท่านไอซิสจะหมดประโยชน์และท่านดยุกจะถูกเจ้าชายโจมตีก็ตาม แต่เพราะมีตระกูลที่มั่งคั่งอยู่มากมาย จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ท่านเคานต์จะต้องเอาตระกูลของตนเองไปสังเวยให้กับตระกูลที่จะพังพินาศลง
ออสการ์พูดปลอบใจมิเอลที่ร้องไห้น้ำตาไหลอีกครั้ง
“อย่าได้กังวลไปเลยครับ เราอาจจะเปลี่ยนข้อสรุปได้ภายในไม่ช้านี้ก็ได้ครับ”
“หมายถึงเรื่องที่ท่านไอซิสกำลังเตรียมการอยู่ใช่ไหมคะ”
เมื่อได้ยินคำปลอบจากเขา มิเอลก็กะพริบตาและถามออกไป จากนั้นออสการ์ก็พยักหน้าตอบรับ
“ครับ อีกไม่นานเราก็จะได้ยินข่าวดีกันแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น หากลองโน้มน้าวท่านเคานต์ดูอีกทีก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรครับ และเราก็จะสามารถรวบรวมฝ่ายขุนนางที่แยกตัวออกไปได้อีกครั้งครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นมิเอลก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วยความโล่งใจ เธอเช็ดขอบตาอันงดงามของตนก่อนจะปรับสีหน้าขึ้นมาใหม่
“…ขออภัยจริงๆ ค่ะ ช่วงนี้มีแต่เรื่องที่ไม่ดีถาโถมเข้ามา ดิฉันเลยอ่อนไหวง่ายไปหน่อย”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรื่องไม่ดี’ เข้า ก็ทำให้สีหน้าของออสการ์หมองลงอย่างแปลกๆ เหมือนกับว่าเขานึกถึงเรื่องของอาเรียที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมา และความจริงที่ว่าพี่สาวของเขาเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย
และแน่นอนว่าหญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าก็เช่นกัน
“คงจะกังวลน่าดูนะครับ ดื่มชาอุ่นๆ แล้วทำใจให้สบายดีกว่านะ”
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา เพราะทำตามคำสั่งของพี่สาวมาโดยตลอด เขาจึงไม่มีทางเลือกอะไรเป็นพิเศษ ด้วยเพราะขาดประสบการณ์และเส้นสาย
เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเอาอกเอาใจเธออย่างเงียบๆ แบบนี้ และรอคอยจังหวะที่จะได้เอาคืนขึ้นมา
เขาที่ตำหนิตัวเองว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องถึงขนาดที่รู้สึกอับอายกับการได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งดยุก ได้สั่งให้สาวใช้ที่ยืนรออยู่นำน้ำชาแก้วใหม่มาเปลี่ยนให้มิเอล
“ขอบคุณจริงๆ นะคะคุณออสการ์”
ความอ่อนโยนนั้นทำเอามิเอลหน้าแดงขึ้นมาก่อนจะพยักหน้า ยิ่งวันเวลาผ่านไปเขาก็ใจดีกับเธอมาก และนั่นทำให้เธอรู้สึกมีความสุขอีกครั้งและก้าวผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียเอ็มม่ามาได้
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ทำไปเพราะชอบเธอก็ตาม แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ขอเพียงแค่มีเขาอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่หวังอะไรอีกต่อไปแล้ว
…………………………………….