อาซกำลังรออาเรียอยู่ในที่ที่ไม่ไกลนัก
เท้าของอาเรียที่ก้าวไปยังสถานที่นั้นดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ หากว่าเขามาหาเธอด้วยความเป็นห่วงก็คงจะดี…แต่ถ้าหากมันไม่ใช่แบบนั้นขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร
ราวกับว่าเขารู้บริเวณในศาลเป็นอย่างดี โชคดีที่ไม่มีผู้ใดพบเธอเข้าระหว่างที่เดินมายังสถานที่นัดพบที่เขาบอกไว้
และในตอนที่ใกล้จะถึงที่หมายนั่นเอง ก็มีใครบางคนเรียกชื่ออาเรียขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิด
“อาเรีย! “
“…ท่านพี่เคน”
ด้วยความตกใจ อาเรียหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ
อะไรกัน นี่เขาทิ้งน้องสาวผู้น่าสงสารของตัวเองไว้แล้วตามฉันมาถึงที่นี่เลยเหรอ หลังจากที่เคนหันไปมองรอบตัวรอบหนึ่ง เขาก็พูดออกมาราวกับจะบอกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“พี่ว่าที่นี่มันไม่ใช่ทางออกไปข้างนอกนะ”
“เอ่อ…”
เพราะฉันเดินมาในที่ที่คนทั่วไปไม่มากัน สุดท้ายเคนที่ตามมาถึงได้คิดว่ามันแปลกเลยพูดออกมาสินะ ทั้งที่คิดว่าแอบปลีกตัวออกมาโดยที่ไม่มีใครรู้แล้วแท้ๆ ทำไมเรนถึงไม่ขวางเคนเอาไว้กันนะ
อาเรียโยนความผิดให้เรนที่ทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่องทันที
“มิเอลล่ะคะ มิเอลเป็นอะไรไหมคะ น้องดูเหมือนจะหายใจไม่ค่อยออกเลย…”
เคนขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าอาเรียกำลังหมายความว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะไปดูแลน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง และดูเหมือนจะคิดได้ว่าตัวเองทิ้งน้องสาวแท้ๆ ที่กำลังป่วยแล้วแอบตามอาเรียมา
เขาพูดตะกุกตะกักต่างจากปกติ และร่ายคำแก้ตัวออกมายาวเหยียด
“คือ พี่เห็นว่าไปโรงพยาบาลแล้ว คงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเท่าไรน่ะ อีกอย่างเดิมทีก็เป็นเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คงเป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างกะทันหันน่ะ ถึงอย่างนั้นก็มีท่านพ่อตามไปด้วยอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่เป็นอะไรหรอก”
เขาบอกออกมาแบบนั้น ซึ่งนั่นก็ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างให้เขาตามอาเรียออกมาได้อยู่ดี
เพราะไม่ว่าใครจะอยู่ข้างมิเอลในตอนนี้ก็ตาม ความจริงก็คือเขาเลือกที่ไล่ตามน้องสาวต่างสายเลือดซึ่งแอบหลบออกมาโดยไม่ให้ใครเห็น มากกว่าน้องสาวแท้ๆ ที่กำลังป่วย
“ถ้าไม่ใช่โรคประจำตัวแล้ว ยิ่งไม่น่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมหรือคะ ถึงกับหายใจไม่ค่อยออกแบบนั้น บางทีอาจจะร้ายแรงมากก็ได้ค่ะ ท่านพี่ควรจะไปอยู่ข้างๆ คอยดูแลมิเอลนะคะ”
หลังจากที่เธอบอกกับเขาว่าเรื่องที่จะต้องทำในวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว และเขาควรจะรีบไปดูแลน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองได้แล้ว เคนก็ไม่สามารถตอบอะไรกลับมาได้ เขาเอาแต่ทอดสายตามองไปที่พื้นอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยเพราะรู้ว่าอาเรียหมายถึงอะไรอยู่
แต่เคนก็ยังพูดต่อไปอีกว่า
“ที่น้องพูดมามันก็ใช่…แต่ถึงบอกให้พี่ไปยังไงก็ไม่ทำให้หายป่วยได้หรอก พี่คิดว่าเรากลับไปพร้อมกันดีกว่า ใครจะรู้หากเกิดอันตรายขึ้นกับอาเรียพี่จะได้เตรียมรับมือได้ยังไงล่ะ”
อาซจะต้องรอฉันอยู่แน่ๆ หลังจากนั้นเคนก็เอาแต่พูดพร่ำไร้สาระอยู่นาน และซักไซ้ว่าเธอกำลังจะไปที่ไหนให้จงได้
เพราะไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ว่า ‘จะแอบไปพบมกุฎราชกุมาร’ ได้ อาเรียจึงไม่ยอมตอบคำถาม เอาแต่อ้างถึงมิเอล และดูเหมือนเขาจะสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้ไม่ยอมลดละความตั้งใจที่จะให้อาเรียกลับไปพร้อมกัน
เวลายืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ และในขณะที่กังวลว่าอาซอาจะรอไม่ไหวจนกลับไปแล้วนั้น เคนก็เห็นอะไรบางอย่างข้างหลังอาเรีย สีหน้าของเขาดูเคร่งตึงขึ้นมา
‘อย่าบอกนะว่า…’
ในจังหวะที่อาเรียตั้งใจจะหันไปมองข้างหลังเพื่อดูว่าข้อสันนิษฐานที่แวบเข้ามาในหัวเป็นจริงหรือไม่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงอาซเรียกชื่อเธอก่อนที่เธอจะได้ทันทำอะไรเสียอีก
“เลดี้อาเรีย”
น้ำเสียงที่เขาใช้เรียกชื่อเธอฟังดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับตอนที่เธอได้พบเขาเป็นครั้งแรกในร้านสารพัดสิ่ง และนั่นทำให้ร่างกายของเธอเกร็งไปชั่วขณะ
“…ใครน่ะ”
เคนแสดงความเป็นปฏิปักษ์ออกมาอย่างรุนแรงและมีท่าทีระแวดระวัง เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ไม่รู้จักปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน อาเรียงุนงงจนไม่สามารถเก็บอาการไว้ได้ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน
“แล้วคุณล่ะเป็นใคร”
น้ำเสียงของอาซที่ถามกลับมาฟังดูดุดันเป็นอย่างมาก แม้ว่านั่นจะเป็นคำถามที่เคนถามอาเรีย แต่เพราะเธอลำบากใจจนตอบไม่ได้ อาซจึงถามกลับไปแทน
“แต่ฉันเป็นคนถามก่อน”
เคนปราดตามองอาซตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดออกมา
เป็นเพราะอาซแต่งตัวเรียบง่ายจนดูไม่เหมือนเจ้าชายอย่างนั้นหรือ เคนถึงได้พูดจาไม่สุภาพและยังแสดงท่าทีอารมณ์เสียออกมาอย่างชัดเจนอีกด้วย และนั่นก็ทำให้อาเรียตกใจจนหน้าซีด
“คงจะไม่รู้สิท่าว่าก่อนที่จะถามคนอื่นก็ต้องหัดแนะนำตัวเองก่อน เขาเรียกกันว่ามารยาทน่ะ”
“ฉันรู้แต่ว่าไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับคนอื่นน่ะ”
เพราะทั้งสองคนก่อสงครามประสาทขึ้นมาอย่างกะทันหัน อาเรียจึงรีบเข้าไปแทรกระหว่างทั้งคู่ นี่มันเป็นสถานการณ์ที่แย่เอามากๆ
“ท่านพี่คะ น้องมีนัดกับท่านผู้นี้น่ะค่ะ เพราะอย่างนั้นแล้วท่านพี่กลับไปหามิเอลเถอะค่ะ”
“…เธอบอกว่ามีนัดกับคนคนนี้งั้นเหรอ”
เมื่อได้ยินอาเรียบอกว่าเธอมีนัดกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เคนก็ถามกลับไปด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
สีหน้าแข็งกร้าวของอาซคลายลงเมื่อได้เห็นท่าทีนั้นของเคน เขาก้าวเข้าไปใกล้อาเรียอีกหนึ่งก้าวและยืนชิดอยู่ข้างกายเธอก่อนจะพูดว่า
“งั้นตอนนี้คงรู้แล้วสินะว่าใครเป็นฝ่ายเข้ามายุ่มย่าม”
อาซพูดออกมาพร้อมทำหน้าราวกับเป็นผู้ชนะ
นี่มันไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรเลย…
อาเรียมองพวกเขาพลางคิดว่าทั้งคู่ทะเลาะกันไม่ต่างจากเด็กๆ เลย และในขณะที่เธอกำลังจะบอกว่าให้ออกไปจากที่นี่ดีกว่านั้น จู่ๆ เคนก็กระชากข้อมือของอาเรียเข้ามาทางเขา
“ไม่ ฉันคงปล่อยให้อาเรียอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามสองต่อสอง ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยบรรลุนิติภาวะไม่ได้หรอก”
“…! “
และเพราะเหตุนี้อาเรียจึงถูกดึงให้ไปอยู่ข้างๆ เคนภายในชั่วพริบตา
เคนซ่อนอาเรียเอาไว้ข้างหลังอย่างกับว่าเธอเป็นของส่วนตัวของเขา แรงกระชากที่รุนแรงและบังคับเธออย่างไม่เต็มใจนั้น ทำให้เธอรู้สึกเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา
เพราะเหตุนั้นเธอจึงรู้สึกโมโหต่อการกระทำที่ดูไร้มารยาทนี้ แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไร อาซก็คว้าแขนของเคนข้างที่จับข้อมืออาเรียเอาไว้ พร้อมกับขู่ขึ้นมา
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหาที่คุณต้องมาตัดสินใจแทนเสียหน่อย อีกอย่างคงไม่รู้ตัวเลยสินะ ว่าที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันเป็นการข่มขู่เธออยู่”
ตอนนั้นเองเคนก็ก้มลงไปดูข้อมือของอาเรียที่ตนจับอยู่ เมื่อเห็นว่ามือของเธอซีดจางไม่มีสีเลือด เขาก็กัดริมฝีปากตัวเองด้วยความไม่พอใจและคลายแรงในมือลง
จากนั้นอาเรียก็ชักมือออกมาราวกับว่ากำลังรอให้เขาปล่อยมือเธออยู่ และก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อย เธอพูดกับเคนด้วยสายตาที่ส่อให้เห็นถึงความระแวดระวัง
“น้องคิดว่าท่านพี่กลับไปตอนนี้ดีกว่าค่ะ น้อง…จะไปส่งคุณชายปิโนต์นัวร์ หวังว่าท่านพี่จะไปอยู่ข้างๆ มิเอลที่น่าสงสารและคอยดูแลเธอนะคะ”
อาเรียพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาและหันหลังกลับไป
อาเรียข้องแขนของอาซซึ่งออกจะงุนงงนิดหน่อยเมื่อได้ยินเธอเรียกเขาว่าคุณชาย ‘ปิโนต์นัวร์’ และเดินออกมาจากที่ตรงนั้น เมื่อเห็นดังนั้นเคนก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขาได้แต่มองตามหลังอาเรียและอาซที่ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา
เมื่อเดินผ่านสถานที่นัดพบมานานพอควรแล้วอาเรียก็ยังไม่หยุดเดิน เธอเอาแต่เงียบตลอดเวลาที่เดินผ่านทางเดินไร้ซึ่งผู้คน อาซสังเกตท่าทีของเธอและพูดขึ้นมา
“คุณชายปิโนต์นัวร์งั้นหรือ…หมายถึงผมหรือครับ”
อาเรียหยุดเดินและเงยหน้ามองอาซพร้อมกับตอบออกไป
“ค่ะ คุณไม่ใช่ปิโนต์นัวร์ หลุยส์หรอกหรือคะ”
“ยังจำชื่อนั้นได้อีกหรือครับนี่…”
อาซยิ้มเล็กน้อย
ดูเหมือนอาซจะคิดว่าเขาได้พบกับอาเรียในชื่อนั้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วเนื่องจากเธอคือนักลงทุน A ซึ่งที่ผ่านมาเธอได้เขียนจดหมายพูดคุยกับอาซที่ใช้นามแฝงว่า‘ปิโนต์นัวร์ หลุยส์’อยู่หลายครั้งหลายหนด้วยกัน
แต่เพราะรู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมด เขาจึงไม่ได้คิดที่จะจับผิดอะไร เพราะนั่นเป็นเพียงแผนการที่ใช้เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้าเท่านั้น และคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยว่าอาซคือมกุฎราชกุมารต่อหน้าเคน
นอกจากนั้นในครั้งนี้ก็เป็นอาเรียเองที่กำลังปกปิดตัวตนอยู่
อาเรียรู้สึกแทงใจดำขึ้นมาแล้วเธอก็เปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่ว่า มาถึงที่นี่ด้วยเหตุผลอันใดหรือคะ”
“ผมเป็นห่วงเลดี้ก็เลยมาน่ะครับ”
หน้าตาของอาซตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา มีความห่วงใยแฝงอยู่จริงๆ
“แต่เพราะผมได้เจอกับผู้พิพากษาเมื่อวันก่อน ท่านเลยรู้ว่าผมเป็นใคร นั่นเลยทำให้ผมไม่สามารถเข้าไปในศาลได้ จึงได้แต่รออยู่ข้างนอกน่ะครับ เพราะหากว่าเลดี้มาที่ศาลก็จะต้องเผชิญหน้ากับคนร้ายตัวจริงยังไงล่ะครับ”
คนร้ายตัวจริง
ทั้งๆ ที่เขารู้ความจริงเรื่องที่เบอร์รี่ที่เขาเป็นคนตามจับด้วยตนเองถูกปล่อยตัวไป และมีคนอื่นถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายตัวจริง แต่กระนั้นเขาก็ไม่แม้แต่จะถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่กลับเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ
และเพราะเช่นนั้น ความสงสัยที่วนเวียนอยู่ในหัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นความกังวลใจขึ้นมา
หากว่าอาซได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาจะยังปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้อีกไหม สุดท้ายแล้วเธอจะสามารถซ่อนตัวตนอันดำมืดเอาไว้และพบกับเขาได้จนถึงเมื่อไหร่กัน
“แม้คุณอาซ…จะยังไม่รู้จักดิฉันเท่าไร แต่ดูเหมือนคุณจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวดิฉันเลยนะคะ”
แม้จะเป็นคำตอบที่มีความหมายลึกซึ้ง แต่อาซก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและตอบออกมาว่า
“ถ้าอย่างนั้น ต่อจากนี้ไปเลดี้ค่อยๆ บอกให้ผมรู้ก็ได้นี่ครับ”
สายตาและคำตอบที่ตรงไปตรงมาของเขา แฝงความหมายว่าไม่ว่าเธอจะซ่อนตัวตนแบบไหนเอาไว้ก็ตาม เขาจะยอมรับเธอเอง
“…แม้ว่าดิฉันจะเป็นนางมารร้ายที่น่ารังเกียจแบบที่คนเขาลือกันก็ตามหรือคะ”
“แม้แต่ตัวผมเองจิตใจข้างในกับสิ่งที่แสดงออกมายังต่างกันเลยครับ ไม่สิ ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าบนโลกนี้มีใครที่เหมือนกันทั้งภายในและภายนอกอยู่ด้วยหรือ”
เขาพูดอีกว่าตอนที่ได้พบกับอาเรียเป็นครั้งแรกที่ร้านสารพัดสิ่ง นั่นคือนิสัยแต่เดิมของเขา ดวงตาของอาเรียสั่นไหวเมื่อนึกถึงท่าทางที่ดูหยาบคาย เย็นชาและไม่มีความอ่อนโยนของเขาในตอนนั้นขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังนึกถึงใครหลายๆ คนที่นิสัยข้างในแตกต่างไปจากภายนอกที่ได้เห็น อย่างเอ็มม่าที่จะต้องขึ้นไปอยู่บนตะแลงแกงก็เป็นคนเช่นนั้น
การตระหนักรู้โดยไม่ทันได้คาดคิดนั้น ทำเอาอาเรียจมอยู่กับความคิดตัวเองและไม่พูดอะไรออกมา อาซจึงกังวลขึ้นมา เขาคิดว่าเธอคงจะไม่ได้รู้สึกกลัวเมื่อนึกถึงตอนที่ได้เจอกับเขาในร้านสารพัดสิ่งอยู่หรอกใช่ไหม และเพราะอย่างนั้นอาซจึงรีบพูดแก้ตัวขึ้น
“แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของผมที่เลดี้เห็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นตัวตนของผมนะครับ สำหรับผมแล้ว…ไม่ว่าผมจะแสดงภาพลักษณ์แบบไหนออกมา มันก็คือตัวตนของผมเองทั้งนั้นครับ ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์แบบไหน ตัวตนของเราที่แสดงออกมาก็จะแตกต่างกันไปตามนั้นครับ”
อาเรียจ้องมองอาซที่ยังพูดต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
จากนั้นความสงสัยและความกังวลที่เคยมีอยู่ในแววตานั้นก็ได้หายไปโดยที่เธอไม่ทันรู้สึกตัว แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริงหรือไม่ แต่ว่านั่นก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยปลอบโยนจิตใจของเธอ
และยังเป็นคำตอบที่เธอปรารถนาจะได้ยินมากที่สุด
หลังจากที่แก้ตัวจบ อาซก็จ้องตาของอาเรียที่ไร้ซึ่งความสงสัยและความกังวลอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะลูบผมของเธอและกล่าวว่า
“ส่วนหนึ่งผมก็คิดว่าหากเลดี้เป็นแบบที่เขาลือกันก็คงจะดีนะครับ…เพราะดูเหมือนว่ารอบกายของเลดี้จะมีแต่แมลงไร้ประโยชน์มาเกาะแกะน่ะครับ”
อาเรียหน้าแดงขึ้นมาเมื่อได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหนักแน่นของเขา ในขณะเดียวกันเธอก็เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไรอยู่ อาเรียจึงแก้ต่างว่าเขากำลังเข้าใจผิด
“คุณอาซอาจจะได้ยินอะไรมา แต่เขาก็เป็นแค่พี่ชายเท่านั้น เป็นคนในครอบครัวค่ะ”
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเรื่องเดียวครับ”
ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบใจที่อาเรียมักจะดึงดูดสายตาของผู้ชายหลายๆ คนเวลาที่เธอไปปรากฏตัวในที่ที่มีผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่
เพราะเขาพูดออกมาอย่างคลุมเครือ ทำให้อาเรียไม่สามารถเดาได้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจึงเอาแต่คิดตีความถึงสิ่งที่เขาพูด และอาซที่เฝ้ามองท่าทีของเธอด้วยสายตาอันอ่อนโยนก็บอกกับเธอว่าเขาคงจะต้องขอตัวกลับไปก่อน
“ที่จริงแล้วผมอยากพูดคุยกับเลดี้หลายๆ เรื่องเลยนะครับแต่ว่า…”
อาซหยุดพูดประโยคสุดท้ายเอาไว้
ถึงกระนั้นแม้เขาจะไม่พูดมันออกมาทั้งหมด แต่อาเรียก็รู้ได้จากจดหมายที่ได้คุยกัน ว่าเขายุ่งอยู่กับเรื่องก่อตั้งโรงเรียนแห่งใหม่มากแค่ไหน เธอพยักหน้านิ่งๆ
“ถ้าอย่างนั้น ผมหวังว่าเราจะได้พบกันอีกในไม่ช้านะครับ”
ทุกครั้งที่ต้องจากกัน อาซจะมอบจูบลาให้เธอเสมอ
อาเรียหันหลังจากไปด้วยความรู้สึกเสียดายที่ได้พบกันเพียงเวลาสั้นๆ ซึ่งจบลงด้วยจุมพิตหลังฝ่ามือ เธอขึ้นรถม้าที่อาซเตรียมไว้ให้และกลับคฤหาสน์ไป
***
หลังจากเป็นลมหมดสติไป มิเอลก็ตกอยู่ในสภาพเจียนตายแบบนั้นอยู่หลายวันหลายคืน เธอได้สติระหว่างทางไปโรงพยาบาล และกลับมาพักที่คฤหาสน์
หมอตรวจดูอาการของมิเอลและบอกว่าเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจึงส่งผลให้มีอาการหายใจติดขัดไปชั่วขณะและแนะนำให้เธอพักผ่อนไปสักระยะหนึ่ง
แต่ดูเหมือนเธอยังคิดที่จะใช้เวลาอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ ช่วยเอ็มม่าให้รอดจากโทษประหารก่อนที่คำตัดสินจะถูกดำเนินการ มิเอลจึงฝืนกำลังพาร่างกายอันอ่อนแรงของตนไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง
ไม่รู้เลยด้วยว่าซ้ำคนอื่นเขาจะคิดอย่างไรกับการกระทำที่มากเกินพอดีของหล่อน
‘มันสายไปแล้วละ’
ท้ายที่สุดเธอก็ได้แต่มองจุดจบในบั้นปลายชีวิตของเอ็มม่าด้วยดวงตาสีมรกตแสนสวยนั่น โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย หลังจากนั้นมิเอลก็เอาแต่เหม่อลอยราวกับคนไร้สติไปวันๆ
ไม่มีอีกแล้วมิเอลคนที่เคยได้รับความเคารพและเป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่าสาวรับใช้ด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายและอิริยาบถที่สง่างามของเธอ การขาดหายไปของเอ็มม่าผู้เปรียบเสมือนแม่ที่คอยปกป้องมิเอลตั้งแต่ตอนที่เธอเกิดมา มากพอที่จะทำให้มิเอลเหลือเพียงเปลือกนอกเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ
และพฤติกรรมเช่นนั้นของมิเอลก็มากพอที่จะทำให้เหล่าสาวใช้ของเธอเกิดความวุ่นวายใจ
“โธ่ นี่พวกเธอยืนกันอยู่ตรงนั้นมากี่ชั่วโมงแล้ว”
บรรดาสาวใช้ที่ยืนคอยอยู่หน้าห้องมิเอลสะดุ้งตกใจเมื่อถูกอาเรียถาม พวกเธอค้อมศีรษะเคารพอาเรีย เมื่อเห็นอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ถืออยู่ในมือนั่นแล้ว มิเอลคงจะล็อกประตูไม่ยอมแม้แต่จะให้พวกเธอเข้าไปทำความสะอาดสินะ
และสายตาก็พลันเห็นสาวใช้ที่ถืออาหารเบาอยู่ข้างๆ เข้าพอดี เธอถือว่าเป็นสาวใช้คนสนิทคนหนึ่งของมิเอล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถเข้าไปในห้องได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ได้แต่ยืนขอบตาแดงก่ำอยู่ข้างนอก
‘จะมีโอกาสไหนดีไปกว่าตอนนี้อีกล่ะ’
อาเรียชวนสาวใช้ที่กำลังเหนื่อยล้าและหมดกำลังใจดื่มชาอุ่นๆ
“…น้ำชาหรือคะ”
“ฉันเห็นพวกเธอดูเหนื่อยๆ เลยคิดว่าพักสักหน่อยจะดีกว่าไหมน่ะ”
“เอ่อ…”
เพราะยังมีงานให้ต้องทำพวกเธอจึงมีสีหน้าลำบากใจ และมิเอลไม่ได้อนุญาตหรือปฏิเสธอะไร พวกเธอจึงต้องยืนรอคำตอบอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งไปกว่านั้นจะให้ดื่มน้ำชากับเจ้านายอีกด้วย
แม้จะได้ยินข่าวลือว่าแอนนี่และเจสซี่ทำแบบนั้นได้ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดูห่างไกลจากพวกเธอซึ่งทำงานรับใช้มิเอลมาโดยตลอด
ในขณะที่พวกเธอลังเล อาเรียก็ยื่นมือออกมาเพื่อหลอกล่ออีกครั้ง
“ถ้าเกิดว่ามีใครถาม ก็แค่กุเรื่องว่าถูกเรียกให้ไปทำตามคำสั่งก็ได้นี่นา อย่างน้อยพวกเธอก็น่าจะได้พักสักหน่อยนะ”
และเมื่ออาเรียพูดออกไปเช่นนั้น เหล่าสาวใช้ก็ค่อยๆ แก้มแดงขึ้นมาทั้งสองข้าง และขอบตาก็แดงขึ้นมาราวกับประทับใจในสิ่งที่อาเรียพูด
หลังจากนั้น เรื่องราวของคนที่ได้รับความเมตตาจากอาเรียก็ถูกเล่าต่อๆ กันไปทีละคน และชื่อเสียงของอาเรียก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป สิ่งสำคัญที่ทำให้เป็นแบบนั้นได้ ก็คือการที่เอ็มม่าผู้ที่คอยบังคับและชักจูงพวกเธอมาตลอดไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้อีกแล้วนั่นเอง
และเพราะเหตุนั้นเหล่าคนใกล้ชิดของมิเอลก็พากันตกหลุมพรางอันหอมหวาน และค่อยๆ เปลี่ยนใจทีละนิด
เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ แทรกซึมทีละนิดอย่างไรเล่า
ภายในคฤหาสน์กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
……………………………………………..