อาเรียกลับไปห้องของเธอพลางคิดว่าคงจะดีหากได้ดื่มชาสักถ้วยและเข้านอนเพื่อพักสมอง ทันใดนั้นกลับเจอคนแปลกหน้าในห้องตัวที่ไม่ควรจะมีใครอยู่จึงตะโกนออกมาเสียงดัง
“ใคร…!”
“ชู่ว”
อาเรียที่ตกใจจนตะโกนออกมาจากนั้นแขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาใกล้พลางจับเอวของเธออย่างนุ่มนวล มืออีกข้างเกรงว่าเธอจะอึดอัดจนเกินไปจึงใช้ปิดปากเธอเบาๆ
“เลดี้ ผมเอง”
เสียงที่พูดออกมาดูเร่งรีบ แต่ก็เป็นเสียงที่คุ้นเคย เพราะอย่างนั้นอาเรียที่หลับตาอยู่จึงลืมตาขึ้นหันมามองว่าใครที่เข้ามาในห้องของเธอ
ทันใดนั้นก็เห็นใบหน้าที่เปล่งประกายนุ่มนวลของอาซ เพิ่งทานอาหารเสร็จมาเมื่อกี้ ใครจะเชื่อว่าอาซที่คนในตระกูลโรสเซนต์พูดถึงจะมาอยู่ในห้องเธอแบบนี้
อาเรียแสดงท่าทางกระวนกระวายพลางมองเขา
“จำได้ไหมครับ”
อาเรียรีบกะพริบตาอย่างเร็วพลางแสดงท่าทางตอบคำถามอาซ เพราะเธอยังอยู่ในสภาพที่ถูกปิดปากอยู่
อาซที่อ่านสีหน้าอาเรียได้ว่าจำเขาได้แล้ว จึงเอามือที่ปิดปากเธออยู่ออกพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“…มาได้อย่างไรคะ…”
เขามาหาทำไมกันนะ อาซแสดงสีหน้าน้อยใจที่เห็นอาเรียยังคงตกใจอยู่
“ผมไม่ได้บอกแล้วหรอกเหรอว่าวันนี้จะมาหา”
อย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีสติจนลืมไปล่ะมั้ง เหมือนเขาบอกว่าจะกลับมาอีกครั้งนะ.. แต่เป็นวันนี้เหรอ เวลาตรงกันพอดีเชียว
หากเกิดอะไรผิดพลาดไม่รู้ว่าอาซอาจจะโผล่มาตอนที่ข้ารับใช้อยู่ด้วยหรือเปล่า
“ขอโทษทีค่ะ หลังๆ มานี้มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะคงลืมไปน่ะค่ะ…”
เพราะอย่างนั้นจึงขอโทษไปอย่างสั้นๆ คราวนี้ไม่มีทางที่เขาจะโผล่มาโดยไม่บอกกล่าวแล้วแต่เพราะตัวเองกลับจำไม่ได้เสียเอง
ทันใดนั้นอาซจึงปัดผมสีทองเป็นประกายที่บดบังหน้าผากมน พลางยิ้มให้อย่างนุ่มนวล
ดูท่าจะตื่นตระหนกจนเหงื่อออกเต็มไปหมด มือของเขาช่างนุ่มนวลและอบอุ่นจนทำให้หัวใจของอาเรียสั่นไหว
“อะไรทำให้เลดี้ต้องลำบากใจแบบนี้กันครับ”
“เอ่อ… ก็แค่เรื่องนู่นนี่น่ะค่ะ…”
ในบรรดาเรื่องทั้งหมดเรื่องของเฟรย์ทำให้เธอกังวลมากที่สุด
แต่จะว่าไปดูเหมือนว่าอาซจะรู้ทัน เขาเคยบอกว่าหล่อนดูสนใจเธอมาก
เพราะความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเธอรวมไปถึงปลายนิ้วของอาซยังคงทำให้เธอตื่นตระหนกและไม่สบายใจ อาซจึงพาเธอไปนั่งที่โซฟาก่อนจะถาม
“เป็นเรื่องที่ระบายกับผมไม่ได้เหรอครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ… แค่เป็นเรื่องที่ตกใจนิดหน่อยค่ะ”
เพราะไม่มีใครที่สามารถระบายเรื่องต่างๆ ได้นอกจากอาซ อาเรียจึงเริ่มพูดเรื่องต่างๆ ในวันนี้ที่ทำให้เธองุนงงขึ้น
เนื่องจากมีจดหมายมาจากเฟรย์ เธอเดินทางไปคฤหาสน์ของหล่อน คำถามต่างๆ ที่หล่อนถามอย่างไม่ขาดสายและรวมไปถึงตอนที่หล่อนยื่นชุดผู้ชายมาให้พร้อมกับขอให้เธอลองใส่มัน
ทันทีที่อธิบายถึงเรื่องนั้นอาซก็แสดงสีหน้าตกใจ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่แปลกและไม่ปกติจนสามารถบอกว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาได้เลย
“แปลกนะครับ เธอไม่ใช่คนที่จะทำแบบนั้นกับแขกที่เพิ่งพบกันครั้งแรกนี่”
เขาพูดพลางหัวเราะออกมา อาเรียพูดแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แต่ว่าทุกอย่างเป็นความจริงนะคะ แอนนี่ ข้ารับใช้ของฉันก็เห็นนะคะ”
“เอ่อ ไม่ได้จะสงสัยอะไรหรอกครับ เพียงแค่กำลังคิดว่าทำไมเธอถึงได้ทำแบบนั้นต่างหากครับ แม้จะได้เจอแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ผมคิดว่าเธอคงไม่ใช่คนแบบนั้นน่ะครับ”
อาซรีบแก้ตัวอย่างทันควัน แน่นอนว่าเมื่อนึกถึงเรื่องที่อยู่ภายในศาลตัดสินครั้งนั้นช่างแปลกจนไม่น่าเชื่อ
เช่นนั้นเขาที่กังวลอยู่พักใหญ่จู่ๆ ก็คิดอะไรออกจึงถามอาเรียพร้อมกับขมวดคิ้ว
“แต่จะว่าไป ผมได้ยินมาว่าเธอมีน้องชายที่ถูกไล่ออกมาด้วยล่ะครับ หรือว่าเธอเห็นเลดี้แล้วจะนึกถึงเขาหรือเปล่า”
“น้องชายเหรอคะ”
“เพราะมันเป็นเรื่องตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กจึงจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไหร่… แต่ทราบมาว่าโดนไล่ออกจากราชวงศ์เพราะเรื่องไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาเป็นน้องชายของเธอครับ”
“…ตายจริง ถ้าอย่างนั้นชุดที่ดิฉันใส่ไปก็คือ”
“อาจจะเป็นชุดของน้องชายของเธอหรือเปล่าครับ”
ไม่ใช่น้องสาว แต่เป็นน้องชายเนี่ยนะ ทำไมถึงเห็นเธอที่เป็นผู้หญิงแล้วนึกถึงน้องชายนะ
อาซที่รู้ว่าอาเรียต้องสงสัยแน่จึงอธิบายเพิ่ม
“ผมก็เคยเห็นภาพวาดของเขาตอนเด็กอยู่เหมือนกันน่ะครับ รูปลักษณ์ของเขาเด่นมากจริงๆ ตอนที่พบกับเลดี้ครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่ลองคิดดูอีกทีเลดี้ก็คล้ายกับเขาเหมือนกันนะครับ”
“เหมือนกับฉันเหรอคะ…”
แม้จะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงทำท่าทางอย่างนั้น… แต่การกระทำเหล่านั้นก็ยังดูไม่สมเหตุสมผล อย่างมากก็แค่ใบหน้าคล้ายกันก็เท่านั้น มาขอให้ใส่ชุดของน้องชายตัวเองที่โดนไล่ออกจากวังแบบนี้ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ
“แม้สีผมและสีตาจะต่างกัน แต่ลักษณะรูปหน้าคล้ายๆกันครับ แม้จะดูจากภาพวาดแต่ตัวจริงก็ไม่ทราบเหมือนกันน่ะครับ”
หากลักษณะหน้าตาคล้ายกัน ส่วนใหญ่ก็จะมองว่าหน้าเหมือนกัน เธอรู้สึกตกใจกับความจริงที่หน้าตาของเธอคล้ายกับผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง จึงรีบหยิบกระจกมาสังเกตใบหน้าตัวเอง
เพราะกังวลว่าใบหน้าของตัวเองอาจจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แต่ก็โชคดีที่ความงามยังคงอยู่เช่นเดิม
‘ขนาดตัวเธอเองที่เป็นผู้หญิงยังใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายขนาดนี้ ยังมีผู้ชายที่มีหน้าตางดงามอีกหรือนี่ ดูเหมือนว่าจะพอเข้าใจเหตุผลที่ถูกไล่ออกจากวังแล้วล่ะ…’
อาเรียที่ใส่ใจเรื่องนั้นพลางมองหน้าตัวเองอยู่พักใหญ่ อาซที่มองเหตุการณ์เหล่านั้นอยู่จึงถามอาเรีย
“หากเรื่องนั้นกวนใจเลดี้ผมไปสืบเรื่องมาให้ไหมครับ ไม่แน่ว่าอาจจะหาภาพวาดนั้นก็ได้นะครับ”
“หากทำได้จะขอบคุณมากเลยค่ะ แต่ว่า…ดูเหมือนจะทำให้คุณยุ่งเสียเปล่า ฉันรู้สึกเกรงใจน่ะค่ะ”
“อย่างไรซะคนที่ไปสืบเรื่องไม่ใช่ผมอยู่ดี ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ตลอดที่ช่วงเขาพูด อาเรียที่นั่งขมวดคิ้วอยู่กลับยิ้มเบาๆ ออกมา เพราะคนที่จะยุ่งก็คือคนที่ทำงานตามคำสั่งเหมือนอย่างที่อาซพูด อย่างเช่น เรน เป็นต้น
กลับกันอาซก็แสดงสีหน้าดีใจที่ได้ช่วยอาเรีย แต่จะว่าไป อาซดูน่ารักมากที่พูดว่าเขาจะใช้คนของเขาทำงานหนักแทนตัวเขาเอง
“หวังว่าพวกเขาคงจะไม่เกลียดฉันนะคะ”
“จะมีใครหน้าไหนบังอาจเกลียดเลดี้กันครับ”
ไม่รู้สิ มีเยอะจนเกิดเรื่องเลยล่ะมั้ง
แค่สำหรับที่คฤหาสน์จู่ๆ ก็นึกถึงคนที่โกรธแค้นจนอยากฆ่าให้ตายมากกว่าแค่เกลียดด้วยซ้ำ
แม้ในอดีตตอนที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรยังเกลียดเธอขนาดนั้น มาตอนนี้จะเกลียดขนาดไหนกันนะ เพราะอาเรียดันไปนึกถึงมิเอลทำให้มุมปากของเธอลดต่ำลง อาซก็แสดงสีหน้าจริงจึงขึ้นด้วยเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าจะมีคนที่นึกออกสินะครับ”
“…เพราะโลกนี้ไม่มีใครที่ได้รักความรักจากทุกคนหรอกค่ะ”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม คนที่เมื่อนึกถึงก็ทำให้รอยยิ้มหายไปในทันทีก็มีน้อยครับ”
ใช่สิ หากไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่คิดแค้นกันก็ถือว่าเกิดขึ้นได้น้อย
เพราะทั้งคู่ต่างมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเหมือนกัน บรรยากาศภายในห้องจึงถูกความเงียบปกคลุม หากมีขนมด้วยก็คงจะดีแต่โชคร้ายที่บนโต๊ะมีแค่น้ำอุ่นเท่านั้น ยิ่งทำให้ทั้งคู่เคอะเขินมากขึ้น
และในขณะที่เธอกำลังคิดว่าไปรินชามาเองเสียดีกว่า
“เลดี้! เอาชามาให้แล้วค่ะ!”
ได้ยินเสียงแอนนี่อยู่นอกประตู เพราะได้เวลาที่อาเรียน่าจะทานอาหารเสร็จและกลับมาที่ห้องแล้ว
อาเรียที่กังวลว่าจะทำอย่างไรดีเนื่องจากมีอาซอยู่ในห้อง ทันใดนั้นก็ส่งสัญญาณให้แอนนี่เข้ามาได้
แอนนี่ไม่ได้เห็นว่าเขาหายตัวด้วยตัวเองเสียหน่อยและอีกอย่างเธอยังมีอะไรที่จะได้รับอีกเยอะ อาเรียจึงคิดว่าแอนนี่จะไม่บอกใครเรื่องที่อาซเข้ามา
ยิ่งไปกว่านั้นหากเธอเอาไปบอก เราทั้งคู่ต่างคบหากันอย่างเป็นทางการแล้วจะมีปัญหาอะไรล่ะ
“ชาที่ได้เป็นของขวัญ…อ๊ะ!”
แอนนี่ที่เข้ามาในห้องตามคำขานของอาเรีย แน่นอนว่าต้องตกใจที่เห็นอาซจึงยืนแข็งราวกับหินอยู่อย่างนั้น อาเรียจึงดุเธอ
“ยืนทำอะไรตรงนั้นน่ะ ฉันกำลังคอแห้งอยู่พอดีเลย ดีจัง”
“คะ? ค่ะ…”
แม้ว่าแอนนี่อยากจะถามว่าอาซเข้ามาได้อย่างไร แต่เพราะเธอมองสถานการณ์ออกจึงรีบไปเตรียมขนมอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าแม้จะพยายามแอบฟังเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง แต่เพราะทั้งคู่ต่างคุยเรื่องสำคัญเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำยังบอกให้ออกจากห้องไปอีกจึงไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย
“ชาดำจากวาเกียนส์เหรอครับ เป็นชาคุณภาพสูงมากเลยนะ หาไม่ได้ง่ายๆ เลยล่ะ”
“อ๋อ ท่านเฟรย์ให้ฉันเป็นของขวัญตอนที่ไปเยี่ยมน่ะค่ะ”
“…อย่างนั้นเหรอครับ ถึงขนาดให้ชาหายากแบบนี้เป็นของขวัญล่ะก็ ดูท่าจะชื่นชอบเลดี้มากเลย ถ้าอย่างนั้นผมจะสืบรายละเอียดเกี่ยวกับน้องชายของเขามาให้ได้ครับ”
อาซที่เพลิดเพลินกับชาเพียงไม่นานก็ขอตัวกลับก่อน
“จะไปแล้วเหรอคะ”
“ไม่ดึกไปหรอกเหรอครับ แต่เวลาที่จะอยู่กับผู้หญิงสองต่อสองแบบนี้ถือว่าดึกแล้วน่ะสิ ตอนแรกแค่จะมาเจอหน้าแล้วก็กลับเท่านั้น”
อาเรียแสดงสีหน้าเสียดาย ทันใดนั้นอาซจึงยกมือของเธอขึ้นมาจับ
“สัปดาห์หน้าเวลาเดิมผมจะมาอีกนะครับ หวังว่าครั้งนี้เลดี้จะไม่ลืมไปนะครับ”
และเหมือนอย่างที่เคย อาซจุมพิตที่หลังมือของอาเรียจากนั้นจึงหายตัวไป
อาเรียจึงเรียกแอนนี่ให้มาเก็บโต๊ะ แอนนี่ที่เมื่อครู่พยายามเก็บอาการก็แสดงท่าทางออกมาอย่างเต็มที่เธออ้าปากกว้างพลางถามอาเรีย
“…ตายจริง ท่านกลับไปอย่างไรเหรอคะ ดิฉันแน่ใจว่ายังไม่เห็นท่านเข้ามาเลยนะคะ ไม่สิ แล้วตอนนี้หายไปทางไหนแล้วคะ”
“ท่านมาทางหน้าต่างแล้วก็กลับไปแล้วน่ะ”
“จะ… จริงเหรอคะ!”
“หากท่านมาทุกคนต้องพูดถึงอยู่แล้ว เพราะอยากมาดื่มชากันเงียบๆ เลยมีแค่วิธีนี้ไม่ใช่หรอกเหรอ”
เนื่องจากไม่มีทางอื่นนอกจากหน้าต่างแอนนี่ที่เชื่อคำพูดของอาเรียจึงยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพราะไม่สามารถเก็บอาการตกใจได้
“นะ.. นั่นก็…! แต่ว่ามันดูอันตรายไปนะคะ”
“เขามีความสามารถพิเศษน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ทันทีที่บอกด้วยน้ำเสียงราวกับไม่มีอะไรที่น่าห่วง แอนนี่ที่หัวไวจึงตอบว่าทราบแล้ว และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างทันควัน
“เอ่อ จริงด้วยค่ะ จะว่าไปดูท่าเลดี้มิเอลยังรับส่งจดหมายกับดัชเชสอยู่นะคะ จากที่ข้ารับใช้ไปแอบดูเนื้อความมาเห็นว่าดัชเชสชื่นชมเลดี้มิเอลด้วยนะคะ”
ไปสร้างเรื่องอะไรไว้อีกล่ะ
หรือจะชมเรื่องไม่นานมานี้ที่หล่อนไปขัดขวางตัวเองกับอาซอย่างนั้นเหรอ หรือว่าหล่อนไปสร้างเรื่องไม่ดีอะไรที่เกี่ยวกับเขากัน
จากที่ข้ารับใช้บอกมา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามการที่หล่อนรับส่งจดหมายกับดัชเชสก่อนจะทำอะไรแย่ๆแบบนี้ดูท่าไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไป
“ฝากไปบอกว่าต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรช่วยบอกที อย่างน้อยก็จะให้ของขวัญเล็กๆสักชิ้นหนึ่งด้วย”
“ค่ะ ได้เลยค่ะ เลดี้! ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ทุกคนในคฤหาสน์นี้อยู่ฝ่ายเดียวกับเลดี้อยู่แล้วล่ะค่ะ”
แม้ตอนนี้ทุกคนจะอยู่ฝ่ายตัวเองตามที่แอนนี่พูดก็ตาม แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่สบายใจกัน
หรือเป็นเพราะดัชเชสที่แอบวางแผนการลับอยู่ หากไม่ใช่ล่ะก็ หรือเพราะไม่มีอะไรสามารถกำจัดมิเอลได้อย่างแน่นอน
‘ใช่แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสก็ได้ หากมิเอลสร้างเรื่องไม่ดีก็ใช้เรื่องนั้นโต้กลับไปได้นี่นา’
ต่างจากในอดีตที่เธอไม่มีอะไรจะเสีย ตอนนี้ที่ได้ทุกอย่างมากกว่าเดิมกลับไม่สามารถกำจัดมิเอลด้วยยาพิษนั่นได้ เหมือนอย่างคราวที่แล้วที่ปล่อยเอ็มม่าไป ได้แต่หวังว่าหล่อนจะค่อยๆ ทำลายตัวเองเสียเอง
ผ่านไปไม่กี่วัน ดูเหมือนว่ามิเอลกำลังวางแผนการอะไรอยู่จึงเรียกบรรดาเลดี้มารวมตัวที่คฤหาสน์
เพราะมิเอลเป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ เนื่องจากเป็นงานไม่มีพิธีการอะไร จึงไม่อยากเข้าร่วมแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
“เลดี้คะ ได้เวลาแล้วล่ะค่ะ”
“…งั้นเหรอ”
ทำไมต้องเป็นวันนี้นะ เพราะวันนี้เป็นวันที่มอบเงินทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนทุนที่สถาบัน และอาเรียก็ได้มอบเงินทุนการศึกษาไว้จำนวนมากจึงต้องเข้าร่วม
แน่นอนว่าจะส่งตัวแทนไปก็ได้ แต่ตอนนี้อยากจะสร้างภาพลักษณ์ดีๆ เกี่ยวกับตัวเองให้ทุกคนได้รู้
ที่ต้องพบนักลงทุนรายย่อยที่คฤหาสน์อย่างไม่หยุดหย่อนทั้งยังต้องไปแสดงตัวที่นู่นที่นี่ต่างมีเหตุผลทั้งนั้น
“ออกไปข้างนอกเหรอคะ”
มิเอลถามอาเรียที่เดินลงมาชั้นหนึ่งคนเดียว
ครั้งสุดท้ายที่คุยกันเหมือนจะทิ้งคำสาปไว้นะ อาเรียตอบว่าใช่เคล้ากับเสียงหัวเราะ มิเอลจึงยิ้มรับพลางถามอีกครั้ง
เป็นรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวานไม่เคยเจอมาก่อนหน้านี้
“จะกลับเข้ามาตอนไหนเหรอคะ”
“ไม่รู้สิ วันนี้น่าจะไม่กลับนะ”
เธอทนกับความสะอิดสะเอียนจนแทบจะคลื่นไส้ออกมาพร้อมกับโกหกตอบไป สีหน้าของมิเอลที่ส่งรอยยิ้มราวกับดอกไม้กลับเปลี่ยนไปเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“…จริงเหรอคะ”
“จะจริงหรือไม่ มันใช่เรื่องที่พี่ต้องรายงานเธอเหรอ เราเคยทำแบบนั้นตอนไหนกัน
แม้จะมีเลดี้คนอื่นอยู่ข้างมิเอลก็ตาม แต่เธอกลับตอบอย่างนั้นพร้อมกับหันไปทางอื่นอย่างเย็นชา เพราะต่อให้ทำดีด้วยแค่ไหนพวกนั้นก็ไม่มีผลประโยชน์กับตัวเอง
“…ตายจริง ทำไมน้ำเสียงถึงได้ต่ำช้าแบบนั้นนะ”
“สงสัยจริงว่าใครกันที่ขนานนามนางร้ายหล่อนว่าเป็นเหมือนดวงดาวในราชอาณาจักร”
“เลดี้มิเอลที่น่าสงสาร…”
แอนนี่กัดฟันแน่นทันทีที่ได้ยินคำนินทาพวกนั้นและพ่นคำสาปไล่หลังอย่างเบาๆ ในขณะเดียวกันแอนนี่ก็ชมว่าเธอสามารถทนรับมือกับพวกหล่อนอย่างเด็ดเดี่ยวได้อย่างไรกัน
‘เด็ดเดี่ยวอะไรกัน’
ในมือของเธอกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
เธอไม่ได้จะหาเรื่องมิเอล เป็นเพราะเธอบอกว่าวันนี้จะไม่กลับหล่อนจึงแสดงท่าทางแบบนั้นต่างหาก
หล่อนทำเหมือนเป็นห่วง แต่แน่นอนว่ามิเอลจะต้องคิดก่อเรื่องอะไรอยู่แน่
……………………….