หลังจากออกจากอาณาเขตโดยทิ้งหลักฐานแรกไว้เช่นนั้นแล้ว เธอก็กังวลว่าอาซจะใช้พลังของเขา แต่โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้ เพราะมีรถม้ามาที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหน มารอรับอยู่หน้าคฤหาสน์ของไวเคานต์แล้ว
เป็นรถม้าที่ดูไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไรนัก เพราะหากเป็นรถม้าที่ดูหรูหราเกินไป อาจจะตกเป็นเป้าหมายของพวกหัวขโมยได้
ทำให้อาเรียที่หวังว่าอาซจะไม่ใช้พลังของเขาอีก รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่เธอก็ต้องตกใจกับใบหน้าอันไม่คาดคิด
“อรุณสวัสดิ์ครับ เจ้าชายอัสเทอโรพี เลดี้อาเรีย ให้ออกเดินทางไปยังเมืองต่อไปเลยไหมครับ”
เขาคือเรน ไม่ใช่ใครอื่น
เขาทักทายอาเรียและอาซด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ด้วยผมกระเซิงรุงรังที่ดูเหมือนจะเป็นของปลอมนั้น ทำให้ยากที่จะดูออก แต่พอเธอหรี่ตามองให้ชัดแล้ว ก็มั่นใจว่าเขาคือเรน ยิ่งไปกว่านั้น คนข้างๆ เขาคือซอร์ค อัศวินของอาซ
ออกมารับตั้งแต่เช้าขนาดนี้… อย่าบอกนะว่าวิ่งมาจากเมืองหลวงทั้งคืนน่ะ ไม่รู้ว่าพลังของอาซสามารถใช้เคลื่อนย้ายรถม้าได้หรือไม่ แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว คงจะวิ่งมาทั้งคืนแน่ๆ
“…คุณอาซ”
ทว่าเธอเรียกชื่อเขา แล้วถามด้วยตาว่านี่มันอะไรกัน เพราะเธอรู้สึกว่ามันแปลกที่ไม่มีทั้งคนขับรถม้าและคนรับใช้ มีแค่พวกเขาสองคน อาซจึงสังเกตดวงตาของอาเรีย แล้วตอบเธออย่างเงียบๆ
“เพื่อทิ้งหลักฐานว่ากำลังเคลื่อนที่อยู่ครับ”
เธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เพราะเธอไม่สามารถแสดงออกมาได้ เธอจึงขึ้นรถม้าไปตามที่เขาเตรียมไว้ไปก่อน
หลังจากนั้นเธอก็ถามอาซอีกครั้งทันทีที่ออกจากที่นั่น ที่ที่ไวเคานต์และผู้คนของอาณาเขตที่กล่าวอำลาจนแทบจมูกจะแตะพื้นมาส่ง
“เพื่อทิ้งหลักฐานไว้นี่หมายความว่าอะไรหรือคะ แถมยังเป็นรถม้าที่ไม่มีคนรับใช้สักคนเลยด้วย…”
“รถม้าคันนี้ใช้สำหรับเป็นหลักฐานตามที่พูดไปครับ หลักฐานที่จะพิสูจน์ให้พวกเราแค่เพียงตอนที่ออกเดินทางถึงตอนที่ข้ามพรมแดนเท่านั้นน่ะครับ จึงไม่มีคนรับใช้ครับ เราไม่จำเป็นต้องมีครับ”
ตายจริง ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเรากำลังไปที่ไหนสักที่ตรงกลางหรือ จะใช้พลังของเขาอีกแล้วหรือ
เมื่อคืนอาซก็บอกว่าไม่เป็นไรก็จริง แต่เธอก็ยังกังวลไม่หาย เพราะเธอรู้ว่าเขาเองก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย เช่นเดียวกับที่เธอจ่ายค่าตอบแทนในทุกครั้งที่เธอใช้นาฬิกาทราย
ดังนั้นเมื่อสีหน้าของอาเรียดูหมองลงอย่างมาก อาซก็อธิบายต่อให้อาเรียฟังว่าเขาไม่เป็นไร
“ดูเหมือนผมไม่น่าพูดว่าผมจ่ายราคาสินะครับ ผมได้รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองเมื่อนานมาแล้วครับ ดังนั้นผมจะไม่ใช้พลังจนทรุดไปแบบนั้นอีกเด็ดขาด เลดี้ไม่ต้องกังวลก็ได้ครับ “
“แต่ว่า…”
ถ้าใช้พลังต่อไปด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนี้ ก็อาจจะเกิดขีดจำกัดโดยไม่รู้ตัวก็ได้ไม่ใช่หรือ
แม้เขาจะอธิบายให้ฟังไปหลายครั้งแล้ว แต่สีหน้าแห่งความกังวลบนใบหน้าของอาเรียก็ยังไม่หายไป อาซจึงจับมือเธออย่างอ่อนโยน
“อีกทั้งร่างนี้ยังเป็นร่างที่สืบทอดสายเลือดของจักรพรรดิองค์แรกที่เรียกกันว่าเป็นมนุษย์ครึ่งเทพองค์แรกด้วยครับ ผมเคยอ่านเอกสารโบราณที่ว่าผู้ใดที่ไม่ได้สืบทอดสายเลือดของราชวงศ์ อันสืบต่อกันมาอย่างยาวนานหลายรุ่น แต่เป็นคนที่มาจากภายนอก แล้วค้นพบความสามารถนี้ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหนาสาหัสครับ แต่… สำหรับผมแล้ว ด้วยระดับนี้ผมจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ ครับ หวังว่านี่จะช่วยคลายความกังวลได้นะครับ”
เมื่อเขาพูดดังนั้นและบอกว่าจะระวังตัว เธอก็ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้อีก
ลองคิดดูแล้ว เขาก็ใช้พลังไปหลายครั้งเมื่อคืนไม่ใช่หรือ ต่างจากเธอที่ต้องนอนหลับไปทั้งวันหลังจากใช้พลังเพียงครั้งเดียว แต่อาซนั้นสบายดี
แน่นอนว่าที่เป็นห่วงก็เป็นคนละปัญหา เพราะเธอได้ตระหนักเป็นอย่างดีจากเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าความสามารถของพวกเธอนั้น ไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง
และการจะหวังพึ่งมันอาจจะนำไปสู่อุบัติเหตุอันไม่คาดคิด
“…เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็หวังว่าคุณจะไม่หักโหมเกินไปแล้วกันนะคะ”
หลังจากเธอพูดเสริมเช่นนั้น อาซก็รับรู้และเข้าใจความเป็นกังวลที่มากราวกับภูเขาของอาเรีย แล้วประทับริมฝีปากลงที่หลังมือของเธออย่างอ่อนโยน สัญญาว่าเขาจะทำเช่นนั้น
“ผมจะรับฟังสิ่งที่เลดี้พูดครับ”
อาเรียที่คลายความกังวลได้แล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลาย แต่อาซก็พูดขึ้นมาพลางถือกล่องนาฬิกาทรายของเธอไว้ในมือ
“แต่วันนี้ผมก็ไม่ได้เป็นไร ฉะนั้นเราเคลื่อนย้ายกันก่อนดีกว่าครับ เพราะรถม้ามันอึดอัดน่ะครับ พอเราหารถม้าสบายๆ ได้แล้ว ก็ขึ้นรถม้าแล้วไปกันครับ”
เธอคิดว่าเขาไม่มีทางจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้ เพราะเขาคืออาซผู้ดื้อรั้น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะโทษเขา เพราะเขาก็เพิ่มข้อแก้ตัวไปถึงขนาดนั้นแล้ว
“…เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะถือของของฉันเองค่ะ”
เธอจึงยอมแพ้แล้วรับกล่องนาฬิกาทรายคืนจากเขา อาซก็เคลื่อนย้ายผ่านอวกาศราวกับรอมานานแล้ว ทัศนวิสัยที่เปลี่ยนไปในชั่วพริบตานั้น ไม่ได้ทำให้อาเรียตกใจอีกต่อไปแล้ว
อาเรียมองไปรอบๆ พื้นที่ว่างเปล่าอันเงียบสงบที่ดูเหมือนหมู่บ้านนอกเมือง แล้วอาซก็ยื่นเสื้อคลุมสีดำที่ไม่รู้ว่าหยิบมาด้วยตอนไหนให้เธอ
“ยังไงก็ใช้เสื้อคลุมนี้ก่อนเถอะครับ เลดี้ต้องซื้อชุดมาเปลี่ยนครับ”
ด้วยเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ก็มีแต่จะดึงดูดสายตาของผู้คนเท่านั้น อาเรียจึงสวมมันคลุมปิดทั้งตัวอย่างไม่บ่นอะไร
เธอดูน่าสงสัยมาก ฉะนั้นเธอจึงแวะเข้าร้านเสื้อผ้าทันที เพื่อซื้อเสื้อผ้าธรรมดาๆ มาเปลี่ยน
“…ผมรู้สึกอยากให้ปกปิดผมด้วยน่ะครับ แล้วก็คงจะดีถ้าปกปิดใบหน้าด้วย…”
อาซขมวดคิ้วกับความงดงามของอาเรียที่แม้จะเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถลบความงดงามนั้นออกไปได้ เขาดูเหมือนจะอยากปิดบังความงดงามที่มากจนเกินไปของเธอเสียเหลือเกิน
อาเรียยิ้มแล้วบอกให้เขาเลิกกังวลเรื่องนั้น
“ฉันรวบผมเสียหน่อยดีไหมคะ”
“ไม่ครับ ผมคิดว่านั่นคงจะไม่ช่วยแก้ปัญหาเท่าไรนัก”
“ถ้าอย่างนั้น สวมหมวกดีไหมคะ”
“ไม่ครับ ถึงจะทำเช่นนั้น… ผมว่าเราไปสถานที่ที่ไม่มีคนคงจะดีกว่าครับ”
“ที่ที่ไม่มีคนหรือคะ”
มีที่แบบนั้นอยู่ด้วยหรือ
อาเรียถามกลับด้วยความสงสัย อาซจึงพยักหน้าแล้วตอบกลับ
“ครับ เราหาที่พักกันคงจะดีกว่านะครับ”
“…คะ”
อาเรียก้าวถอยหลัง เพราะตกใจกับคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดแต่ข้อเท้าพลิก อาซจึงรีบเข้ามาโอบเอวประคองเธอ
ที่ไหน ที่พัก ที่พักที่ไม่มีคน
นั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของชายผู้เขินอายจนหูแดงขึ้นมาทุกครั้งที่เจอกันอย่างนั้นหรือ
อาเรียถามกลับ เพราะเกรงว่าเธออาจจะฟังผิดไป
“…นั่นคือ ที่ไหนหรือคะ”
“ที่พักครับ ที่ไม่มีคน”
“…”
ตายจริง
สีหน้าของอาเรียที่พยายามกลั้นสะอึกเพราะตกใจ ก็ค่อยๆ ซีดลง ทันใดนั้นอาซก็คิดได้ว่าเธออาจจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ที่พัก’ ผิด แล้วเขาก็หรี่ตาลง
“อ่า ผมไม่บังอาจเคยคิดมาก่อนว่าเลดี้จะเป็นหญิงผู้ใจกล้าเช่นนั้น หากเลดี้บอกผมก่อนหน้านี้…”
“มะ ไม่ใช่นะคะ!”
คราวนี้อาเรียขึ้นเสียงดังด้วยใบหน้าร้อนผ่าวจนเป็นสีแดง ราวกับจะถามว่าเธอไปหน้าซีดตอนไหน แล้วอาซก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับคิดว่าเธอช่างน่ารักเสียจริงๆ
* * *
ต่างจากความกังวลและคิดมากเกินจำเป็นของเธอ ที่พักนั้นจองไว้สองห้อง
กำหนดการของรถม้าที่เรนขับนั้นจะมาถึงตอนประมาณพระอาทิตย์ตกพอดี จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจองที่พักถึงสองห้อง แต่เขาทำเช่นนั้นเพราะหน้าแดงเถือกและร้อนผ่าวของอาเรียดูไม่มีท่าทีจะเย็นลงเลย
แถมอาซก็อยากแกล้งเธอเล็กๆ น้อยๆ ด้วย แม้จะจองที่พักไว้สองห้อง แต่อาซและอาเรียก็ไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง ทั้งคู่ต่างมาอ่านหนังสือและตรวจทานเอกสารในที่เดียวกัน
“ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่เราก็อุตส่าห์ได้วันพักร้อนมาทั้งที เลดี้มีอะไรที่อยากทำหรือไม่ครับ”
อาซถามในขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือพลางรับลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
อาเรียหนักใจ เพราะมันก็เป็นเหมือนกับวันพักร้อนที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้ ต่างจากที่เขาพูด
‘วันพักร้อน…’
เธอเล่นมาอย่างอิ่มหนำแล้วในอดีต จึงไม่เคยคิดจะมาเล่นสนุกอะไรในวันพักร้อน เธอกลับรู้สึกว่าวันยุ่งๆ แบบวันนี้นั้นสนุกกว่าเล่นไปวันๆ แบบไร้ความหมายเสียอีก
“ไม่รู้สิคะ… ฉันไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ แล้วก็ยังรู้สึกว่าการได้ทำอะไรสักอย่างนั้นสนุกกว่าการพักผ่อนน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มีแต่จะทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจน่ะค่ะ”
“อืม… อย่างนั้นสินะครับ”
อาซพยักหน้าให้กับคำตอบของอาเรีย เหมือนกับเขารู้สึกเห็นใจ
แต่เขาก็ยังดูมีสีหน้าสงสัย อาเรียจึงปิดหนังสือแล้วถามอาซกลับ เขาดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่อยากจะทำ
“คุณอาซละคะ”
“ผมหรือครับ”
“ค่ะ คุณอาซอยากทำอะไรในช่วงพักร้อนหรือคะ คือฉันคิดไม่ออกน่ะค่ะ”
หลังจากนั้นอาซก็ตอบราวกับว่าเขารอคำถามนั้นอยู่
“ความจริงแล้ว ผมอยากเดินเล่นไปตามถนนครับ โดยไม่มีใครมารบกวนน่ะครับ”
“ถนนหรือคะ”
เขาอยากทำแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นจริงหรือ อาเรียถามกลับ พลางเบิกตากลมโต
“ครับ ก็มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือครับ เพราะเลดี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก”
“ก็ใช่ค่ะ แต่ว่า…”
ช่างเป็นเรื่องน่าขันที่อาเรียมีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่าเจ้าชาย แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ปรากฏหน้ามาให้ภายนอกเห็นบ่อยๆ เหมือนกับอาเรีย
อาเรียจึงเห็นด้วย แล้วลากเสียงพูดอย่างไม่ชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้น ปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นเถอะครับ”
พอตัดสินใจเรื่องที่จะทำได้แล้ว อาซก็ยื่นให้อาเรีย เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเขา เพราะชุดที่ใส่อยู่ก็เป็นชุดที่ไม่หรูหราที่สามัญชนทั่วไปใส่กันตอนนี้ มันก็เป็นแค่การไปเดินเล่นเท่านั้น
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้น เราออกไปข้างนอกสักพักหนึ่งกันเถอะค่ะ”
“ขอบคุณครับ เลดี้ แล้วก็ขอโทษนะครับ แต่ผมอยากให้เลดี้ใส่เสื้อฮู้ดด้วยน่ะครับ”
“ได้ค่ะ”
อาเรียเผยยิ้ม
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่อาซต้องการ เธอจึงยินดีที่จะทำ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องยากก็ตาม
ใครกันที่เมื่อกี้ถูกชวนให้ออกไปเดินเล่นแล้วคิดลังเล พอถึงเวลาเข้าจริง อาเรียที่ออกมาด้านนอก ก็เริ่มตาเป็นประกายระยิบระยับ
เธอกวาดตามองไปรอบๆ อย่างไม่หยุดพัก ทำให้เขานึกถึงเลดี้ขุนนางที่เพิ่งเคยออกมาเดินที่ถนนเป็นครั้งแรก เขามั่นใจว่าเธอคงจะคุ้นเคยกับมัน หากวันเวลาที่เธอเป็นสามัญชนนั้นยาวกว่านี้
“ตายจริง คุณอาซ! ดูตรงนั้นสิคะ!”
ที่ปลายนิ้วของอาเรียที่ชี้ไปนั้น มีชายคนหนึ่งกำลังทำให้ผู้คนตกตะลึงไปกับมายากลที่ดูเหมือนจริง คงจะมีนักมายากลที่ดูงดงามและลึกลับมากกว่าคนนั้นอีกมากมาย แต่คงเพราะเธอดีใจที่ได้ออกมาเดินเล่นบนถนน ทำให้เธอตื่นเต้นระริกระรี้กับเพียงแค่กลหยาบๆ
อาซที่เห็นท่าทีของอาเรียเพลิดเพลินกับการเดินเล่นมากกว่าใครๆ มองดูทุกๆ พ่อค้าแม่ค้าที่ประดับประดาอยู่ตามถนนไปทีละคน ก็เผยยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา แล้วจับมือของเธออย่างอ่อนโยน
“เหมือนเด็กหลงทางเลยนะครับ”
ในตอนนั้นเองที่อาเรียก็รู้สึกตัวว่าตัวเองตื่นเต้นระริกระรี้ไปแค่ไหน เธอหน้าแดงขึ้นมา และหลบสายตาเขา
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ ฉันไม่เคยออกมาเดินเล่นแบบนี้มาก่อน”
“แม้แต่ก่อนเข้าไปเป็นครอบครัวกับท่านเคานต์ด้วยหรือครับ”
มันเป็นคำถามที่หมายความถึงตอนที่เธอเป็นสามัญชน ตอนที่เธอไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในการจะออกไปข้างนอก
อาเรียไม่สามารถตอบคำถามนั้นกลับไปได้อยู่ครู่หนึ่ง เธอลังเล ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากพูด
“ตอนนั้น… ฉันจนมากจนออกไปข้างนอกไม่ได้ค่ะ ถ้าออกไปข้างนอก ของสวยๆ งามๆ ของอร่อยๆ ก็เยอะ แล้วก็จะอยากซื้ออะไรสักอย่างขึ้นมาตลอดเลยค่ะ อีกทั้งเด็กผู้หญิงคนเดียวจะไปไหนมาไหนหรือที่ที่มีคนเยอะๆ ก็ลำบากด้วยค่ะ เพราะมันอันตรายน่ะค่ะ”
เธอไม่ได้พูดถึง แต่โสเภณีนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าอับอายกันเพียงแค่ในเหล่าขุนนางเท่านั้น แม้แต่ในเหล่าสามัญชนเองก็น่าอับอายเช่นกัน ทำให้เธอต้องทนฟังคำพูดรุนแรงจากพวกคนใจร้ายใจดำ เธอจึงเลี่ยงการออกไปข้างนอกยิ่งขึ้นไปอีก
เขาอุตส่าห์เห็นอาเรียตื่นเต้นทั้งที อาซเห็นสีหน้าของอาเรียหม่นหมองลงอีกครั้ง เขาจึงเลิกคุยเรื่องนั้น แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“…ออกมาข้างนอกกับเลดี้นี่ดีจริงๆ ด้วยครับ”
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นค่ะ”
สิ่งที่หยุดฝีเท้าของอาเรียที่เดินชมมาพักใหญ่เช่นนั้นคือเสียงร้องตะโกนของเด็กที่ล้มลงไปบนพื้น เนื่องจากเสียงนั้นดังไปทั่วทั้งถนนที่พลุกพล่าน สายตาของอาซและอาเรียจึงหันไปตามทิศทางของเสียง
“โอ๊ยยย! เงินฉัน! ขาฉัน! โอ๊ย!”
ในทิศทางที่เด็กล้มลงไปบนพื้น ชายคนหนึ่งวิ่งหนีและหลบหลีกฝูงชนทางนั้นทางนี้ราวกับปลาช่อน
ชายคนนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะมีรูปร่างสูงใหญ่ เขาจึงหายไปในฝูงชนภายในชั่วพริบตา เด็กที่ร้องตะโกนก็ยังคงร้องไห้เสียงดังต่อไป ไม่สามารถลุกขึ้นมาจากพื้นสกปรกได้
ไม่สิ เขาพยายามจะลุกขึ้น แต่ลุกไม่ได้ เพราะขาอันเรียวเล็กและผอมแห้งข้างหนึ่งของเขางอไปในทิศทางประหลาด ดูเหมือนเขาจะโดนแรงของชายแข็งแกร่งคนนั้นผลักแล้วพลาดล้มลง
“โอ๊ย! ขาฉัน!”
แม้ว่าเด็กคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากโจรล้วงกระเป๋า แต่ก็ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย เพราะเขาดูสกปรกซอมซ่อ หว่างคิ้วของอาเรียขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นภาพของตัวเองในอดีตทับซ้อนกับเด็กคนนั้น
“เป็นอะไรไหม!”
ตอนนั้นเอง อาซก็รีบยื่นมือเข้าไปประคองเด็ก แต่ด้วยความเจ็บปวดของขาที่บิดไปอย่างรุนแรงนั้น อย่าว่าแต่จับมือเลย สิ่งที่เด็กคนนั้นทำได้มีเพียงแค่กลิ้งลงไปกับพื้นเท่านั้น
อาเรียที่เฝ้าดูสถานการณ์นี้กัดริมฝีปากของเธอและลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบนาฬิกาทรายออกมาจากกล่อง
‘ถ้าเขาแค่ทำเงินหาย ฉันก็คงจบเรื่องด้วยการให้เงินเขาไป แต่ว่า…’
การที่เด็กสลัมตายเพราะเขาพิการนั้นเป็นเรื่องของการรอเวลาเท่านั้น เธอเห็นเด็กพวกนี้มาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง และก็เสียพวกเขาไป ทำให้เธอตัดสินใจได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรกำหนดการของวันนี้ก็มีแค่เดินเล่น และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่อาซอยู่ด้วยกันกับเธอ ถ้าเขาปลุกเธอ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงตื่นขึ้นมาได้
ดังนั้นได้โปรด ขอให้มันยังไม่สายเกินไป
อาเรียพลิกนาฬิกาทราย
และเวลาก็ย้อนกลับมา ยกเว้นตัวเธอเอง
“เลดี้… หยิบนาฬิกาทรายออกมาตอนไหนครับ ยิ่งไปกว่านั้นคือทำไม…”
เมื่อจู่ๆ อาเรียก็มีนาฬิกาทรายถืออยู่ในมือ อาซที่จับมืออาเรียอยู่ก็ชี้ไปที่นาฬิกาทราย ทว่าเธอไม่มีเวลามาตอบเรื่องนั้น
อาเรียหันกลับไปมองหาตำแหน่งของเด็กคนนั้นทันที แล้วเธอก็เห็นชายอันตรายที่เดินเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว
‘ชายคนนั้นไง…!’
จากนั้นเธอก็สะบัดมือของอาซที่จับอยู่ แล้วรีบวิ่งไปผลักเด็กคนนั้นไปด้านหลังอย่างเต็มแรก
“โอ๊ย!”
“…เลดี้!”
ร่างของเด็กที่จู่ๆ ก็โดนผลักนั้น ล้มกลิ้งลงไปกับพื้นอย่างไม่น่าแปลกใจ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ที่ตรงนั้นคืออาเรียที่ขยับร่างกายอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน และหายใจหอบถี่
หญิงคนนั้นเป็นบ้าอะไรน่ะ สถานการณ์อันกะทันหันนี้ดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างอย่างเต็มที่ แล้วอาซก็รีบวิ่งเข้ามาหาอาเรีย ชายคนนั้นตกใจกับการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเธอ แล้วคงจะเปลี่ยนเป้าของเขา แต่ชายคนนั้นก็ได้หายตัวไปสักพักแล้ว
“…เป็นอะไรไหมครับ!”
“ทำไมถามคำถามนั้นกับผู้หญิงละครับ! ผมคือคนที่โดนผลักจนล้มลงไปนะ!”
เทียบกับที่โดนผลักลงไปอย่างรุนแรงแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน เด็กคนนั้นจึงลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วแผดเสียงออกมา
สีหน้านั้นดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก อาเรียมองเขา แล้วตอบกลับพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พอดีว่าจู่ๆ ฉันเห็นแมลง แล้วก็เลยตกใจไปหน่อย… แล้วก็ขอโทษเธอด้วยจริงๆ นะ นี่แทนคำขอโทษของฉัน”
อาเรียถอดสร้อยข้อมือออกจากข้อมือของเธอ แล้วยื่นให้เด็ก สร้อยข้อมือนั้นเป็นเส้นที่ถูกที่สุดในบรรดาสร้อยข้อมือที่เธอมี แต่ก็เพียงพอให้เด็กคนนั้นมีชีวิตอยู่รอดไปอีกหลายปีข้างหน้า
เด็กที่ได้รับสร้อยข้อมือที่ดูไม่ธรรมดานั้น เบิกตาโพลง แล้วถามเธออยู่หลายครั้งว่าเขารับไว้ได้จริงๆ หรือ จากนั้นก็รีบหายตัวไปจากถนนทันที เขาคงจะกลัวว่าเธอจะขอมันกลับคืนไปอีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ ฉันว่าฉันคงต้องกลับไปที่ที่พักของฉันน่ะค่ะ”
มันคงจะดีกว่าถ้าเธอสามารถจับโจรล้วงกระเป๋าได้ แต่อาเรียผู้บอบบางนั้น ไม่มีแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้น
อาเรียจึงยอมแพ้ในการจับเขา เธอพูดพลางเก็บนาฬิกาทรายเข้ากล่อง ทว่าสีหน้าของอาซดูแปลกไป
“…เอ่อ คุณอาซคะ”
“…เลดี้ สีของแหวนมัน…”
……………………………………………………