พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 122

บทที่ 122

“…ปะ ไปไหนแล้ว”

มิเอลผู้ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังได้แต่กะพริบตาปริบๆ หลังจากอาเรียกับอาซหายวับไปราวภาพลวงตา

เมื่อครู่พวกเขายังอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ไม่สิ มากกว่าเรื่องนั้นคือจู่ๆ เจ้าชายโผล่มาจากไหนกัน

มิเอลรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้และคิดว่ามันคือความฝัน เธอคลำไปรอบๆ มือสั่นระริก กระทั่งไปเจอเข้ากับกำไลข้อมือที่ขาดไปแล้ว

มันคือกำไลที่อาเรียเคยใส่

‘ฉันไม่ได้ฝันไป…’

ถ้าอย่างนั้นพวกเขาหายไปไหนกันแน่

“เลดี้! เกิดอะไรขึ้นคะ!”

บรรดาคนที่ได้ยินเสียงกรัดร้องของมิเอลต่างพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ทันได้ฉุกคิดอะไร ภาพอันน่าสลดซึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าก็ทำให้พวกเขาต่างก็หน้าซีดเผือดและส่งเสียงร้องดังลั่น

“ว้ายยย!”

“พ… พระเจ้าช่วย!”

“…ท่านเคานต์!”

“เรียกหมอมาเร็ว!”

พวกที่อยู่ชั้นล่างได้พบกับท่านเคานต์ก่อนจะได้เห็นมิเอล ทำเอาต่างคนต่างก็ร้องโวยวายบอกเล่าภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าให้คนทั้งโลกได้รู้

ตอนนั้นเองมิเอลจึงได้หลุดพ้นจากพันธนาการคำถามเรื่องที่อาซกับอาเรียหายไปต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยฟื้นคืนสติ เธอถือกำไลไว้ในมือก่อนจะป่าวประกาศตัวการที่ก่อให้เกิดภาพสยดสยองนี้

“…ท่านพี่ค่ะ! ท่านพี่เป็นคนทำ! จู่ๆ เธอก็ผลักท่านพ่อแล้ว… แล้วก็หนีไปค่ะ”

มิเอลที่กู่ร้องทั้งน้ำตาและใบหน้าซีดเผือดพาให้สีหน้าของผู้ที่ได้พบเห็นมีแต่ความสับสน

“ล เลดี้อาเรียหรือคะ…”

“ดิฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกันค่ะ! คนเราไม่มีทางปิดบังธาตุแท้กันได้ง่ายๆ หรอกค่ะ! เธอหลอกทุกคนมาตลอดอย่างไรล่ะคะ!”

“แล้วเธอหนีไปไหนเสียแล้วล่ะคะ! บังอาจนัก! รีบไปตามจับมาเร็วสิคะ!”

มิเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากปฏิกิริยาจากบรรดาแขกเหรื่อที่ขึ้นเสียงสูงอย่างบ้าดีเดือดต่างจากท่าทีงงงวยและสองจิตสองใจของเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ได้แต่ส่ายหน้าว่าเธอไม่รู้เรื่องใดๆ

“…ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ดิฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นค่ะ ฮึก…”

แต่ใบหน้าของเหล่าคนรับใช้กลับดูไม่เชื่อถือเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอเคยให้ร้ายอาเรียมาหลายครั้งหลายหนเสียเหลือเกิน

เหล่าบุตรีขุนนางหลายคนที่อยู่ข้างมิเอลก็มีสีหน้าไม่สบายใจเช่นกัน แม้จะพูดออกมาไม่ได้แต่เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เธอทำตลอดมานั้นก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าคำพูดของเธอเป็นความจริง

มิเอลเองก็สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้จึงเริ่มสร้างพยานที่ไม่มีจริงขึ้นมา

“เลดี้มีเดียกับเลดี้เวนดี้ก็เห็นมิใช่หรือคะ คิดว่าน่าจะได้สบตากันเสียด้วย”

มิเอลตีหน้าเศร้าเหลือแสนขัดกับแววตาแข็งกร้าวแล้วเอ่ยชื่อเลดี้ทั้งสองขึ้นมา

เลดี้สองคนที่ถูกพาดพิงต่างก็เป็นบุตรีจากตระกูลต่ำต้อยไร้ความสำคัญด้วยกันทั้งคู่ บุตรีจากตระกูลไร้อำนาจอิทธิพลที่ไม่ว่าจะเป็นกลางอย่างไรก็ต้องเลือกข้าง

“…คะ!”

“…!”

แล้วพวกเธอจะกล้าปฏิเสธคำถามของว่าที่ดัชเชสได้อย่างไร

แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่เห็นและไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่สองสาวก็ได้แต่หันมองกันก่อนจะพยักหน้ารับ

“ค่ะๆ… เห็น เห็นค่ะ”

“ดิฉันด้วยค่ะ… ดิฉันเห็นเลดี้อาเรียวิ่งหนีลงบันไดไปค่ะ”

“ตายจริง… แม่หญิงโสดนั่นกล้าดีอย่างไร…!”

คำให้การจากเลดี้ทั้งสองทำให้ทุกคนที่มารวมกันแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา

“ดิฉันมั่นใจค่ะว่าเป็นเพราะท่านพ่อไม่พอใจที่ท่านพี่ไปคบหากับเจ้าชาย…”

และเมื่อเธอพูดถึงแรงจูงใจที่มีน้ำหนักมหาศาล บรรดาผู้ชมก็ยิ่งโกลาหลขึ้นไปอีก

มิเอลจึงรีบยืนยันสิ่งที่จะกลายเป็นเครื่องตัดสินลงไปทันที

“แล้วดูนี่สิคะ! กำไลนี่! ดิฉันพยายามจะจับตัวท่านพี่อาเรียเอาไว้ แต่เธอก็ตัดมันทิ้งแล้ววิ่งหนีไป!”

กำไลที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้เป็นของอาเรียจริงๆ จนบรรดาคนรับใช้ที่เข้าข้างอาเรียโดยสมัครใจต่างก็จนปัญญา

มิเอลผู้วางกับดักที่จะผลักอาเรียให้จนตรอกได้อย่างสมบูรณ์แบบก้มหน้าลงแล้วแอบยิ้มออกมาเล็กน้อยไม่ให้ใครเห็น

“…มิเอล”

และเคนซึ่งกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์นี้อยู่ไกลออกไปก็ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น

* * *

ท่านเคานต์ซึ่งตกลงมาจากบันไดถูกนำตัวไปที่ห้องทันที

เขาตกลงมาจากบันไดทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนและอย่างไรบ้างจึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ง่ายๆ แต่จะให้ปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน ทุกคนจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

แพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากมายรวมถึงแพทย์ประจำตัวต่างมารวมตัวกันที่คฤหาสน์เพื่อช่วยชีวิตท่านเคานต์

โชคดีที่เขายังไม่ถึงฆาตแต่ดูเหมือนศีรษะจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จึงยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเลย

“…ผมเสียใจด้วย แต่เขาอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยตลอดชีวิต…”

เคาน์ติสหน้าซีดเผือดและทรุดลงกับพื้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของหมอประจำตัว ทั้งสะเทือนใจที่ท่านเคานต์ซึ่งคอยปกป้องเธอมาตลอดต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ และคนที่เป็นต้นเหตุยังเป็นลูกในไส้ของเธอเองอีก

“ฮึก… ท่านพ่อ…”

“…มิเอล น้องออกไปก่อนจะดีกว่า”

เคนตบไหล่มิเอลที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างท่านเคานต์ คำพูดที่บอกให้ออกไปนั้นเย็นเยียบเกินกว่าจะมองว่าเป็นคำปลอบประโลม

มิเอลถูกพาไปยังห้องรับแขกปลอดคนโดยมีเคนช่วยประคอง

หลังจากปิดประตูและหันมองรอบตัวแล้ว เคนก็ปล่อยมือที่ประคองมิเอลออกมากุมขมับแทนก่อนจะพูดขึ้น

“มิเอล ไม่ว่าพี่จะคิดอย่างไร เรื่องนี้มันก็…”

“ท่านพี่ ท่านพี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือคะ”

คำพูดของเคนทำให้มิเอลลบสีหน้าเศร้าสลดเหลือแสนออกไปในชั่วพริบตาแล้วพูดถ้อยคำรุนแรงด้วยใบหน้าเย็นชา

แววตาของเคนสั่นไหว

เมื่อได้มาเห็นคนเป็นพ่อสลบไม่ได้สติทำเอาเขาใจสั่น แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าตนไม่อาจหลีกหนีเพราะได้ร่วมมือในแผนของเธอไปแล้วก็ตาม

มิเอลจับมือเขาไว้แน่นก่อนจะเริ่มโน้มน้าวด้วยถ้อยคำหวานหูพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

“ท่านพี่ เรื่องมันเกิดไปแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นท่านพี่ต้องทำหน้าที่แทนท่านเคานต์และคุมตัวท่านพี่อาเรียไว้ในคฤหาสน์ ไม่ให้เธอได้พบเจอใครค่ะ เพราะหากเรายังแสดงเจตนาว่าจะไม่ลงโทษเธออีกเป็นครั้งที่สอง เราจะไม่สามารถทำอะไรในชั้นศาลได้เลยนะคะ”

“….”

“หรือท่านพี่คิดจะปล่อยให้เธอได้อยู่กับเจ้าชายอย่างนั้นหรือคะ”

“เรื่องนั้น…”

ไม่มีทาง

เคนขมวดคิ้วมุ่น มิเอลสะกิดโดนจุดที่เขาสนใจมากที่สุดและรีบวางเหยื่อล่อไม่ให้เขาหนีไปไหนได้อีก

“เพราะฉะนั้นเราต้องรีบบอกให้กองทหารรักษาการณ์รู้นะคะ ก่อนที่ท่านพี่อาเรียจะหนีไปไกลพร้อมเจ้าชาย”

“….”

“เราต้องรีบจับตัวเธอมาจัดการให้เร็วที่สุดนะคะ เพราะยิ่งปล่อยให้ล่าช้าไปกว่านี้ มันก็จะยิ่งเกินกว่าอำนาจของท่านพี่ ท่านพี่เองก็รู้ไม่ใช่หรือคะ”

คำพูดของเธอฟังดูมีเหตุผล ในที่สุดเคนจึงเรียกทหารรักษาการณ์มาเพื่อแจ้งความเอาผิดอาเรียโทษฐานพยายามฆ่าท่านเคานต์

ด้วยเหตุนี้หน่วยลาดตระเวนจึงถูกก่อตั้งขึ้นเพราะข้อหาพยายามฆ่าท่านเคานต์ และผู้คนต่างพากันวิ่งวุ่นเพื่อตามหาอาเรียที่หายตัวไปตลอดทั้งคืน

แต่เธอไปอยู่แห่งหนใดกัน พวกเขาพากันค้นหาทั่วทั้งนครหลวงแต่กลับหาไม่เจอแม้แต่ผมเส้นเดียวของอาเรีย ในที่สุดจึงต้องเริ่มส่งหนังสือไปถึงเมืองใกล้เคียงตั้งแต่บ่ายวันถัดมา

[ฉันเชื่อว่าครั้งนี้คุณจะทำได้ดี ออสการ์เองก็คาดหวังไว้มากเช่นกันค่ะ]

มิเอลถือจดหมายจากไอซิสที่มาถึงเมื่อกลางดึกไว้ในมือพร้อมกับฮัมเพลงด้วยความเบิกบานใจ หากท่านเคานต์ไม่ฟื้นขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะราบรื่นไร้อุปสรรค

เธอจะได้เป็นดัชเชสและได้แต่งงานกับออสการ์ตามแผน

‘อย่างไรเสียก็เป็นพ่อที่ช่วยอะไรฉันในอนาคตไม่ได้ สู้ไม่มีจะดีเสียกว่า’

เพราะผู้ที่จะอยู่กับเธอต่อไปในภายภาคหน้าคือออสการ์ หาใช่ท่านเคานต์

เธอละทิ้งความศรัทธาในตัวท่านเคานต์ไปตั้งแต่วันที่เขารับโสเภณีเข้ามาเป็นภรรยาใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือทางเลือกอันฉลาดหลักแหลมเหลือจะกล่าว เพราะเธอได้มอบโทษสถานหนักให้แก่ผู้เป็นพ่อ และยังได้กำจัดนางโสเภณีและลูกสาวผ่านโอกาสนี้ด้วย

“ท่านแม่ล่ะ”

“…ยังไม่ยอมออกมาจากห้องเลยค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ ท่านควรทานอาหารให้เยอะๆ สิ”

เพราะอีกไม่นานเธอจะต้องถูกไล่ออกไปตัวเปล่า และจะต้องร่อนเร่อยู่ข้างถนนเหมือนเมื่อก่อนนี้อย่างไรล่ะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ควรกินให้เยอะๆ เข้าไว้ไม่ใช่หรือไร

‘ว่าแต่ทำไมยังจับไม่ได้อีก’

ทหารรักษาการณ์ต่างช่วยกันตามอย่างสุดกำลังความสามารถ เจ้าหญิงไอซิสเองก็ส่งคนมาเช่นกัน ตัวเธอหรือก็โน้มน้าวเคนให้ส่งพลทหารออกจากคฤหาสน์ท่านเคานต์ แล้วเหตุใดจึงยังจับไม่ได้อีก

‘คงไม่ได้เกี่ยวกับมกุฎราชกุมารที่หายไปหรอกใช่ไหม’

มกุฎราชกุมารที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันแล้วพาอาเรียหายลับไป

เธอสงสัยว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป แต่กำไลข้อมือขาดๆ เส้นนี้ก็เป็นคำอธิบายชั้นดีว่าอาเรียหายไปพร้อมเจ้าชายจริงๆ

‘หายไปได้อย่างไรกัน พวกเขาหายไปในเสี้ยววินาที เหมือนภาพหลอนหรือควันไฟอย่างไรอย่างนั้น’

ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่อาจเอ่ยถึงเจ้าชาย หากพูดไปว่าจู่ๆ เจ้าชายก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วพาอาเรียหนีหายไป ใครเล่าจะเชื่อ

เขาคงมาแก้ต่างให้อาเรียในภายหลัง แต่ตอนนี้เธอเองก็มีทั้งกำไลที่ขาดและพยานบุคคลอยู่เช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าทั้งสองจะใช้วิธีอะไรก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได่อย่างแน่นอน

‘และโชคชะตาก็ได้ลิขิตไว้แล้วว่าเจ้าชายจะต้องเป็นของดัชเชส’

หลังจากนั้นไม่กี่วันมิเอลถึงได้ยินข่าวคราวของอาเรีย

“…ออกไปจากนครหลวงอย่างนั้นหรือคะ ไปพร้อมกับเจ้าชายหรือ”

“…เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”

ข่าวที่เคนเพิ่งไปรู้มาจากภายนอกทำให้มิเอลต้องขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม เธอคิดเพียงแต่ว่าอาเรียหนีไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะออกไปนอกนครหลวง

เธอไม่คิดว่าอาเรียจะหนีไปได้ไกลขนาดนั้นในสถานการณ์ที่ถูกมองว่าเป็นผู้กระทำผิด ดังนั้นการออกตามหาจึงอยู่แค่บริเวณใกล้เคียงเท่านั้น

นอกจากนั้นยังได้ยินมาว่าอาเรียอยู่ระหว่างทางกลับมายังนครหลวงหลังจากหยุดแวะไปเสนอหน้าอยู่ทุกเมืองที่ผ่านจนกระทั่งไปถึงราชอาณาจักรโครอา ราวกับกำลังพักผ่อนอย่างสนุกสนานกับเจ้าชาย

“มันไม่บ้าไปหน่อยหรือคะ”

“นั่นน่ะสิ นี่มันบ้าไปแล้ว”

เคนตอบกลับไปเช่นนั้น เขาดูโกรธขึ้งมากกว่ามิเอลเป็นเท่าตัว สายตาราวกับจะหักคออาซเสียเดี๋ยวนี้หากทำได้

ทั้งที่เขาวางแผนว่าจะจับอาเรียมาขังไว้แท้ๆ แต่นอกจากจะไม่ได้ขังแล้วเธอยังได้ไปไหนต่อไหนกับอาซสองต่อสองตั้งหลายวัน นั่นทำให้ใจเขาร้อนรุ่มแทบระเบิด

“พวกเขาคงคิดจะเดินทางไปที่ไหนสักที่เพื่อกลับมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนร้ายน่ะสิคะ โง่เขลาเสียจริง”

นี่พวกเขาคิดจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากข้อสงสัยด้วยการเดินทางง่อยๆ ทั้งที่มีทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐานพร้อมแล้วอย่างนั้นหรือ

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าทั้งสองจะรีบร้อนขึ้นมาออกจากนครหลวงเพียงใดก็คงไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้อยู่ดี นอกเสียจากว่าจะย้อนเวลากลับไป

“ถ้าอย่างนั้น ก็อยู่ระหว่างจับกุมตัวกลับมาหรือคะ”

“เปล่า ได้ยินว่าเธอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและจะไปสู้กันในชั้นศาล จึงไม่ได้จับกุมตัวและกำลังเดินทางกลับมานครหลวงพร้อมกองทหารรักษาการณ์”

“ผู้หญิงอะไร ทั้งต่ำทรามทั้งโง่เขลา…”

บางทีมิเอลก็เคยคิดว่าอาเรียอาจจะฉลาดอย่างในข่าวลืออยู่บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรลูกที่ออกมาจากท้องของโสเภณีย่อมไม่มีทางฉลาดหลักแหลมได้ แล้วก็ไม่อาจโป้ปดเรื่องสายเลือดในตัวได้

“พี่จะร้องขอให้เปิดการพิจารณาคดีทันทีที่เธอมาถึง เพราะฉะนั้นน้องต้องตรวจทานสิ่งที่ได้เตรียมไว้ให้แน่ใจ อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”

ดูท่าเคนคงไม่ยอมยกโทษให้อาเรียหลังจากได้รู้ว่าเธอไม่ได้หนีไปเพียงลำพัง หากแต่ไปพร้อมกับอาซ

มิเอลแย้มยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดแข็งกร้าวของเคน

“แน่นอนค่ะ น้องเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ ท่านพี่”

* * *

ไม่กี่วันหลังจากนั้น อาเรียที่เข้ามายังนครหลวงด้วยความมั่นใจก็กลับถึงคฤหาสน์พร้อมกองทหารรักษาการณ์รายล้อมรอบตัว

เหล่าทหารได้แต่คอยมองอยู่เฉยๆ ราวกับไม่สามารถเข้าไปบีบบังคับจับกุมได้ เพราะเธออยู่กับเจ้าชาย

มิเอลที่ออกมารอตั้งแต่รถม้าของอาเรียมาถึงบริเวณใกล้นครหลวง วิ่งเข้าไปหาอาเรียที่กำลังลงมาจากรถม้าและตะโกนใส่เธอทั้งน้ำตาทันที

“ทำได้อย่างไร…! ทำกับท่านพ่อแบบนั้นได้อย่างไรคะ!”

ฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมนั้นทำให้อาเรียต้องกล้ำกลืนเสียงหัวเราะที่แทบจะระเบิดออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกหรือนี่… ท่านพ่อเป็นแบบนั้นจริงๆ…!”

ภาพที่เธอถามกลับไปราวกับเพิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องจริงนั้น ดูไม่มีเค้าของผู้กระทำผิดสักนิด ความจริงแล้วดูเธอจะไม่เชื่อมากกว่า

“พี่… พี่คิดว่าที่มีคนมาห้อมล้อมแบบนี้เพราะอยากพาพี่กลับมาเร็วๆ เสียอีก… เพราะอย่างนั้นพี่ถึงได้รีบกลับมาเพราะกลัวจะถูกต่อว่า…”

อาเรียเอ่ยเช่นนั้นทั้งที่ไหล่สั่นระริก

และคนที่เข้ามาโอบกอดไหล่บางแสนน่าสงสารคู่นี้ไว้ก็มิใช่ใครอื่น นอกจากอาซ

“แปลกจริง เลดี้ไม่มีทางเป็นคนร้ายได้เด็ดขาด”

อาเรียที่กำลังหวาดกลัวได้แต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอาซเมื่อเขาเข้าข้างเธอ ทั้งที่เมื่อก่อนหน้านี้เพิ่งจะให้คำมั่นว่าจะไม่ทอดทิ้งมิเอลแท้ๆ

อาจมีบางคนก่นด่าการกระทำสองหน้าของอาเรีย แต่ไม่ใช่อาซ เขากลับชอบที่เธอสร้างความเห็นของคนส่วนใหญ่ขึ้นมาเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ

และในตอนนี้เธอก็มาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว เขาไม่มีทางเกลียดเธอได้ลง

“…แม้เจ้าชายจะตรัสเช่นนั้น แต่ก็มีทั้งพยานหลักฐานและพยานบุคคลนะคะ ดิฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อแต่ว่า… ดิฉันได้เห็นกับตาตัวเองเพคะ”

อาเรียถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่าพยานบุคคลและอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมถอยแม้ว่าเธอจะแสดงออกสุดตัวก็ตาม

อาซเข้าใจว่านั่นเป็นเพราะเธอกลัวจึงก้มลงไปมองอาเรีย แต่นอกจากจะไม่ได้สั่นเพราะกลัวแล้ว เขายังเห็นว่าเจ้าตัวแอบยิ้มอีกต่างหาก

‘โกหกสินะ’

แม้จะบอกว่ามีพยานบุคคลจริงๆ แต่เธอก็ได้สร้างหลักฐานมี่ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้เตรียมไว้อยู่แล้ว แม้กระทั่งพยานบุคคลก็ยังปลอมอย่างนั้นหรือ ผู้คนมากมายได้ฟังคำพูดของมิเอลและน่าจะเชื่อไปแล้ว

‘เธอติดกับดักที่เธอทุ่มเทสร้างขึ้นมาเองเสียแล้ว’

ภาพที่ดูไร้หนทางจะช่วยเหลือนั้นทำให้อาซจำต้องเอ่ยออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“เช่นนั้น เราค่อยไปแก้ข้อเท็จจริงกันในศาลดีกว่านะครับ”

“…หากฝ่าบาทประสงค์เช่นนั้นก็คงต้องเป็นตามนั้นค่ะ โธ่ ท่านพ่อที่น่าสงสาร… แล้วเราจะเปิดการพิจารณาคดีกันเมื่อไรดีคะ”

มิเอลที่เพิ่งจะบอกให้อาเรียยอมรับผิดทำหน้าเศร้าแล้วหันไปถามเคนซึ่งกำลังจ้องมองอาซไม่วางตา

ในเมื่อสองพี่น้องคู่นี้กำลังขุดหลุมพรางและรอให้เหยื่อมาติดกับ คนที่น่าสงสารจริงๆ ไม่ใช่อาเรียหรอกหรือ

อาซยกยิ้มขมขื่นพลางตบหลังอาเรียเบาๆ และลูบผมเธอ เห็นแบบนั้นใบหน้าของเคนพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยทนอารมณ์โกรธไม่ได้อีกต่อไปแล้วตอบทั้งที่ยังกัดฟันกรอด

“…ในเมื่อผู้ต้องหาปรากฏตัวแล้ว เริ่มดำเนินการเลยจะดีกว่า”

ถึงเวลาลงทัณฑ์คนบาปที่แท้จริงแล้ว

……………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

Status: Ongoing

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์

อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่

ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม

และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง

ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา

และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…!

“ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า”

เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า!

เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย!

เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น

พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท