“ดัชเชสไอซิส มีจดหมายมาครับ”
“อย่างนั้นหรือ จากใครล่ะ”
“คือ…”
พ่อบ้านอ้ำอึ้งเมื่อไอซิสถามกลับมา ไอซิสได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งจดหมายมาให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ทั้งที่ตัดหางมิเอลทิ้งไปแล้วทำไมถึงยังคอยมากวนใจกันอยู่ได้
นอกจากนี้ข่าวลือเกี่ยวกับมิเอลก็หนักหนาเอาการ หากเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยไอซิสก็กลัวว่าตัวเองจะตกกระไดพลอยโจนไปด้วย
เธอเพิ่งมาถึงราชอาณาจักรโครอาได้ไม่นานและพยายามทำเหมือนไม่รู้จักมิเอลให้มากที่สุด แต่ก็ต้องปวดหัวเมื่อมิเอลเล่นส่งจดหมายมาหาทุกวัน
“เธอส่งจดหมายเช่นนี้มาตลอด ท่านไม่ลองเขียนตอบไปสักฉบับหรือครับ”
คำแนะนำอย่างระมัดระวังของพ่อบ้านทำให้ไอซิสต้องวางเอกสารที่กำลังตรวจสอบอยู่ลง เธอคิดว่าเธอควรจะปฏิเสธไปให้เด็ดขาดเสียทีดีกว่าต้องมานั่งรำคาญใจกับเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
“อ่านคร่าวๆ แล้วสรุปให้ฟังที”
“เข้าใจแล้วครับ”
ไอซิสออกคำสั่งก่อนจะถือเอกสารขึ้นมาอีกครั้ง
มันคือเอกสารที่ราชอาณาจักรโครอาส่งมาเธอจึงต้องอ่านและจัดการให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อเล่นงานเจ้าชายที่ทำให้ทั้งเธอ ตระกูลดยุก และเหล่าชนชั้นสูงต้องเป็นเช่นนี้
ไอซิสกุมขมับแล้วเริ่มหันกลับไปสนใจเอกสาร
เธออ่านอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีอะไรตกหล่นหรือผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว เพราะแม้จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันอย่างการโจมตีจักรวรรดิแต่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงราชาของอีกเมืองหนึ่ง
แต่แล้วใบหน้าของพ่อบ้านที่ยืนอ่านจดหมายอยู่ข้างไอซิสก็พลันซีดเผือด
“ดะ ดัชเชสไอซิส ผมคิดว่าดัชเชสต้องอ่านจดหมายด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ…!”
ไอซิสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามหาเหตุผลเมื่อเห็นชายที่มักมีท่าทางภูมิฐานและรักษาภาพลักษณ์ให้สมเป็นพ่อบ้านแห่งตระกูลดยุกเสมอพูดจาอ้ำอึ้งไม่เหมือนเดิม
“มีอะไร เธอเขียนว่ายังไงบ้าง”
“คือ…”
แม้ว่าไอซิสจะเอ่ยเร่งพ่อบ้านก็ยังไม่อาจตอบมาได้โดยง่าย
ในที่สุดไอซิสก็ไม่อาจเอานะความอึดอัดได้ เธอแย่งจดหมายมาแล้วก้มลงอ่านเนื้อความที่ทำให้พ่อบ้านของเธอตกใจด้วยตาตัวเอง
[ดัชเชสไอซิส ดิฉันรู้ดีว่าท่านได้ทอดทิ้งดิฉันแล้ว ดิฉันยอมรับค่ะว่าความผิดของดิฉันช่างใหญ่หลวงนัก
แต่ก็หาใช่ความผิดของดิฉันเพียงฝ่ายเดียว ดัชเชสไอซิสอย่าลืมสิคะว่าดิฉันยังมีจดหมายที่ท่านเขียนมาให้ดิฉันอยู่ และในนั้นก็มีเรื่องของ ‘นางคนนั้น’ กับเจ้าชายที่ท่านเขียนไว้ด้วย
นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่ท่านไอซิสคิดจะทำในอนาคตด้วยนะคะ ซึ่งหากท่านเมินจดหมายของดิฉันอีกในคราวนี้… ท่านคงต้องเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่ดิฉันจะพูดแล้วล่ะค่ะ]
“…เฮอะ”
ปลิ้นปล้อน
ไอซิสขยำจดหมายในมือแล้วปาลงพื้นอย่างแรง
‘บังอาจขู่ฉันงั้นหรือ!’ เธออยากบุกไปหักคอมิเอลที่คฤหาสน์เคานต์เสียเดี๋ยวนี้แต่ก็เก็บกลั้นอารมณ์ไว้ได้อย่างยากลำบากและยกชาอุ่นๆ ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว
พ่อบ้านคาดเดาอารมณ์ของเธอเมื่อได้อ่านจดหมายเอาไว้ล่วงหน้าและรีบไปเตรียมน้ำเย็นมาให้ ซึ่งครั้งนี้ไอซิสก็ดื่มหมดในคราวเดียวอีกเช่นกันก่อนที่จะหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่น่าเป็นไปได้
“ฉันจะฆ่ามันยังไงดีล่ะ หืม”
“ดัชเชสไอซิส…”
ปัญหาอยู่ที่ตัวเธอเองที่เขียนทุกอย่างลงไปในจดหมายอย่างไม่ระมัดระวังเพราะคิดว่ามิเอลจะไม่มีวันหักหลังเธอ หากเธอรู้ว่ามิเอลจะโง่ขนาดนี้เธอคงไม่ทำอะไรแบบนั้นลงไปแต่แรก
ไอซิสจำได้ดีว่าในจดหมายมีเรื่องอะไรเขียนเอาไว้บ้าง เธอหลับตาลงและฝังตัวลงกับโซฟา เธอจำเป็นต้องขบคิดเป็นกังวลเกี่ยวกับมันเพราะนี่คือเรื่องใหญ่และอันตรายเกินกว่าจะมองข้าม
‘ไม่สิ กังวลไปแล้วจะได้อะไร’
ในเมื่อเธอเริ่มเรื่องนี้ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็สลัดมิเอลทิ้งไปไม่ได้
ไม่ใช่สิ ที่เธอเริ่มเรื่องนี้ก็เพราะเธอไม่คิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับนางผู้หญิงชั้นต่ำและองค์รัชทายาทหุ่นเชิดแบบนี้
เธอไม่ได้ออกคำสั่งลงไปในจดหมายโดยตรงแต่ในนั้นก็ยังมีการใช้คำในเชิงอุปมาอุปไมยอยู่มากมาย ซึ่งมันก็เพียงพอให้องค์รัชทายาทนำความหมายโดยนัยเหล่านั้นมาเล่นงานเธอได้
หากมิเอลที่กำลังถูกสอบสวนในฐานะนักโทษอยู่เกิดปากโป้งขึ้นมาสะเก็ดไฟได้กระเด็นมาถึงเธอแน่
ช่วยไม่ได้สินะ ก่อนอื่นคงต้องลองฟังดูว่ามิเอลต้องการอะไรกันแน่
เธอจะมาทำตัวหมดเรี่ยวหมดแรงแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ไอซิสถอนหายใจยาวก่อนจะปรับท่าทีให้เหมือนเดิมพลางกล่าวกับพ่อบ้าน
“…กระดาษกับปากกา”
“…ได้ครับ”
ไอซิสส่งจดหมายซึ่งมีเนื้อหาถามถึงสิ่งที่มิเอลต้องการไปให้พ่อบ้านแล้วกุมขมับ
พลางคิดว่าเธอควรจะจัดการกับลูกหนูปลิ้นปล้อนที่บังอาจตีตนเสมอเธออย่างไรดี
* * *
[ดิฉันจะทอดทิ้งเลดี้ได้อย่างไรกันคะ ดิฉันเพียงแค่กำลังยุ่งเพราะเพิ่งมาถึงโครอาได้ไม่นานเท่านั้น อีกไม่นานดิฉันจะติดต่อไปอีกครั้งนะคะ]
ขอบตาของมิเอลแดงก่ำด้วยความหวังที่ได้รับหลังจากจดหมายมากมายหลายฉบับที่เธอส่งไปหาไอซิส ต้องให้ขู่แบบนี้ถึงจะยอมรับฟังกันอย่างนั้นหรือ ช่างโง่เขลาเสียจริง
ไอซิสขอให้เธอเผาจดหมายที่เขียนโต้ตอบกันมาตั้งแต่ก่อนที่เรื่องจะผิดแผนแบบนี้แล้ว แต่เธอก็ยังเก็บไว้เผื่อจนมันทำให้เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการ
‘หากเก็บไว้ตรงนั้นจะไม่มีใครหาเจอแน่นอน’
เคนเป็นคนเดียวที่เธอบอกเรื่องนี้ ทั้งยังฝากฝังเอาไว้ว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอให้เขาลงโทษไอซิสด้วยสิ่งนี้ เธอเองก็ไม่ได้สบายใจมากนักที่ต้องฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับท่านพี่ที่หลงเสน่ห์นางโสเภณีนั่น แต่โชคร้ายที่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอสามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้
มิเอลอยากขอร้องให้พ่อช่วยแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรท่านเคานต์ก็ไม่คิดจะช่วยเหลือเธอสักนิด เธอได้ยินว่าเขาขยับตัวได้ลำบากแต่แม้จะลำบากอย่างไรเขากลับไม่เคยเรียกหาเธอเลยสักครั้ง
ความเศร้าโศกถาโถมเข้ามาจนเธอต้องร้องไห้แต่ยิ่งกว่านั้นมันคือความอัดอั้นและโกรธแค้น
‘ท่านพ่อทิ้งลูกก่อน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ลูกคงผลักท่านพ่อจากที่ที่สูงกว่านี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด’
มิเอลจินตนาการได้อย่างน่ากลัวพร้อมกับกัดฟันกรอด
ตอนนี้เคนคือคนเดียวที่มิเอลสามารถพึ่งพาได้ ไม่ว่าเขาจะหลงนางลูกโสเภณีนั่นอย่างไรเขาก็ไม่มีวันทอดทิ้งน้องสาวแท้ๆ
เธอได้แต่รอคอยให้ไอซิสติดต่อมาหาเธอวันแล้ววันเล่า แต่จู่ๆ กลับมีเสียงดังวุ่นวายอยู่ด้านนอก
เธอลอบมองออกไปทางหน้าต่างที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาและได้เห็นรถม้าสวยงามหรูหราอย่างที่ไม่สามารถพบเห็นได้ง่ายดายนัก แม้จะอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยแต่มันคือรถม้าที่มีตราประทับซึ่งมิเอลรู้จักเป็นอย่างดี
‘หรือว่า…!’
และผู้ที่ลงมาจากรถม้าก็หาใช่ใครอื่น มกุฎราชกุมารนั่นเอง
เธอมองเห็นอาเรียที่เดินวนไปมาราวกับได้ทำการนัดหมายกันไว้ก่อนแล้วปฏิเสธจะออกไปข้างนอกและเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาด้านในแทน โดยมีเคาน์ติสอยู่ข้างๆ ด้วยกัน
หน้าต่างกรงเหล็กที่ซ้อนทับอยู่ด้านนอกทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังรู้สึกยินดีที่ได้มาพบกันอีกครั้ง
ช่างบาดตาเหลือเกิน
ด้านหลังเจ้าชายมีอัศวินสองนายติดอาวุธพร้อมสรรพ พร้อมด้วยขุนนางที่แต่งกายอย่างเหมาะสมกับฐานะตนเองอีกคนหนึ่ง
หากเขาเพียงแค่ต้องการมาเจอหน้าอาเรียเฉยๆ ก็คงไม่พาคนรับใช้มาให้ยุ่งยากไปหมดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขายังมีจุดประสงค์อื่นอีก
เธอหรี่ตาลงด้วยความสงสัยแต่แล้วอาซที่เพิ่งทักทายอาเรียเสร็จก็เงยหน้ากันมามองยังทิศที่มีห้องเธออยู่
เธอรู้สึกเหมือนใจจะร่วงไปอยู่ตาตุ่มเพราะความผิดที่ตนได้กระทำลงไป ตอนนั้นเองมิเอลถึงได้รู้ตัวว่าเขามาที่นี่เพื่อเจอเธอ
“ถ้าวันนี้เลดี้ไม่มีกำหนดการอะไร ออกไปข้างนอกกับผมไหมครับ”
“ไม่มีที่ไหนกันล่ะคะ พอคุณอาซกลับไปแล้วฉันว่าจะเข้าไปที่วิทยาลัยเสียหน่อยน่ะค่ะ เห็นคุณซาร่าบอกว่าวันนี้มีคาบเรียน”
“…ผมมาผิดวันสินะครับ รู้อย่างนี้ผมน่าจะถามก่อน”
จากนั้นไม่นานมิเอลก็เป็นอันได้ตัวแข็งทื่อเพราะความเครียดเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของอาเรียและอาซดังมาจากนอกประตู เธอมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของไอซิสเสียจนลืมเรื่องการสอบสวนเกี่ยวกับยากดประสาทไปเสียสนิท ถึงอย่างนั้นเธอก็นึกไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาเลดี้สักครู่ได้ไหมครับ หรือหากเลดี้ไม่มีเวลาผมก็จะไปวิทยาลัยกับเลดี้ด้วยครับ”
“หากท่านทำเช่นนั้นคนจะแตกตื่นเอาน่ะสิคะ”
“นั่นล่ะครับที่ผมอยากให้เป็น พวกคนที่คอยมองเลดี้ตาเป็นมันจะได้น้อยลงไงครับ ผมกังวลมาตลอดเลยนะ”
“ฉันก็กังวลเช่นกันค่ะ แต่คุณอาซดูจะกังวลเกินไปหน่อยนะคะ”
“จะไม่ให้ผมกังวลได้หรือครับ เลดี้ไม่รู้สึกถึงสายตารอบตัวเลดี้หรือครับ ถ้าทำได้ผมจะตามเลดี้ไปทุกที่แล้วจัดการสายตาพวกนั้น…”
น้ำเสียงของอาซเย็นเยียบราวกับกำลังเอ่ยเตือน
นั่นทำให้อาเรียยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดแทรกขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเหมือนเวลาปลอบเด็กน้อย
“เข้าใจแล้วค่ะ เอาไว้เสร็จงานแล้วเราค่อยคุยกันนะคะ ฉันเองยังต้องไปเตรียมตัวอีกค่ะ คงไม่เลวหากฉันจะขอติดรถม้าคุณอาซออกไปด้วย”
ทันทีที่บทสนทนาจบลง มิเอลก็ถอยไปจนสุดกำแพงที่ไกลจากประตูที่สุดด้วยความตกใจ
เป็นอย่างที่เธอคิด เสียงปลดโซ่ที่คล้องประตูไว้อย่างแน่นหน้าดังมาให้ได้ยิน ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องคล้องไว้แน่นแค่ไหนเธอจึงได้ยินเสียงปลดดังอยู่เป็นเวลานาน
และไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ได้พบกับเจ้าชาย อัศวินสองนาย พร้อมขุนนางที่เธอไม่รู้จักทั้งชื่อทั้งหน้าที่ได้เห็นผ่านหน้าต่างเมื่อครู่นี้ ข้างเขาคืออาเรียที่เข้ามาพร้อมสาวใช้
อาซผู้มีสีหน้าเย็นชาต่างจากอาซคนเดิมที่มิเอลจำได้ชี้นิ้วมาทางมิเอลพลางออกคำสั่งกับอัศวิน
สายตาของเขาเหมือนคนที่กำลังมองดูสัมภาระที่น่ารำคาญ
“ลากเธอออกไป”
ทันทีที่อาซออกคำสั่งอัศวินทั้งสองก็เข้ามาในห้องแล้วจับสองแขนของมิเอลไว้แน่น พวกเขาดูเหมือนจะลากเธอออกไปตามคำสั่งของอาซจริงๆ
“จะ จะพาดิฉันไปไหนคะ!”
มิเอลถามด้วยความตกใจแต่ไม่มีใครสนใจฟังเธอเลยสักคน พวกเขาจับแขนมิเอลอย่างแรงเกินจำเป็นแล้วบังคับลากเธอออกจากห้อง
“ดะ ดิฉันจะเดินไปเองค่ะ…!”
“ไม่มีตัวเลือกสำหรับนักโทษหรอกนะ”
คำเสียดสีจากขุนนางที่ตามมาติดๆ ทำเอามิเอลน้ำตาคลอ เธอไม่รู้ว่ากำลังถูกลากไปที่ไหนแต่หากเป็นแบบนี้เธอคงถูกใช้เป็นความบันเทิงให้พวกคนรับใช้ในคฤหาสน์ได้เชยชมเป็นแน่
“พี่นึกว่าน้องจะซูบผอมลงมากเสียอีกแต่นี่น้องก็ยังดูสมบูรณ์ดี คงไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนักสินะ”
มันคือการกระทำแบบเดียวกับที่มิเอลเคยทำก่อนอาเรียจะถูกประหารเมื่อตอนที่ต้องตกเป็นนางร้าย
“ทั้งหมดเป็นเพราะแก! หากไม่มีแก! ถ้าไม่มีแกสักคนละก็!”
จู่ๆ มิเอลก็แกล้งก่อความวุ่นวายขึ้นมา อาเรียจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วแสร้งทำสีหน้าหวาดกลัวทั้งยังหดตัวด้วยความตกใจ กิริยาเช่นนั้นไม่ว่าใครมองก็ต้องคิดว่าอาเรียเป็นผู้เสียหายแน่นอน
พฤติกรรมน่ารังเกียจนั้นยิ่งทำให้มิเอลดีดดิ้น อัศวินจึงยิ่งออกแรงที่จับแขนเธอไว้มากกว่าเดิม
อาเรียยกยิ้มมุมปากไม่ให้ใครเห็นราวกับจะหยอกล้อมิเอลที่ตกอยู่ในสภาพแบบนั้น มิเอลเห็นภาพนั้นเต็มสองตาและยิ่งดีดดิ้นเข้าไปใหญ่
—เพี้ยะ!
จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดที่แก้มขณะเดียวกันทัศนวิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ระเบียงทางเดินที่เคยมีเสียงดังวุ่นวายจากฝีเท้าและการดิ้นรนตะเกียกตะกายของมิเอลพลันเงียบกริบ
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อค่อยๆ หันหน้ากลับมาก็เห็นภาพอาเรียกำลังยืนเบิกตาโตทั้งยังเอามือขึ้นปิดปากราวกับกำลังตกใจอยู่จริงๆ ไม่ได้แกล้งทำเหมือนอย่างเคย
“หากยังก่อความวุ่นวายเช่นนี้อีก คงต้องจับไปไว้ในคุกใต้ดินแทนกระมัง”
เจ้าชายคือผู้ที่เอ่ยเอ่ยคำเตือนนี้ออกมา
อาซสะบัดมือราวกับเพิ่งแตะต้องโดนของสกปรกค่อยๆ ออกเดินไปด้านหน้าหลังจากที่พูดแบบนั้นออกไป
“ตายแล้ว ดูหน้าบวมๆ นั่นสิคะ…!”
มิเอลหมดเรี่ยวแรงเพราะความตกใจถูกลากไปตามทางอย่างง่ายดายทิ้งคำพูดที่ฟังราวกับคำเยาะเย้ยของแอนนี่ไว้เบื้องหลัง ทั้งความตกใจ หวาดกลัว และสับสนจากความรุนแรงที่เพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรกได้หยุดความคิดทุกอย่างของมิเอลไว้เพียงเท่านั้น
การสอบสวนน่าจะเกิดขึ้นที่ห้องรับรองดังนั้นมิเอลจึงได้พบกับบรรดาคนรับใช้ในคฤหาสน์มากมายขณะเดินผ่านระเบียงทางเดินและบันไดเพื่อมุ่งหน้าไปห้องรับรอง
พวกเขาต่างพากันเหลือบมองแก้มบวมแดงของเธอด้วยความตกใจ นอกจากนั้นฝีเท้าที่ดูเย็นชาของเจ้าชายซึ่งแตกต่างจากตอนที่เขาทักทายอาเรียยังทำให้พวกคนรับใช้สงสัยเข้าไปใหญ่
“…!”
เมื่อไปถึงหน้าห้องรับรองเคนก็ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังรอคอยอยู่ก่อนแล้ว เขาดูจะตกใจกับสภาพของมิเอลจึงได้จ้องมองแก้มของน้องสาวอย่างพูดไม่ออกอยู่เป็นนานสองนาน
อาซจึงช่วยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบพร้อมรอยยิ้ม
“เธอก่อความวุ่นวายและไม่ยอมทำตามคำสั่ง ทั้งยังพยายามจะวิ่งเข้าหาเลดี้อาเรียซึ่งเป็นผู้เสียหายอีก ดูเธอจะยังไม่สำนึกว่าตนอยู่ในฐานะนักโทษ เราจึงคิดว่าแค่กักบริเวณอยู่ในคฤหาสน์น่าจะเบาไป”
คำพูดนั้นทำให้เคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองมิเอล
“…เข้าไปข้างในเถิดครับ”
สีหน้าของเคนขณะเอ่ยตอบยากที่จะบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันดูใกล้เคียงกับคนที่อยากแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวออกไปแต่ก็ไม่อาจทำได้
อาซมองเคนด้วยสายตาเดียวกับตอนที่เขามองมิเอลก่อนจะหันสายตาไปอีกทางแล้วเดินตรงเข้าไปภายในห้องรับรอง
“ท่านพี่…!”
มิเอลซึ่งถูกลากตามหลังอาซไปพยายามเรียกเคนอย่างร้อนใจ แต่เขาก็ไม่อาจเอ่ยตอบมิเอลได้
………………………