“คุณอาซ”
อาเรียเรียกชื่ออาซทั้งที่ยังไม่ได้สบตากัน ประจวบกับเวลาที่แสงประกายจากแหวนนั้นหายไป อาซเบนสายตาจากแหวนและหันมาสบตากับอาเรีย
ได้รับการยืนยันจากบ่อน้ำในปราสาทเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้แน่ใจมากขึ้น ดูเหมือนว่าสีของแหวนที่เปลี่ยนไปครั้งนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง
“เกิดอะไรขึ้นกับมือของดิฉันเหรอคะ…”
อาเรียที่สังเกตได้ว่าเขายังคงมองไปที่มือของตัวเองจึงหลบสายตาพร้อมกับถาม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะครั้งก่อนที่นึกถึงเรื่องแหวนเปลี่ยนสีหรือเปล่า ทันทีที่เขาสัมผัสแหวนที่กลับเป็นสีเดิมก็ทำท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ค่ะ นึกว่าผีเสื้อจะบินออกมาเสียแล้วน่ะครับ แต่ดูเหมือนจะเข้าใจผิดไปน่ะครับ”
“ผีเสื้อเหรอคะ …ในคืนฤดูหนาวเช่นนี้เหรอคะ”
อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้แค่เอาเรื่องผีเสื้อมาบังหน้าเพื่อเบี่ยงความสนใจ แต่อาเรียกลับตอบด้วยสายตาราวกับไม่เชื่อ ดูเหมือนจะถูกจับได้ว่าเขามีอะไรปิดบังซ่อนอยู่
แม้อาซจะอ่อนแอแต่อาเรียกลับมองด้วยความไม่เชื่อใจพลางตกอยู่ในห้วงความคิด ในขณะเดียวกันเรื่องที่บ่อน้ำเปลี่ยนสีตอนนี้ต่างกันกับครั้งก่อนที่แหวนเปลี่ยนสีนั้น เขาก็อยากถามว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ทว่าตอนนี้หากถามไปเขาก็ต้องสารภาพว่าที่พาเธอมายังบ่อน้ำในปราสาทนี้ก็เพื่อจะยืนยันตัวตันของเธอ ที่จริงแล้วเจตนาที่พูดกับเธอกลับต่างออกไป เนื่องจากพาเธอมาถึงบ่อน้ำในปราสาทนี่แล้วจึงไม่สามารถถามโดยตรงได้
ก่อนอื่นจะต้องให้เธอบอกเรื่องที่ซ่อนอยู่ด้วยตัวเองแต่ดูเหมือนเธอไม่คิดจะพูดอะไร ดังนั้นเมื่อยืนยันตัวตนได้ชัดเจนแล้วค่อยถามอย่างแนบเนียนคงจะดีกว่า
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครที่จะได้ตัวอาเรียไปนอกจากเขา แม้หากเธอบอกว่าจะกลับไปเขาก็ไม่มีทางปล่อยเธอไปอยู่แล้วดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะถามได้ทุกเวลา
เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะเก็บความรู้สึกอยากยืนยันตัวตนของเธอไว้ลึกสุดหัวใจ
“ดึกมากแล้วกลับไปคงจะดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาครับ”
จับเสื้อคลุมของตัวเองที่อยู่บนไหล่อาเรียทำเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และสีหน้าที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไป พลางหันไปเผยยิ้มที่อ่อนโยนให้กับอาเรีย
“…นั่นสิคะ”
แม้อาเรียจะเผยสีหน้าราวกับสงสัย แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจเหตุผลหรือพอรับได้จึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อาซ
แน่นอนว่าเธอมีความสามารถในการปิดบังความรู้สึกตนเองจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ บางทีเธออาจจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรก็ได้
ทันทีที่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวมุมมองกลับเปลี่ยนกลายเป็นห้องของอาเรีย
ทันทีที่ตัดความสงสัยออก เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่อยากแยกจากอาเรียเลยแม้แต่น้อย
จึงหาหัวข้อพูดคุยเพื่อที่จะยืดเวลาออกไป อาซที่กำลังก้มลงมองอาเรียจึงเปิดปากพูดราวกับนึกอะไรออก
“อีกไม่นานเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลายครับ”
“…เอ่อ อย่างนั้นสินะคะ ดิฉันก็คิดว่าน่าจะได้เวลาแล้วเหมือนกัน… ถ้าอย่างนั้นมิเอลก็จะปรากฏตัวขึ้นด้วยใช่ไหมคะ”
อาเรียถามพร้อมกับแสดงออกว่าสนใจอย่างมาก
“น่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ เพราะหล่อนน่าจะคิดว่าตัวเองจะได้ชัยชนะอย่างไรล่ะครับ”
“อย่างนั้นสินะคะ หวังว่าจะรีบกลับมาในเร็ววันนะคะ”
อาเรียตอบเช่นนั้นพลางยิ้มอย่างมีความสุขเนื่องจากหมดความเคลือบแคลงใจในตัวอาซ ดูเหมือนกันเด็กน้องได้ของเล่นใหม่เสียอย่างนั้น
ทำไมถึงได้ดูสนุกสนานขนาดนั้นเชียว เพราะความล้มเหลวของมิเอล หรือเพราะความล้มเหลวของท่านเคานต์ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง อาจจะเป็นทั้งคู่
หากเป็นคนอื่นที่ได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอาเรียคงจะใจสั่นรัวไปกับเสน่ห์ของเธอเสียแล้ว แต่สำหรับอาซกลับมองเป็นเพียงหญิงที่งดงามของเขาเท่านั้น
“น่าเสียดายผมต้องกลับก่อนนะครับ น่าจะได้พบอีกครั้งในวันเกิดเลดี้ครับ”
“ตั้งนานขนาดนั้นเชียวเหรอคะ”
ถึงแม้ไม่เป็นเวลานานขนาดนั้น แต่อาเรียก็พูดพร้อมกับเผยสีหน้าเสียดายอย่างเต็มอก อาซเห็นเช่นนั้นจึงยกยิ้มพร้อมกับถามอาเรีย
“ถ้าอย่างนั้นเลดี้จะมาเยือนที่ปราสาทไหมล่ะครับ”
“เรื่องนั้น…”
อาเรียที่ยุ่งอยู่เช่นเดียวกันจึงลังเลที่จะตอบ อาซจึงยกยิ้มแล้วพูดต่อ
“หากเลดี้อนุญาตไว้ผมมีเวลาจะแอบเข้ามาหาในห้องนะครับ หมายถึงหากเวลาตอนกลางคืนก็ไม่เป็นไรน่ะครับ แต่ถ้าหากไม่สะดวกผมจะส่งจดหมายให้แทนนะครับ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
เพราะดึกมากแล้วจึงทิ้งความเสียดายไว้ข้างหลัง อาซจุมพิตหลังมืออาเรียเป็นคำลาพร้อมกับหายตัวไป
ทันทีที่เขาหายไป อาเรียที่ยิ้มอ่อนโยนอยู่กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาพลางก้มลงมองมือตัวเอง
“แหวน…”
แหวนที่อาซดูสนใจนัก
เขาเคยอธิบายว่ามันเป็นแหวนที่ได้รับสืบทอดมาจากเชื้อพระวงศ์ และหากอาซใช้พลังจะทำให้สีของมันเปลี่ยน
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานก็จะกลับมาเป็นสีเดิม แต่ภาพแหวนที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทันทีที่ใช้พลังกลับลอยขึ้นมา
ครั้งก่อนเธอฟังไปโดยไม่ได้เอะใจอะไรนัก เธอมั่นใจว่าอาซมองแหวนของเธอแล้วบอกว่ามันเปลี่ยนสีแล้วด้วย เผลอลืมไปแต่เพราะวันนี้เห็นแววตาแปลกๆที่มองมาที่มือของเธอทำให้นึกขึ้นได้
‘…หรือว่า’
เพราะคิดเรื่องเหลวไหลทำให้อาเรียเปลี่ยนสีหน้าบึ้งตึงทันที อาซก็เช่นเดียวกัน หากเขาใช้นาฬิกาทรายสีของแหวนอาจจะเปลี่ยนได้เหมือนกันที่เธอทำ
‘ไม่สิ ไม่หรอกน่า’
ครั้งก่อนมั่นใจว่าใช้นาฬิกาทรายแล้ว แต่วันนี้กลับไปใช้อย่างนั้น จำได้ว่าอย่างมากที่สุดก็แค่ไปเยือนบ่อน้ำในปราสาทเท่านั้น
แต่ด้วยความเคลือบแคลงใจ เธอจึงไปเปิดกล่องที่เก็บนาฬิกาทราย เพื่อต้องการเช็กให้แน่ใจ แม้จะคิดไว้แล้วว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้ก็ตาม
อาเรียที่ถือนาฬิกาทรายนั้นอยู่ ค่อยๆจับมันพลิกอีกด้านลง จากนั้นจึงวางนาฬิกาทรายลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ด้วยความใจร้อนเธอจึงรีบหันไปดูแหวนที่มือของตัวเอง
“…!”
ทันใดนั้นแหวนกลับเปลี่ยนสี ส่องประกายแสงสีฟ้าออกมาเหมือนตอนที่อาซใช้พลังอย่างไม่น่าเชื่อ
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน…’
ทำไม… ทำไมแหวนถึงเปล่งแสงออกมาล่ะ เป็นเพราะใช้นาฬิกาทรายจริงเหรอ เพราะใช้พลังเหมือนกับอาซอย่างนั้นเหรอ
หากใช้พลังโดยไม่เกี่ยวกับสายเลือดจะทำให้เปลี่ยนสีไปจริงเหรอ แม้จะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์
ทันทีที่มองไปยังแหวนที่กำลังเปล่งประกายสีน้ำเงินอยู่จึงนึกออกได้แค่นั้น
…หรือว่าเพราะอย่างนั้นทันทีที่เธอใช้นาฬิกาทราย อาซเลยพูดถึงสีของแหวนอย่างนั้นเหรอ เป็นเพราะอาซรู้ความจริงอยู่จริงเหรอ…
เมื่อคิดถึงจุดนั้นก็หมดเรี่ยวแรงทันทีเนื่องจากช็อกอย่างหนัก มีความเป็นไปได้ว่าอาซจะรู้เรื่องพลังของเธอเนี่ยนะ…
แม้จะคิดไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งคงต้องบอก แต่เธอก็ไม่คิดว่าอาซจะรู้ทัน
‘…ต่อไปจะทำอย่างไรกันล่ะ ต้องพูดก่อนหรือเปล่านะ’
แม้จะกังวลไปแต่ก็ไม่ได้คำตอบ เนื่องจากตอนแรกเธอก็สงสัยว่าเขาจะรู้เรื่องอยู่แล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าสามารถใช้วิธีอื่นทำให้เกิดประกายแสงนั่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเธอใช้นาฬิกาทรายจึงทำให้รู้สึกง่วง
‘…ต้องไปถามเรื่องแหวนอีกครั้งเสียแล้ว’
เพราะทุกข์ร้อนไปคนเดียวก็ไม่ช่วยให้ไขความข้องใจได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้เวลาที่เธอจะต้องสารภาพความลับเหมือนกับอาซที่เคยสารภาพความลับให้กับเธอ
* * *
“ท่านพี่คะ งานวันเกิดครั้งนี้ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมแล้วล่ะค่ะ”
คนที่เขาเคยดูถูกเมินเฉยเมื่อก่อนอย่างอาเรียเข้ามาพูดคุยด้วย เคนจึงแสดงท่าทางบึ้งตึงตอบกลับ หล่อนที่เมื่อก่อนหากมีอะไรจะบอกก็สั่งผ่านข้ารับใช้มาอยู่แล้ว ทำไมกันนะ
“อะไรนะ”
เขาที่ไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไรจึงย้อนถามอีกครั้ง เนื่องจากตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ อาเรียจึงหัวเราะพลางบอกเหตุผลต่อ
“ดิฉันหมายความว่าวันเกิดของดิฉันน่าจะจัดให้ใหญ่กว่าเดิมน่ะค่ะ เพราะไม่ได้มีแค่ญาติของดิฉันเท่านั้น ญาติของท่านพี่ที่จะได้เข้าร่วมด้วยอย่างไรล่ะคะ”
เคนที่เข้าใจว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไรจึงแสร้งกระแอมออกมาพลางทำท่าทางนิ่งเฉย
“มีเหตุผลสินะ”
เขาดูตลกและน่าสมเพชมาก ในสถานการณ์ที่เงินเพียงน้อยนิดยังต้องตะเกียกตะกายไปหามาแต่กลับปฏิเสธคำขอร้องของอาเรียไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นไปบอกพ่อบ้านด้วยเลยได้ไหมคะ หากท่านพี่อนุญาตน่ะค่ะ”
“…ก็ได้ เอาเลยสิ”
อาเรียที่ไม่เคยมองมาที่เขาแต่ตอนนี้กลับได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งในตระกูลโรสเซนต์และยังได้รับอนุญาตอีก จึงแสดงสีหน้าพอใจอย่างมาก อาจจะคิดว่าดีแล้วที่ผลักพ่อตัวเองตกบันไดแล้วได้รับตำแหน่งให้ดูแลกิจการแทน
แต่ก็ไม่รู้ว่านั่นอาจจะกลายเป็นชนวนเล็กที่ทำให้ตระกูลล่มสลายก็ได้
เคนไม่รู้เรื่องอะไร ในขณะที่เคาน์ติสปล้นทรัพย์สมบัติของตระกูลไปหมดแล้ว และเงินที่จะใช้ผลาญไปกับจัดงานเลี้ยงให้ใหญ่ยิ่งขึ้นก็แทบจะไม่พอด้วยซ้ำ ไม่สิ ไม่มีเงินที่จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดด้วยซ้ำ
ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเคานต์ที่ไม่รู้เรื่องคลังเงินที่มีนั้นเริ่มร่อยหรอไปเรื่อยๆ และเคาน์ติสก็เป็นหญิงคนเดียวที่ทำให้เขามีความสุข เขาจึงอนุญาตให้ใช้เงินได้อย่างเต็มที่
แน่นอนว่าอนุญาตเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครรายงานเรื่องการใช้จ่ายอะไร นั่นหมายความว่าใช้มรดกที่มีอยู่โดยไม่ได้มีการระบุอย่างชัดเจน
‘ดังนั้นเมื่อไม่มีการบันทึกการใช้จ่ายอะไร ท่านเคานต์จึงคิดว่ายังมีทรัพย์สินเหลืออยู่อีกเยอะสินะ’
หากท่านเคานต์ไม่รู้ความจริงทั้งหมดว่าเคนไม่สามารถดูแลกิจการของท่านเคานต์ได้ดีเท่าที่ควร เขาก็จะไม่พยายามดิ้นรนหาคำปรึกษาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านเคานต์สบายดีทุกอย่างก็น่าจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ แต่ในตอนนี้อาการของท่านเคานต์ที่ไม่คงที่ทำให้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ดีเท่าที่ควร
ด้วยสถานการณ์หลายอย่างทับซ้อนกันทำให้ตระกูลของท่านเคานต์โรสเซนต์ค่อยๆพังทลายลง สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ราวกับว่าเพียงแค่นิ้วแตะก็สามารถพังล้มลงได้
“ขอบคุณนะคะ ท่านพี่”
“อืม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก วันเกิดมีแค่ครั้งเดียวในหนึ่งปีเอง จะจัดให้หรูหรายิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่เลวนะ”
ทันทีที่เคนพูดเช่นนั้น อาเรียก็ยิ้มออกมาทำให้เขาหลงใหล จากนั้นอาเรียจึงไปสั่งการพ่อบ้านให้จัดงานเลี้ยงวันเกิดใหญ่กว่าเดิม
“ครับ จัดเตรียมงานให้ใหญ่กว่าที่เตรียมอยู่เหรอครับ”
“อืม เพราะนอกจากแขกที่ฉันเชิญมา ยังมีคนที่อยู่ในคฤหาสน์ด้วยอย่างไรล่ะ”
พ่อบ้านเผยสีหน้ากังวลออกมา แต่ทว่าคนที่สั่งการคืออาเรีย เขาจึงทำได้แค่เก็บสีหน้าพลางตอบว่าจะทำตามที่สั่ง
“จะพยายามทำตามที่สั่งไม่ให้เลดี้ผิดหวังครับ”
และจากนั้นเขาก็ดำเนินการจัดงานตามคำพูด พยายามเตรียมงานเลี้ยงอย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่กระจกที่ตกแต่งไปจนถึงสวนตรงลานหน้าคฤหาสน์ถูกตกแต่งอย่างเต็มที่
ซึ่งในระหว่างนั้นอาเรียที่กำลังรออาซว่าจะมีหรือไม่ แต่อาซกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น มีเพียงแค่จดหมายฉบับเล็กๆส่งมาให้เท่านั้น
‘เขารู้ว่าฉันมีพลังอยู่แล้วจริงๆด้วย’
แต่เนื่องจากในจดหมายที่อาซส่งมาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องแหวนทำให้เธอไม่สามารถมั่นใจได้ และในระหว่างที่เธอกำลังกังวลอยู่นั้น เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนใกล้ถึงวันเกิดของอาเรีย
“เลดี้ ทำไมสีหน้าไม่ดีแบบนั้นล่ะคะ วันนี้วันเกิดเลดี้นี่นา…!”
แอนนี่ที่กำลังหวีผมให้เธออยู่ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผงทองที่โรยบนผมหรือเปล่า ผมของเธอจึงเป็นประกายออกมา แต่ต่างจากใบหน้าของเธอที่มีแต่ความกังวล เจสซี่ที่นำกล่องเครื่องประดับมาให้ก็ถามด้วยความเป็นห่วง
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“…ไม่ล่ะ ฉันไม่เป็นไร”
หากอาซมาถึงแล้วก็ต้องถามเรื่องแหวน แน่นอนว่าจะต้องไม่สบายใจอยู่แล้ว แต่เธอกลับเก็บสีหน้าไม่แสดงออกมา ทันใดนั้นข้ารับใช้ที่เบาใจลงจึงช่วยกันตกแต่งตัวอาเรียต่อ
ทันทีที่สวมชุดเดรสอย่างสมเกียรติตระกูลท่านเคานต์เพื่อวันนี้แล้ว เธอกลายเป็นหญิงที่ไม่มีใครหน้าไหนบนโลกกล้าเปรียบความงามของเธอได้เลย
“ตายจริง… เหมือนนางฟ้าเลยค่ะ! แต่…จะว่าเหมือนนางฟ้าเลดี้ก็ดูมีเสน่ห์มากกว่านั้นนะคะ!”
ที่จริงแล้วเธอไม่ใช่นางฟ้าแต่เป็นปีศาจร้ายที่ย้อนกลับมาเพื่อลงโทษทุกคนต่างหาก แต่ด้วยคำที่แอนนี่เปรียบเปรยฟังดูเหมาะสมทำให้เหล่าข้ารับใช้รวมไปถึงเจสซี่ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นเหรอ สวยพอจะยกโทษเรื่องที่เก็บซ่อนความลับตลอดเวลาผ่านมาได้ไหมล่ะ”
“ความลับเหรอคะ… แน่นอนสิคะ! ไม่จำเป็นต้องขอให้ยกโทษอะไรด้วยซ้ำเลยค่ะ เพราะไม่ว่าใครที่ได้เห็นเป็นต้องตกใจจนวิญญาณหลุดลอยกันทั้งนั้น!
“อย่างนั้นหรือ”
แอนนี่ที่จู่ๆ ก็พูดถึงความลับกับการยกโทษเรื่องนั้นออกมา พวกหล่อนได้แต่เดาว่าดูท่าเลดี้จะทะเลาะอะไรกับท่านอาซเล็กน้อยพลางส่ายหัวอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก อาเรียที่เริ่มเบาใจลงจึงเปลี่ยนสีหน้าให้ดูสดใสขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ! ไม่ต้องเสริมเติมแต่งมากก็เพียงพอที่จะกุมหัวใจของมกุฎราชกุมารอยู่แล้วล่ะค่ะ! ดูเหมือนว่าแขกจะเริ่มมาถึงแล้ว เลดี้ลงไปน่าจะดีกว่านะคะ!”
“เข้าใจแล้ว”
แม้จะเป็นช่วงเช้าแต่ก็เริ่มมีแขกมารวมตัวกันที่สวนทีละคนสองคนช่วยเติมแต่งสวนให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น อาเรียจึงย่างเท้าเดินอย่างเบาใจ
เธอเชื่อว่าหากเป็นอาซเขาจะต้องเข้าใจเรื่องที่เธอไม่ได้บอกความจริงอย่างแน่นอน
……………………….